อินเจ๋ออัน: “...” หลักฐานหลักฐานหลักฐาน! หลักฐานอีกแล้ว! นางเป็นกรมสอบสวนคดีอาญาหรือไรกัน! ที่นี่ไม่ใช่โถงพิพากษาของกรมสอบสวนคดีอาญาเสียหน่อย! ยังจะมาเอาหลักฐานอะไรอีก!อินเจ๋ออันสูดลมหายใจลึก จึงพยายามข่มอารมณ์ในใจที่ถูกหญิงสาวคนนี้กระตุ้นขึ้นอย่างง่ายดายและรู้สึกได้เลยว่าทำไมสามตระกูลใหญ่นั้นถึงได้เกลียดนางจนเข็ดฟัน แต่กลับต้องมาปวดหัวอย่างมากเพราะนาง!เสียงของอินเจ๋ออันแทบจะลอดออกมาจากร่องฟันแล้ว “เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไรล่ะ?”จั๋วซือหรานพอได้ยินคำพูดนี้ของอินเจ๋ออัน สองมือที่เดิมทีกอดอกตลอดในที่สุดก็ปล่อยลงมาแล้วในตานางเปล่งประกาย อินเจ๋อหรานตอนที่มองเห็นสายตานี้ ก็มีความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ แต่กลับไม่รู้ว่าตรงไหนที่ไม่สบายใจส่วนเจี่ยงเทียนซิง เขาจำสายตานี้ของจั๋วซือหรานได้ สายตานี้ของนางเป็นตัวแทนว่านางวางแผนทำร้ายผู้อื่นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแผนรับมือแล้วด้วยอดพูดไม่ได้จริงๆ จากมุมที่ถูกนางวางแผนใส่ก็คงรู้สึกแย่เอามากๆ แต่ตอนนี้พอมาเป็นสหายกับนาง แล้วเห็นสายตาของนางเช่นนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกเหมือน...แอบคาดหวังอยู่หน่อยๆ เหมือนกันจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า “
เจี่ยงเทียนซิงจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่หันไปพูดเรื่องอื่นแทน“ยังมีงานเลี้ยงชานั่นอีก” เจี่ยงเทียนซิงเอ่ยขึ้น “งานเลี้ยงชาของอ๋องอวี้ชิน ข้าเองก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายใจเลย”“อื๋อ? ” จั๋วซือหรานฟังถึงตรงนี้ แหงนตามองเขาเจี่ยงเทียนซิงเอ่ยขึ้น “ถ้าหากก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวงถูกก่อกวนจนวุ่นวายไปหมด เป็นการเคลื่อนไหวที่อ๋องอวี้ชินทำขึ้นมาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ในปัจจุบัน ก็คงจะถูกเขาข่มเอาไว้หมดแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่ควรรีบจัดงานเลี้ยงชาขึ้นต่ออีกจึงจะถูก พอหมดความสามารถไปก็ควรจะเก็บเนื้อเก็บตัวให้เรียบร้อยถึงจะถูก แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีความคิดที่จะยกเลิกงานเลี้ยงชานั่นเลยแม้แต่น้อย ทำเอาคนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นหน่อยๆ” เจี่ยงเทียนซิงขมวดคิ้วด้วยช่องทางข้อมูลของหอฟ้าดาวถือว่าใช้ได้อยู่ ดังนั้นจึงเข้าใจอย่างชัดเจน ว่างานเลี้ยงชานั้นของอ๋องอวี้ชิน ตอนนี้ยังไม่มีการยกเลิกแต่อย่างใดไม่ใช่แค่ไม่มี อุทยานหลิ่วพ่านทางนั้นยังเตรียมการสำหรับงานเลี้ยงชานี้อยู่ตลอดอีกด้วยหลังจากจั๋วซือหรานได้ยิน ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “น่าจะเพราะท่านอ๋องคนนี้ยังมีแผนสำรอ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังกังวลกับเรื่องที่ทั้งสามตระกูลเริ่มหันมาเพ่งเล็งนางอยู่เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้กระแสภายนอกยังไม่เอื้อกับนางแท้ๆแต่เวลาแค่วันเดียวเท่านั้น กระแสภายนอกที่ทำให้คนกังวลก่อนหน้าก็พลิกกลับอย่างสิ้นเชิงแต่ก็เหมือนกับประโยคนั้นพูดเอาไว้ สิ่งที่คนอื่นเห็นล้วนเป็นว่านางบินได้สูงแค่ไหน แต่ว่าเซี่ยอวิ๋นเหนียงในฐานะที่เป็นแม่ สิ่งที่เห็นก็คือลูกสาวบินได้เหนื่อยหรือไม่เซี่ยอวิ๋นเหนียงถาม “หรานหราน เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้วกระมัง?”“ยังไหว ไมได้เหนื่อยมาก” จั๋วซือหรานยิ้มๆ รู้ว่าท่านแม่เป็นห่วง เพื่อให้แม่ของนางวางใจจึงเอ่ยต่อว่า “ตอนที่ตระกูลเหยียนชื่อเสียงสูงสุด ก็ยังดึงข้าลงมาไม่ได้ ตอนนี้แน่นอนว่าทำไม่ได้อยู่แล้ว”เซี่ยอวิ๋นเหนียงเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ “หรานหราน แม่ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปแล้ว เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”จั๋วซือหรานมองตาของเซี่ยอวิ๋นเหนียง ตามเหตุผลแล้วตนเองกับเซี่ยอวิ๋นเหนียงไม่ใช่แม่ลูกแท้ๆ ไม่ควรจะมีหลักการที่ว่าแม่รู้จักลูกสาวดีที่สุดแต่ก็อดพูดไม่ได้จริงๆ เซี่ยอวิ๋นเหนียงพอพูดคำพูดนี้ออกมา จั๋วซือหรานก็ยังรู้สึกขึ้นจริงๆ ว่าบางทีอาจจะมีอยู่นิดหน่อยเพราะ
จั๋วซือหรานในบ้างด้านก็เฉียบคมมาก แต่ในบางด้านกลับหัวช้าพอควรตอนนี้ความเศร้าสร้อยในเสียงของอ๋องเซี่ยน จั๋วซือหรานคิดว่าเขายังคงไม่สบายใจอยู่จนถึงตอนนี้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องถ้ารู้สึกค่ายป้องกันอยู่ไกลเกินไปล่ะก็ ค่ายลาดตระเวนก็ยังได้นะ สถานการณ์ของค่ายทหารล้วนมั่นคงอยู่ในการควบคุมแล้ว แม่ทัพทั้งสองคนก็เป็นคนที่มีคุณธรรม เชื่อว่าท่านอ๋องไม่ว่าจะไปทางไหน ก็ล้วนจะได้รับการปกป้องที่ดีแน่นอน”“ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องถ้าหากมีการเคลื่อนไหวอะไร ก็จะสะดวกขึ้นอีกหน่อย ถ้าอยู่แต่ในหน่วยสืบสวนพิเศษ มันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก”ซือคงเซี่ยนมองดวงตาสุกใสของจั๋วซือหราน ฟังแล้วรู้สึกว่าเธอวางแผนเอาไว้ดีมากจึงตอบมาว่า “ขอบคุณมากแม่นางจิ่ว”“ท่านอ๋อง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หากหลังจากนี้ร่างกายยังมีจุดที่ไม่สบาย ก็ให้คนเข้ามาบอกข้าได้” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นซือคงเซี่ยนมองหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อนางหลังจากซือคงเซี่ยนกลับห้องไปชิ่งหมิงนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาจ้องมาทางจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานถูกสายตาบริสุทธิ์ของเขาจ้องจนรู้
“นายท่าน” ฉุนจวินสีหน้าร้อนรน เข้ามาประคองเฟิงเหยียน“แค่ก...” วินาทีต่อมา เฟิงเหยียนก็ไอออกมาเป็นเลือดฉุนจวินถามขึ้น “นายท่าน เป็นอะไรไป? แม่นางจิ่วเองก็ไม่มีทางแก้หรือ?”เฟิงเหยียนยกมือขึ้นเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ดวงตาจืดจาง “กว่าครึ่งคือยังไม่มีวิธีน่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าพวกตระกูลเฟิง คงไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาบีบข้าอย่างมั่นใจขนาดนี้...”แววตาของฉุนจวินยิ่งร้อนรนขึ้นไปอีก ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับตระกูลเฟิงแปลกประหลาดขนาดนี้เชียวเป็นความสัมพันธ์ที่คอยควบคุมซึ่งกันและกัน ตระกูลเฟิงต้องการให้เฟิงเหยียนเป็นภาชนะของพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง มาทำให้พลังของคนในตระกูลมั่นคง และทำให้ตระกูลเฟิงสามารถอยู่เป็นผู้นำตระกูลขุนนางในเมืองหลวงได้ตลอดดังนั้นตัวตนฐานะของเฟิงเหยียนในตระกูลเฟิงจึงสูงส่งมากแต่ในมือตระกูลเฟิงก็ยังมีจุดอ่อนที่สามารถควบคุมเฟิงเหยียนได้ ตระกูลเฟิงไม่ได้มีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์มีชื่อว่าพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือดวงใจแห่งหงส์แดงถ้าหากบอกว่าเฟิงเหยียนคือภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ของหงส์แดง เช่นนั้นดวงใจแห
ในห้อง ฉุนจวินจัดการเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเฟิงเหยียนก่อนหน้านี้ไปแล้วตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงกังวานเสียงหนึ่งดังที่นอกประตู “ท่านอ๋อง ท่านยังไม่หลับใช่ไหม? ข้าเห็นไฟยังสว่างอยู่”ฉุนจวินอยากจะให้คุณหนูเข้ามาตรวจอาการของนายท่านใจจะขาด ดังนั้นจึงหันไปมองนายท่านที่นั่งอยู่ตรงนั้น แม้คิ้วจะขมวดเล็กน้อย แต่กลับไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใดฉุนจวินจึงเปิดประตู “แม่นางจิ่ว สายัณห์สวัสดิ์”“อื๋อ? ฉุนจวินเองก็อยู่ด้วยหรือ” จั๋วซือหรานมองเขาฉุนจวินเปิดทางให้นางเข้ามา “นายท่านยังไม่พักผ่อนเลย”ฉุนจวินคิดๆ แล้วก็เสริมขึ้นมาคำหนึ่ง “เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วน่ะ”ใช่แล้ว ฉุนจวินคิดขึ้นมาได้ นายท่านทรมานมากจากการถูกแว้งกัด ตามหลักควรจะพักผ่อนได้แล้ว แต่กลับรอจนดึกดื่นไม่ยอมนอนมาตลอดก็เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วที่ยังไม่กลับมากระมัง?จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปทางเฟิงเหยียนและชายหนุ่มที่ดูดีจนเหมือนไม่ใช่คนคนนี้ แต่เดิมไม่พูดไม่จา ทว่าตอนนี้พอได้ยินคำพูดของฉุนจวินก็ขมวดคิ้ว ตำหนิเสียงต่ำมาว่า “พูดมาก”ดูท่าจะปากแข็งเอาเรื่อง“อืม...” จั๋วซือหรานครางเสียงยาว มุมปาก
“ไม่เป็นไรจริงๆ” เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นมาจั๋วซือหรานคิด “ให้ข้ารักษาให้ท่านเถอะ มีโรคก็ต้องรักษาโรคสิ ไม่มีโรคร่างกายจึงจะแข็งแรง...”ฉุนจวินพอได้ยินคำพูดนี้จึงถอนใจโล่งออกมาพอรู้ว่าแม่นางจิ่วจะรักษาให้นายท่าน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นว่านายท่านกับแม่นางจิ่วจับมือถือแขนกันด้วยฉินจวินจึงถอยออกจากห้องอย่างรู้ความจั๋วซือหรานรักษาให้เขา พลางบอกเขาถึงเรื่องในวันนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะ เขาเป็นคนที่ยื่นมือเข้าไปช่วยนางก่อน และเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางมาตลอดดึงนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่เคยป้องกันอะไรเขาเลยยิ่งไปกว่าเรื่องอีกมากมาย ถ้าไปพูดกับคนอื่นก็ไม่ค่อยเหมาะสม จะพูดกับแม่ ก็กลัวแม่จะเป็นห่วงที่พูดกับเฟิงเหยียนก็เหมือนจะเหมาะสมที่สุดแล้ว เขาเองก็พูดน้อย ถนัดรับฟังมากกว่า นิสัยเช่นนี้ของเขา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโพนทะนาไปทั่วยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็รักษาอาการบาดเจ็บให้นาง มีจุดนี้อยู่จึงยิ่งปลอดภัยขึ้นไปอีกเฟิงเหยียนฟังเงียบๆ ได้ยินว่านางต้องไปเจอกับการเพ่งเล็งของตระกูลเหยียน แล้วยังไปค่ายป้องกันนอกเมืองรักษาให้ทหารอีก คนที่ตลาดมืดก็ยังมาหาเรื่องนาง...เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว “หอจันทร์เงิน? ไ
ดวงตาจั๋วซือหรานถลึงโตขึ้นมาก่อน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือดวงตาลึกซึ้งราวกับทะเลราตรีที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมลึกซึ้งสวยงาม และดึงดูดราวกับกระแสวนจั๋วซือหรานสบตากับเขาครู่หนึ่ง เห็นในดวงตาของเฟิงเหยียนรอยยิ้มที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ในที่สุดนางก็ไม่ทนแล้ว รีบปิดตาลงดังนั้น นางจึงไม่ทันสังเกต ว่าหลังจากนางหลับตาไปครู่หนึ่ง สีหน้าในดวงตาคู่งามของชายหนุ่ม มีเจ็บปวดจากการอดกลั้นเพิ่มขึ้มาพอสมควรเพราะเขาแบ่งพลังให้กับจั๋วซือหรานอีกครั้ง ดังนั้นตระกูลเฟิง จึงลงโทษเขาเช่นนี้ความรู้สึกเจ็บปวดทะลวงใจทะลุกระดูกนั่น ทำเอาเขาเกร็งไปทั้งตัวทั้งๆ ที่หลายปีนี้ ในฐานะที่เห็นภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอเรื่องทุกข์ทรมานมาไม่น้อยแล้วแท้ๆ ตามหลักการก็ควรจะไม่รู้สึกกับความเจ็บปวดใดๆ แล้วแต่เพราะความเจ็บปวดนี้ ก็ยังเกร็งขึ้นมาทั้งตัวมือของจั๋วซือหรานจับไปที่เอวของเขาเบาๆ ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งตัวของร่างกายเขาจั๋วซือหรานพอคิดจะลืมตา ก็ถูกมือข้างหนึ่งของเฟิงเหยียนปิดตาไว้ส่วนมืออีกข้างของเขา ก็ช้อนท้ายทอยนางแนบสนิทยิ่งขึ้นจั๋วซือหรานรู้สึกแค่ว่า จูบที่ดึงดันกลับอบอุ่นแต่เดิมของชายหนุ่ม เวลานี
แต่อันที่จริงด้านในมีโพรงสวรรค์อยู่สมบัติที่นางสะสมมาจากชาติที่แล้วและชาตินี้ ห้องคลังก็ล้วนอยู่ในบ้านหลังนี้ทั้งสิ้นคลังของนางพูดได้ว่าใหญ่โตเอามากๆ กระทั่งคลังยังถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วย คลังยา คลังอาวุธ คลังเสบียงอาหารประจำวัน คลังของจิปาถะเป็นต้นนอกจากนี้ ยังมีห้องหลอมสกัดยาของนางด้วย...อันที่จริงในชาติที่แล้ว มิติห้องหลอมสกัดยานี้ไม่ได้เอามาใช้หลอมยา แต่บางครั้งนางนำมาใช้เป็นการทดลองยาอะไรพวกนี้พอมาชาตินี้ ก็นำมาใช้หลอมยาสกัดยา ก็ยังถือว่าตรงสายงานเฉพาะทางอยู่ ไม่เสียเปล่าแล้วยังมีห้องเพาะเลี้ยงของตนเองด้วย ตอนนั้นตั้งใจจะมาเพาะเลี้ยงพวกของที่ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ พวกเห็ดอะไรทำนองนี้ในมิติของนาง ด้านนอกเป็นพื้นที่โล่ง พวกพืชเองก็ปลูกแบบสะเปะสะปะแต่ว่าพวกเห็ดมันคือเชื้อราจริงๆ อยู่ด้านนอกก็ปลูกไม่ค่อยโต ดังนั้นจั๋วซือหรานจึงจงใจสร้างห้องเพาะขึ้นมาโดยเฉพาะเพียงแต่ตอนนี้ยังว่างอยู่จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้โยนหุ่นเชิดความมืดเข้ามาในห้องเพาะปลูกนี้ชั่วคราวแต่ตอนนี้ มันไม่อยู่ด้านในแล้วถ้าตามที่แมงมุมน้อยว่า มันหลบอยู่ที่ด้านหลังของบ้านจั๋วซือหรานเดินเข้าไป ยื่นหน้
"ดังนั้นจึงมาลงมือกับเจ้าหรือ?" จั๋วซือหรานมองไปทางแมงมุมน้อย "ถึงอย่างไรพอพูดขึ้นมา เจ้าเองก็ก็เป็นสิ่งมีพิษที่หาได้ยากด้วยนี่ แล้วยังเป็นระดับราชาสัตว์ด้วย ถ้าเขาเสพติดพิษขึ้นมาด้วยคุณสมบัติร่างกายแบบนั้นจริงล่ะก็..."จั๋วซือหรานตบเบาๆ ลงไปบนแขนเคียวของราชาแมงมุมหน้าผี "เจ้าเองก็ตัวใหญ่ขนาดนี้ ถือเป็นของบำรุงที่ไม่เลยเลยทีเดียว"จั๋วซือหรานก็เหมือนตระหนักได้ถึงแก่นแท้เรื่องราวในชั่วพริบตาราชาแมงมุมหน้าผีได้ยินการคาดเดากับการวิเคราะห์ของจั๋วซือหราน ก็คิดขึ้นมาถึงความเป็นไปได้นี้ พอคิดไปถึงว่าตนเองเกือบถูกคนเอาไปเป็นของบำรุงแล้ว ก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้"ยังดีที่นายท่านช่วยเหลือไว้" แมงมุมน้อยเอ่ยขึ้นแม้จะบอกว่า จั๋วซือหรานเข้าใกล้แก่นแท้ของเรื่องราวไปแล้วในชั่วพริบตานั้น แต่นางก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนักนางโบกไม้โบกมือ เอ่ยขึ้นว่า "ช่างเถอะ ไม่มีอะไรน่าคิดเล็กคิดน้อย ด้วยพลังของคนเมื่อครู่นี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ข้าก็ไม่ไปหาเรื่องเขาหรอก คนแบบนั้น การสู้ให้ตายกันไปข้าง น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร"จั๋วซือหรานพูดไปด้วยพลางสังเกตสภาพของแมงมุมน้อยไปด้วย จากนั้นจึงตบเบาๆ แล้วเอ่ยขึ
เจ้าคิดว่าข้าทรยศเจ้า ใช้ประโยชน์จากเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าสูงส่งเต็มประดานักหรือ?! เจ้ามันก็จนตรอกแล้วเท่านั้น!รอให้เจ้าจนตรอกเสียก่อน เพื่อจะมีชีวิตต่อไปเจ้าก็ต้องทรยศคนทั้งหมดเหมือนกัน! เจ้าจะลงหมอบคลานกับพื้นส่ายหางอย่างน่าสงสาร!เจ้าไม่ได้ดีกว่าข้าหรอก! เจ้าก็จะเป็นเหมือนข้า! ถึงอยี่างไร ข้าก็เป็นคนสอนเจ้ามา!"หลงเฉินพูดจบ ก็หัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่งเขาไม่ได้สังเกตเห็นสีตาของเฟิงเหยียน ที่ตอนนี้เหมือนจะเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งขึ้นมาพอควรเสียงของเฟิงเหยียนกดลงต่ำมาก แต่กลับหนักแน่น "ข้าไม่มีทางเป็นแบบนั้น"เขาหันกลับไปมองชายหนุ่มที่น่าเศร้าซึ่งพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดในสมองก็อดคิดถึงเรื่องเหล่านั้นสมัยยังเด็กขึ้นมาไม่ได้เสียงที่อ่อนโยนอบอุ่นของชายคนนี้ นั่งอยู่ใต้ต้นดอกท้อบานสะพรั่ง หลับตาพริ้ม กำลังดื่มชาขาวดอกสาลี่ยิ้มตาหยีบอกกับเขาว่า "เหยียนเอ๋อร์ อันที่จริงเจ้าไม่ต้องพยายามอยากจะเติบโตอยากจะแข็งแกร่งขนาดนั้นหรอก เพราะพอเติบโตแล้ว...มันไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด คำของข้า รอเจ้าโตแล้วก็จะเข้าใจเอง"ตอนนั้นใบหน้าที่อ่อนโยนอบอุ่นของชายคนนี้ ค่อยๆ ซ้อนทับกับใบหน้าที่บ้าคล
สีหน้าหลงเฉินปั้นยากมาก แต่...ไอ้การข่มกันของธาตุนี้เหมือนกับเป็นความสามารถแต่กำเนิด! ควบคุมได้ยากมากดังนั้นในพริบตาที่อุณหภูมิร้อนแรงบนตัวเฟิงเหยียน กับประกายไฟไร้รูปร่างปรากฏขึ้นร่างของหลงเฉินก็เบี่ยงหลบไปอย่างควบคุมไม่ได้เขียนเอ่ยเสียงแข็ง "เจ้า...จะทำอะไร"เฟิงเหยียนเหมือนห่อไว้ด้วยเปลวไฟทั้งตัว ทั้งร่างราวกับเป็นลูกไฟ อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างร้ายกาจแล้วจึงเดินไปด้านหน้าโดยไม่สนใจใครไม่นานนักก็มาถึงตำแหน่งใจกลางหมอกพิษ จึงมองเห็นบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบใจกลางเทียนช่อนั้นมันเป็นเหมือนกับชื่อเลย มีเจ็ดดอก ใบเจ็ดใบ ทุกดอกล้วนเป็นสีม่วง เกสรสีเหลืองยาวมาก ราวกับเป็นเทียนแล่มหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นมันบานอยู่ในบ่อน้ำเล็กๆ บ่อน้ำยังใหญ่ไม่เท่าใบหน้าเลย แต่ของเหลวที่อยู่ด้านใน ดูแล้วกลับเป็นสีม่วงเข้ม!และเจ้าของเหลวสีม่วงเข้มเหล่านี้ พอเดือดระเหย แล้วผสมเข้ากับความชื่นในอากาศของป่าทวนแสง นานวันเข้าจึงกลายเป็นหมอกพิษที่เข้มข้นขึ้น"ที่แท้ท่านก็คอยคุ้มครองเจ้าสิ่งนี้นี่เอง" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งหลังจากนั้นจึงยื่นมือไปทางบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนช่อนั้น"หยุดนะ!" หลงเฉินตะโก
หลงเฉินเนื่องจากร่างกายแบกพลังมังกรหนามม่วงไว้ แต่สิ่งที่ต้องนำมาสะกดนั้นตรงข้ามกับเฟิงเหยียนหลงเฉินเป็นประเภทที่ต้องพึ่งพาคุณสมบัติต่อพิษ ถ้าหากไม่มีการหาสิ่งที่พิษ พิษของมังกรหนามม่วงในร่างกายก็จะเริ่มทำร้ายตนเองอันที่จริงถ้าหากจั๋วซือหรานอยู่ที่นี่แล้วมีปฏิกิริยากับเนื้อหาที่เฟิงเหยียนพูดมาล่ะก็ คงจะมีคำจำกัดความให้อย่างรวดเร็วว่า:นี่มันก็เหมือนกับติดยาเสพติดนี่นาสถานการณ์ของหลงเฉินตอนนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ"เพราะที่พรมแดนใต้มีสิ่งมีพิษอยู่มากกว่า" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้น "แต่ก่อน บางทีท่านก็หายไประยะหนึ่ง บอกว่าตนเองปิดด่าน หลังจากกลับมาสีหน้ากับสภาพก็ไม่ค่อยสู้ดีนักตอนนี้พอคิดๆ ดู ท่านก็น่าจะไปเอาสิ่งมีพิษมาใช้ประโยชน์กับตัวเองสินะ...ท่านอยู่แค่ในป่านี้ ก็เพราะที่นี่มีหมอกพิษข้าเดาว่าท่านคิดจะสูดรับหมอกพิษเหล่านี้แล้ว ค่อยไปยังใจกลางหมอกพิษเอาสมบัติที่ก่อหมอกพิษหนาแน่นนี้มาใช้ประโยชน์กับตนเองและสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ท่านลงมือกับสัตว์อสูรของจั๋วเสียวจิ่ว ก็น่าจะเพราะแมงมุมตัวนั้นไปพบกับสมบัติที่ใจกลางหมอกพิษ แล้วกำลังจะเก็บมันมาสินะยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเพราะ แมงมุมตัวนั้นก็เ
เฟิงเหยียนหลังจากพูดคำนี้ ก็ได้เห็นสีหน้าหลงเฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชากับปั้นยากอย่างที่หวังเอาไว้ชั่วพริบตา เฟิงเหยียนก็รู้สึกสุขล้นขึ้นมาก่อนหน้านี้อันที่จริงเขาไม่ใช่คนนิสัยแบบนี้ หลายครั้ง ที่เขาขี้เกียจจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนอื่นการพูดจาแทงใจดำคนอื่นเช่นนี้ เป็นความสามารถของจั๋วซือหรานนางเหมือนจะมีความสามารถที่พูดแค่ไม่กี่คำ ก็ทำให้คนอื่นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้และเฟิงเหยียนในตอนนี้ ก็เหมือนจู่ๆ เข้าใจถึงความสุขนั้นขึ้นมาแล้ว?ถึงอย่างไร พอเห็นคนที่ไม่ชอบหน้า เห็นสีหน้ากับหน้าตาที่ปั้นยากนั่นในใจก็รู้สึกเป็นสุขมากกว่าธรรมดา"หญิงสาวคนนั้นบ้าบิ่นหยิ่งยโสนัก" เสียงของหลงเฉินเอ่ยขึ้นมาโดยไม่เหลือความอบอุ่น "ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าจะใจดีไป ถึงได้ปล่อยนางหนีไปกับเจ้า""องค์กรเดิมทีก็คิดจะกำจัดนางอยู่แล้ว ข้าเห็นแก่หน้าเจ้าหรอกนะ ถึงไม่ได้ทำอะไรนาง" หลงเฉินยิ้มเย็นชา "แต่นี่ก็ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ จัดการนางทิ้งน่าจะดีกว่า"เฟิงเหยียนเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ท่านอย่ามาทำเป็นแข็งกร้าวนักเลย""โอ๋?" หลงเฉินมองเขา "ข้าแข็งกร้าวเรอะ?"เฟิงเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ "ถ้าท่านรีบออกจากป่านี้ เ
ท้ายสุดก็ยังไม่สามารถให้อภัยได้ สักนิดก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงตัดความสัมพันธ์กับอาจารย์ แยกทางกับพี่น้องไปเขาสูงทะเลกว้าง ราวกับไม่มีวันได้พบกันอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง เหล่าพี่น้องล้วนรู้สึกว่าเขาทำผิดไปแต่เฟิงเหยียน ทุกคนล้วนยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ดื้อรั้น แม้ว่าจะผิด แต่เขาก็ยืนยันที่จะเดินไปจนถึงที่สุดแต่ว่า...หลังจากนั้นล่ะแล้ว...ตอนนี้ล่ะ?เฟิงเหยียนมองเรียบๆ ไปเบื้องหน้า...มองไปยังอดีตอาจารย์ที่เคยเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ๋ในสายตาเขาเสียงของเฟิงเหยียนไม่ได้เย็นชาอะไร หรือห่างเหินโกรธแค้นอย่างไรมีแต่ความสงบความสงบที่ไม่มีอาการขึ้นลงของอารมณ์ดวงตาที่เฟิงเหยียนมองหลงเฉิน ถามขึ้นเสียงเรียบว่า "พวกเขาเคยบอกว่าข้าทำผิด พวกเขาล้วนคิดว่า ท่านแค่ทำเพื่อข้า เป็นข้าที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เป็นข้าที่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่""แต่พวกเขาตอนนี้ ไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว?" เฟิงเหยียนถามขึ้นหลังจากนั้น ความสงบที่อบอุ่นบนหน้าหลงเฉิน ก็เหมือนพังทลายลงในพริบตา เผยให้เห็นความมืดมนราวกับถูกย่ำลงไปบนจุดเจ็บอย่างไรอย่างนั้นศิษย์เหล่านั้นที่เคยรายล้อมอยู่รอบตัวเขา ทุกวันเหมือนเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา
จะเรียกว่าเยี่ยนหรานหรือว่าเฟิงเหยียนก็ได้ทั้งนั้น แต่คำว่าศิษย์นั้นไม่ได้เขาตัดขาดความสัมพันธ์กับหลงเฉินไปแล้ว และไม่ใช่ศิษย์ของเขานานแล้วหลงเฉินได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขาจึงหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา "เป็นเด็กดื้อจริงๆ มิน่าตอนนั้นอวิ๋นเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์ถึงได้ทะเลาะกับเจ้า"พอได้ยินสองชื่อนี้ มุมปากเฟิงเหยียนก็เม้มแน่นขึ้นมาตอนนั้นศิษย์ที่อยู่ใต้สังกัดของหลงเฉินไม่ใช่มีแค่เขา แต่ยังมีศิษย์คนอื่นอยู่ด้วยแม้เขาจะนิสัยค่อนข้างเย็นชา แต่เพราะพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม จึงได้รับความโปรดปรานจากหลงเฉินมากศิษย์คนอื่น แม้อันที่จริงตอนนั้นจะมีความผูกพันธ์ฉันท์พี่น้องลึกซึ้ง แต่ในกลุ่มเด็กหนุ่มที่ชอบแข่งขัน ก็ย่อมมีคนอิจฉาที่เขาได้ความรักจากอาจารย์มากที่สุดในกลุ่มเด็กหนุ่ม ไม่มีความแค้นฝังลึกอะไรแบบนั้น ก็แค่อิจฉาริษยาเท่านั้น ทะเลาะกันสักยกก็จบเรื่องแต่เฟืงเหยียนไม่ว่าจะสู้กับคนอื่นอย่างไร ก็ไม่เคยก้มหน้าให้ดื้อแพ่งสุดๆและต่อมา ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ ว่าตนเองถูกอาจารย์รังแก ถูกทรยศมาตลอดเหตุผลตั้งแต่ต้นจนจบ ก็แค่เพราะเข้าเหมาะที่จะเป็นภาชนะหงส์แดงมากที่สุดเท่า
เพียงแต่ว่า ถ้าจะให้พูดจริงๆ เฟิงเหยียนเองก็อาจจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากออกเมืองหลวงมาก็อยากจะติดตามหญิงสาวคนนั้นทั้งที่จำไม่ได้แล้วแท้ๆ ทั้งที่ตัดสินใจจะขีดเส้นคั่นแล้วแท้ๆแต่ก็ยังตามนางมาเพราะรู้ว่านางระแวดระวังแค่ไหน ก็เลยใช้วิะีการแปลงโฉมที่เป็นเอกลักษณ์ และไม่เข้าใกล้นางอยู่ตลอด จนกระทั่งนางเข้ามาในป่าทวนแสงนี้พอมาถึงพื้นที่ป่าที่หมอกพิษหนาทึบ สัมผัสของคนเราก็จะอ่อนแอลง ตอนนี้จึงร่นระยะเข้าใกล้ขึ้นมาและเพราะเหตุนี้ จึงได้มองออกถึงหลงเฉิน...ภาชนะมังกรหนามม่วงตั้งแต่แรกเห็นหลงเฉินเป็นอาจารย์ของเขา หนึ่งในภาชนะสัตว์เทพที่สภาผู้อาวุโสรวบรวมเข้ามาตอนนั้นที่สภาผู้อาวุโสให้หลงเฉินได้เจอกับเขา สั่งสอนเขา ให้เขาพึ่งพาศรัทธาเป็นอาจารย์ เป้าหมายหลักๆ แล้ว อันที่จริงก็คือแบบนั้นสภาผู้อาวุโสหวังจะรวบรวมภาชนะหงส์แดงเข้ามา เพียงแต่เนื่องจากตระกูลเฟิงเจ้าเล่ห์เกินไป เพื่อรับประกันว่าตระกูลตนเองยังสามารถใช้ประโยชน์พลังของสัตว์เทพได้ จึงใช้มันออกมาแทบทุกวิถีทางไม่ว่าจะพันธนาการดวงวิญญาณของสัตว์เทพ หรือลงมือกับภาชนะสัตว์เทพอย่างเขาดังนั้นสภาผู้อาวุโสจึงทำไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงทำ