หนึ่งคือสัญลักษณ์ของตระกูลซาง อีกหนึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปอีกา (เชวี่ย)แสดงถึงตัวตนฐานะของนาง ว่าคือซางเชวี่ยคุณหนูสี่แห่งตระกูลซางคนรับใช้ข้างๆ นอบน้อมกับนางอย่างมาก“คุณหนู ท่านว่าไหม?” คนรับใช้เอ่ยขึ้น “แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่ว่าเป็นสายเลือดตระกูลซางจริงๆ ทว่า จากการควบคุมสัตว์ของเขา ดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย เสือเขี้ยวดาบแม้จะไม่ค่อยพบเห็นแต่ก็ไม่ได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น นากเขาพิษยังกลับดูพิเศษขึ้นหน่อย”“ข้ารู้สึกว่า...” เสียงของหญิงสาวแจ่มชัดกังวาล แต่เส้นเสียงดูเย็นชาหน่อยๆ “สองคนนี้ยังไม่สู้กันจริงจังเลย”“ไม่จริงจัง?” คนรับใช้ไม่เข้าใจ “จั๋วซือหรานแม้ช่วงนี้จะถูกลือกันอย่างกับเป็นเทพเจ้า แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นแค่แพทย์เท่านั้น แพทย์จะมีทักษะต่อสู้ได้แค่ไหนกัน...เมื่อครู่นางก็เอาแต่หนีนี่นา”หญิงสาวพอได้ยินก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะหาเงินได้อย่างไรกัน?”คนรับใช้ไม่เข้าใจ “หาเงิน?”แต่ซางเชวี่ยกลับไม่คิดจะพูดอะไรมาก ทำเพียงจดจ้องสถานการณ์ที่เวทีด้านล่างเท่านั้นจั๋วจิ่วคนนั้นยังไม่สู้จริงจัง นางเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ แค่จากการเปลี่ยนแปลงขอ
ฝูซูกับเฮยหลิงอยู่ระหว่างทางขึ้นไปห้องหรูบนหอ ก็ได้ยินเสียงโหร้องกึกก้องขึ้นมาจากอัฒจันทร์คนดูตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้องหรู ก็เห็นเฟิงหร่านคุณหนูสิบตระกูลเฟิงเข้าสภาพในตอนนี้ ไม่สนใจว่าเป็นหญิงสาวชั้นสูง หรือว่าจะเป็นคุณหนู หรือกระทั่งเป็นสตรีอ่อนหวานอีกแล้วนางยืนอยู่บนเก้าอี้ สายตาจ้องมองเวทีประลองเป็นประกายสองมือกำหมัดแน่น ดูจดจ่อเอามากๆฝูซูรีบถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง? สู้เสร็จแล้วหรือยัง? คุณหนูชนะไหม?”ตาของเฟิงหร่านยังไม่ย้ายไปไหน ยังคงจับจ้องที่เบื้องล่างไม่วางตา แต่ตอบฝูซูกลับมาเสียงต่ำ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทึ่ง “ยังไม่จบ แต่คุณหนูจั๋ว...นางร้ายกาจมาก!”ฝูซูรีบเดินไปมองสถานการณ์บนเวทีประลองสภาพของเจี่ยงเทียนซิงดูหนักแน่นกว่าเฟิงหร่านพอควร จึงเล่าสถานการณ์ที่พวกเขาพลาดไปตอนไปลงเดิมพันออกมารอบหนึ่งที่แท้ พวกเขาก็พุ่งกันไปลงเดิมพันจั๋วซือหรานพอส่งสัญญาณเสร็จ ก็ไม่คิดจะทำเป็นอ่อนแอในการต่อสู้แล้วภายใต้การจับตาของทุกคน บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง ก็เริ่มฟื้นตัวกลับอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่าและการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเหมือนนางโดนผลกระทบความเป็นพิษจากนาก
ถามขึ้นว่า “ตาข้าแล้วหรือยัง?”สายตาของซางถิงจ้องนางเขม็ง เขากุมมือในแส้แน่น สะบัดข้อมือแส้ยาวในมือดีดตึง ปลายแหลมสะบัดไปทางจั๋วซือหราน“วูม...!” เสียงผ่าอากาศดังขึ้นจากนั้นแส้ก็ส่งเสียงเผียะขึ้นกลางอากาศ ราวกับตัดอากาศจนขาดเป็นท่อนอย่างไรอย่างนั้นและร่างของจั๋วซือหรานก็ไหววูบ ดูแล้วไม่มีอาการซมซานหรือโซซัดโซเซตอนที่หลบหลีกก่อนหน้านี้เลยความเร็วการเคลื่อนไหวของนางสูงมาก แต่ในสายตาของทุกคน กลับดูเชื่องช้าความรู้สึกแตกต่างระหว่างความเร็วและช้าที่สลับไปมานี้ ทำให้คนรู้สึกเริ่มปวดตาขึ้นมาทุกคนเห็นเห็นว่านางอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ นางเพียงแค่ก้าวอย่างสงบไม่กี่ก้าวราวกับเดินเล่นในสวนหลังบ้านเท่านั้นกระทั่งความตึงเครียดสักนิดก็ไม่มีแต่การโจมตีของแส้ที่น่าตกตะลึงนั่น ก็ถูกนางเบี่ยงหลบไปได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกกระทั่งชายเสื้อของนางด้วยซ้ำ!ส่วนการโจมตีจากแส้ของซางถิงก็ยังไม่หยุด กระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน เหมือนไม่ต้องการให้มีเวลาหยุดพักทั้งที่ซัดแส้ออกไปแท้ๆ มันควรจะมีช่วงจังหวะที่ค้างกลางอากาศกับจังหวะดึงแส้กลับมารวมพลังตวัดออกไปอีกจึงจะถูกแต่นั่นแทบจะไม่มีเลยการโจมตีแส้ของซ
“ให้ตายเถอะ...”ทุกคนเห็นแค่ จั๋วซือหรานที่เดิมทีเต้นรำอยู่ท่ามกลางพายุห่าฝนแส้ที่หนาแน่นเวลานี้นั่งลงมาแล้ว...อยู่บนตัวซางถิง?พูดให้ถูกต้องคือ นางกดเขาอยู่บนเวทีหินต้องห้ามไปแล้วหัวเข่าข้างหนึ่งของนางยันไว้ที่หน้าอกเขา แต่การเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่จุดสำคัญที่ควบคุมเขาไว้ หรือเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่ทำให้คนอื่นต้องทึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญ คือสองดาบที่พาดไขว้อยู่บนคอซางถิง ดาบสองเล่มสลับไขว้อยู่บนคอเขา คมดาบหันเข้าด้านใน ขังคอของเขาเอาไว้ที่ร่องตัดสลับของคมดาบราวกับว่าขอแค่เขาขยับตัว นางแค่ออกแรงเบาๆ ก็เด็ดหัวเขาออกมาได้แล้ว!เพียงแค่มอง ก็อยู่ในระดับที่ทำให้คนที่เห็นอดกลั้นหายใจขึ้นไม่ได้ขณะที่บนเวทีมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น ในห้องหรู เฟิงหร่านก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา“เขา...คนนั้นตายหรือยัง?” เฟิงหร่านถามขึ้น เสียงดูตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะจากมุมมองของนาง มองเห็นแค่แผ่นหลังของจั๋วซือหราน คุกเข่ากดหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้สองมือกุมดาบไขว้กดลงไปมองแล้วเป็นการเคลื่อนไหวที่จะเอาชีวิต เป็นการเคลื่อนไหวแบบประหัตประหารแต่เพราะถูกแผ่นหลังของจั๋วซือหรานบังไว้ ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่รู้ว่า
ถึงอย่างไร ความจริงก็จะสอนให้เขาเป็นคนเอง ถึงอย่างไร คนเหล่านั้นที่ปากแข็งกับนางก่อนหน้า เจ้าพวกที่ควรตบฉาดก็ตบไปแล้วไม่มีเขาก็ไม่ได้น้อยลง หรือมีเขามาสักคนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไรตอนที่จั๋วซือหรานกลับมาถึงห้องพักผ่อน ก็เห็นเจี่ยงเทียนซิงรออยู่ที่นั่นแล้ว“ทำไมยังมาด้วยตัวเองอีกล่ะ?” จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจเจี่ยงเทียนซิงยิ้มๆ “ในเมื่อชนะแล้วนี่ ก็ต้องมาฉลองชัยชนะของเจ้าสักหน่อยไหม”จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ “เพิ่งจะยกเดียวเอง ยกต่อไปต่างหากที่สำคัญ”เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ ตอบมาว่า “ข้ารู้สึกว่าฉลองล่วงหน้าได้ เจ้าเป็นคนที่มีความคิดดีดีอยู่เสมอ ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจพอต่อเรื่องนี้ เจ้าไม่มีทางบุ่มบามเห็นด้วยหรอก”จั๋วซือหรานยิ้มๆ ไม่พูดจา“แต่ก็คิดไม่ถึงว่ายกนี้เจ้าจะสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เจี่ยงเทียนซิงเดิมทีคิดว่าความหมายของจั๋วซือหรานคือรอยกต่อไปแล้วค่อยเริ่มต่อสู้ ยกนี้แค่สู้ให้ชนะอย่างหวุดหวิด แต่การแสดงออกเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าข่มกดดันไว้จนหมด แต่ก็ไม่ใช่ชนะอย่างหวุดหวิดแน่นอน ตอนท้ายยังดูค่อนข้างอหังการอีกด้วย จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “หลักๆ คือคิ
พอสิ่งมหึมานี้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งลานก็เงียบกริบไปทันที!ทุกคนหวาดกลัวกันจนกระทั่งกลั้นหายใจ!หนึ่งคือเพราะมนุษย์นั้นจะเกิดความกลัวได้ง่ายต่อสิ่งของที่ใหญ่โตมหึมานี่น่าจะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในยีนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายยิ่งไปกว่านั้น ตัวมนุษย์เองก็หวาดกลัวกับแมลงประเภทแมงมุมอยู่แล้วโดยเฉพาะแมงมุมที่ดูฉูดฉาดและร่างหายมหึมาขนาดนี้ตอนนี้เอง เจ้าตัวโตที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันบนลานประลองก็คุมสถานการณ์ไปทั้งหมดแล้ว!ใหญ่แล้วหรือ? นี่มันยังย่อไว้หน่อยแล้วด้วยนะ ไม่อย่างนั้นบนเวทีนี้ มันเดินไม่กี่ก้าวก็คงจะสุดทางแล้วแมงมุมหรือ? ขาขนปุกปุยทั้งแปดกับแขนเคียวนั่น แล้วยังมีปากที่แหลมคมอีก มองอย่างไรก็เป็นแมงมุม ไม่ใช่ปูอย่างแน่นอนฉูดฉาดหรือ? ลายดอกไม้บนหลังกับท้องของมัน เหมือนกับใบหน้าผีที่กำลังร้องไห้กำลังหัวเราะอยู่อย่างไรอย่างนั้นนี่คือที่มาของชื่อมัน“แมงมุมหน้าผี!”“นี่มันแมงมุมหน้าผี! น่ากลัวเหลือเกิน!”“ข้ากลัวแมงมุม ขนข้าลุกไปหมดแล้ว!”“ข้าก็ด้วย!”“แมงมุมหน้าผีที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นระดับราชาแล้วกระมัง? ครั้งนี้จั๋วซือหรานแพ้แน่แล้ว!”เสียงดังขึ้นไม่ขาดสาย
ไม่มีคนสังเกตเห็น ว่าที่ข้างเวที เจ้าสำนักหอจันทร์เงินที่หน้าตาอ่อนโยนหล่อเหลา เวลานี้มีสีหน้าปั้นยากมากตราประทับจันทร์เสี้ยวที่หน้าผากนั่น ขมวดเป็นก้อนจากการขมวดคิ้วแน่นของเขาแล้ว!คนอื่นอาจไม่รู้ แต่อินเจ๋ออันชัดเจนอย่างที่สุด!ผีเสื้อปีกระยับตัวเดียวของนางเผชิญหน้ากับราชาแมงมุมหน้าผีแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกัน? ผีเสื้อปีกระยับตัวหนึ่งถ้าเผชิญหน้ากับแมงมุมหน้าผีมันไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว!แต่ผีเสื้อปีกระยับนั่นไม่ใช่ของจั๋วซือหราน!อินเจ๋ออันเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนแรกเขาก็รู้ถึงอันดับการออกสัตว์ประหลาดของซางถิงแล้ว ยกที่สามคือ...ผีเสื้อปีกระยับผีเสื้อปีกระยับที่ไม่มีประโยชน์! เป็นของซางถิง!ส่วนราชาแมงมุมหน้าผีที่พลังกับขนาดร่างกายสะกดไปทั้งเวทีนั่น เป็นของจั๋วซือหรานต่างหาก!อินเจ๋ออันดูถูกนางไปจริงๆ ตอนนี้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เสียใจอย่างมาก เสียใจอย่างมากจริงๆ แค่คิดขึ้นมาใจก็รวดร้าวแล้วตอนนี้เอง ในห้องหรูบนหอในห้องหรูของตระกูลซาง เสียงแหลมหนึ่งดังขึ้น “นี่เลย นี่เลย คุณหนูสี่ ราชาแมงมุมหน้าผีตัวนี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ข้ากับคนเหล่านั้นจะมอบให้เป็นของขวัญวันเก
อดพูดไม่ได้เลย ว่าคำสบถคำนี้ของจั๋วซือหรานแม่นยำมาก ผู้คนที่บาดเจ็บเหล่านี้ ดูแล้วเหมือนถูกทัณฑ์เชือดเฉือนอย่างไรอย่างนั้นแต่ละคนกลายเป็นมนุษย์โชกเลือดไปหมด!และเพราะฉากที่ค่อนข้างน่าตกตะลึงนี้เลือดสดจึงกระตุ้นเอาความเร่าร้อนของคนทั้งหมด“ฆ่าๆๆ!”“ฆ่าเขาเสีย!”“ฆ่านางเสีย!”ตอนนี้เหมือนจะไม่เกี่ยวกับแพ้ชนะแล้ว แต่กลับเกี่ยวข้องกับความตื่นเต้นเร้าใจที่ได้มาจากเลือดเหล่านี้“จั๋วซือหรานคนนี้เก่งกาจเกินไปแล้ว สัตว์ประหลาดที่นางนำมาร้ายกาจขนาดนี้เชียว!”“นางคิดจะทำให้คนตกตะลึงไปถึงเมื่อ...”มีคนยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกความโกลาหลที่ปรากฎขึ้นกะทันหันตัดบทไปเสียแล้ว“ทำ ทำไมหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”“ให้...ให้ตายเถอะ รีบดูสิ นั่นมัน...”“นั่น...มันอะไร สถานการณ์อะไรกัน...?”ทุกคนล้วนตกตะลึงไปแล้วเพราะว่าตอนนี้ ทุกคนล้วนเห็นแล้ว ว่าราชาแมงมุมหน้าพิษ....ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ซางถิงอัญเชิญออกมากลับมาขวางไว้ด้านหน้าจั๋วซือหรานพูดให้ถูกคือ อันที่จริงก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่า พอการโจมตีของผีเสื้อปีกระยับไม่มีผลกับราชาแมงมุมหน้าผี ราชาแมงมุมหน้าผีจึงจะต้องไปโจมตีจั๋วซือหรานแล
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด