“เมื่อครู่นี้ข้าถามอะไรอีกล่ะ โอ้ ใช่แล้ว องค์หญิงของพงกเจ้านำตัวนี้มาเมืองหลวง นางอยากทำอะไรกันแน่ นางแค่สมรู้ร่วมคิดกับซือคงยวี่ และพยายามทำให้สถานการณ์ในเมืองหลวงวุ่นวาย... หรือมีแผนอะไรที่ใหญ่กว่านี้"ทันทีที่จั๋วซือหรานพูดเช่นนี้ แม้ว่าทั้งสองคนจะมีความลังเลอยู่บ้าง แต่ความกลัวพิษกู่ร้อยไหมมากกว่าพวกเขารีบตอบคำถามของจั๋วซือหราน "ครั้งนี้นักปราชญ์หญิงต้องการช่วยเหลืออ๋องชินยวี่แห่งแคว้นชางจริง ๆ ดังนั้นท่านจึงนำพิษกู่ร้อยไหมนี้ เพื่อก่อความวุ่นวายอันร้ายแรงในเมืองหลวง""โอ้ นางยังเป็นนักปราชญ์หญิงแห่งดินแดนทางใต้ของพวกเจ้าหรือ” จั๋วซือหรานถาม “นางคงไม่ใช่แค่อยากก่อความวุ่นวายในเมืองหลวงอย่างเดียวหรอกนะ นางลองมือกับตระกูลเฟิง นางอยากให้ตระกูลเฟิงติดหนี้บุญคุณของนางไม่ใช่หรือ"“ใช่ หากนักปราชญ์หญิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้ และได้ช่วยตระกูลเฟิงไว้ หลังจากอ๋องชินยวี่ขึ้นบัลลังก์ องค์ชายก็จะสามารถสั่งนักปราชญ์หญิงหมั้นกับซื่อจื่อของตระกูลเฟิง ”เมื่อชายคนนั้นพูดถึงจุดนี้ เขามองจั๋วซือหรานอย่างระมัดระวังและพูดต่อด้วยเสียงต่ำ "ท้ายที่สุดแล้ว... ท่านรักษาอาการบาดเจ็บของซื่อจื่อของตระกูลเฟิ
ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าพูดด้วยเสียงต่ำจากใต้หน้ากาก "ทำไมจะไม่ได้"“ก็ไม่ใช่เจ้าไม่ได้ ข้าแค่รู้สึกปลื้มใจนิดหน่อย” จั๋วซือหรานก้มตาและยิ้มแม้ว่าชายคนนั้นมองผ่านรูตาของหน้ากาก แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกสายตาของเขาลึกซึ้งและเฉียบคมอย่างมาก เขามองจั๋วซือหราน "หากข้าไม่มาดูหน่อย เจ้าคงเอาที่พักของชิ่งหมิงมาเป็นที่หลบภัยแล้วกระมัง"เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จั๋วซือหรานรู้แน่นอนว่าชายคนนี้ต้องรู้เรื่องที่นางส่งท่านแม่ของนางและท่านอ๋องเซี่ยนมาพักที่นี่แล้วจั๋วซือหรานยิ้มอย่างเขินอายชายคนนั้นกล่าวต่อ “ท่านแม่และน้องชายของเจ้ามาพักที่นี่ ไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกหลานของราชวงศ์เป็นเรื่องอะไร”จั๋วซือหราน บอกได้เพียงแค่ฟังน้ำเสียงของชายคนนั้นว่าคิ้วของเขาภายใต้หน้ากากจะต้องขมวดคิ้วแน่นมากจั๋วซือหรานกล่าวว่า "ก็...ข้าทำผิดเอง"นางยอมรับความผิดของนางอย่างไม่ลังเลนางยอมรับความผิดของนางรวดเร็วเช่นนี้ ซึ่งทำให้ชายผู้นี้รู้สึกตอบสนองไม่ทันเขาเงียบไปสองสามวินาโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจั๋วซือหรานกล่าวต่อ "เพราะข้าซื่อสัตย์ ใจดี และมีจิตใจอ่อนโยน"มุมปากของจั๋วซือหรานยังคงโค้งเล็กน้อยชายคนนั้นยืนอยู่
ทันใดนั้นสองคนนี้ตัวสั่นและร้องขอความเมตตา "อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า"จั๋วซือหรานไม่ได้มองพวกเขา เพียงแค่มองไปที่เวินป๋อยวนเวินป๋อยวนเงียบไปสองสามวินาทีแล้วมองนางอย่างไร้ความรู้สึก “เจ้าเล่ห์ หากพวกเขาตายที่นี่ ข้ายังต้องจัดการกับศพของพวกเขา”“ขอบคุณที่ท่านชื่นชม” จั๋วซือหรานกล่าวด้วยรอยยิ้มจากนั้นเวินป๋อยวนเปิดประตูลับแล้วพานางเข้าไปชายทั้งสองฟังจากคำพูดของเวินป๋อยวน พวกเขาจึงฟังออก จั๋วซือหรานบอกว่าฆ่าพวกเขาตาย จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพราะนางรู้ว่าใต้เท้าของหน่วยสืบสวนพิเศษผู้นี้จะไมยอมที่จะปล่อยให้พวกเขาตายต่อหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษนางจึงตั้งใจพูดเช่นนี้แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าใต้เท้าท่านนี้ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขามีตำแหน่งอะไรในหน่วยสืบสวนพิเศษ แต่เขาดูลึกลับมาก ท่านผู้นี้คงมีความสามารถอย่างมากอย่างน้อยเขาไม่ใช่บคนธรรมดา... คนที่สามารถทำให้รักษสหญิงคนนี้ยิ้มและปฏิบัติอย่างสุภาพได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆตอนนี้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขามีฉายาให้จั๋วซือหรานโดยเฉพาะ นั่นก็คือรักษสหญิงยิ่งไปกว่านั้น หลังจากสองคนนี้ถูกจั๋วซือหรานลากเข้าไปในหน่วยสืบสวนพิเศษ พวกเขาจึงรู้ตัวดูเหมือนเมื่
เวินป๋อยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเหลือบมองจั๋วซือหราน จากนั้นเขามองชิ่งหมิง “หากข้าอยากห้ามนางจริง ๆ นางจะเข้ามาได้หรือ แล้วตอนนี้นางจะอยู่ที่นี่ได้หรือ”เดิมทีชิ่งหมิงรู้สึกป๋อยวนพูดถูก แต่แต่เขาคิดในอีกแง่หนึ่ง...จากนั้นเขาก็พูดว่า "มันก็ไม่ใช่...เป็นไปไม่ได้ ซือหราน...เก่งมาก..."ชิ่งหมิงพูดอย่างไม่ลังเล ขณะที่เขาพูด เขายังหันไปมองจั๋วซือหราน“ ฮูหยินจั๋วและเสี่ยวหวายพักผ่อนกันหมดแล้ว อาการบาดเจ็บของอีกคนหนึ่ง… ดูเหมือนเจ็บปวดสาหัส ข้าไป... ขอขอยาหนึ่งเม็ด...จากป๋อยวนให้เขาแล้ว ตอนนี้.......เขาคงดีขึ้นมากนัก”จั๋วซือหรานคิด ไม่น่าแปลกใจเลยที่เวินป๋อยวนรู้เรื่องนี้จากนั้นชิ่งหมิงมองไปที่จั๋วซือหราน เขาเห็นคราวนี้ นางพาคนมาที่นี่อีกสองคน เขาไม่ได้คิดอะไรมากมาย ดังนั้นเขาจึงถาม "สองคนนี้จะพักที่นี่เช่นกันหรือ"จั๋วซือหรานตอบ "โอ้ เปล่า หาคุกหรือห้องเก็งฟืนอะไรให้พวกเขาพอ"ชิ่งหมิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง "ฮะ ไม่ใช่... เพื่อนของเจ้าหรือ"“จ้ะ” จั๋วซือหรานกล่าว “ศัตรู และรอหาโอกาสฆ่าข้าด้วย”ในความเป็นจริง พวกเขาทั้งสองฟังจากคำพูดที่จั๋วซือหรานพูดกับชิ่งหมิงและเวินป๋อยวน พวกเขาพอฟัง
ของนุ่ม ๆ หลายตัวที่มีสีต่างกันปรากฏขึ้นในมือของจั๋วซือหรานดูเหมือนว่าพวกมันทุกตัวดจะไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์จั๋วซือหรานรู้สึกว่าการสัมผัสหนอนเหล่านี้มีการรู้สึกที่ดีจริง ๆ ดังนั้นนางจึงถือไว้หนอนเหล่านี้ไว้ในมือและเริ่มลูบมัน นางเกือบลงตัวในความรู้สึกนั้นแต่คนทั้งสองที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มีใบหน้าซีดเซียว ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าของพวกเขาไม่มีสีหน้าที่เป็นสีมนุษย์ แม้แต่ปากของพวกเขาก็ไม่มีสีเลยแค่หนอนกู่ร้อยไหมตัวเดียวก็ทำให้พวกเขากลัวจนฉี่รดได้ แต่ในตอนนี้ ในมือของนางมีหนอนหนึ่ง สอง สาม... สี่ตัว นางมีหนอนกู่ร้อยไหมสี่ตัวเลยแสดงว่าหนอนกู่ร้อยไหมที่พวกเขาส่งเข้าไปในจวนของตระกูลเฟิง นางจับพวกมันทั้งหมดได้แล้วนางเป็นปีศาจอะไรกัน พวกเขามองหนอนกู่ร้อยไหมเป็นภัยพิบัติ แต่นางกลับมองมันเป็นของเล่น ถือมันไว้ในมือแล้วบีบมันเหมือนางกำลังนวดแป้งเมื่อเห็นฉากนี้ ทั้งสองก็เริ่มกลอกตาเพราะพวกเขากลัวเหลือเกินแต่ชิ่งหมิงกลับสนใจของในมือของนางเล็กน้อยหลัก ๆ เป็นเพราะหนอนเช่นนี้ดูน่าลูบมาก เมื่อเจอคนชอบลูบและบีบของเช่นนี้ คนประเภทนี้พลาดของเช่นี้ไม่ได้ชิ่งหมิงอยากสัมผัสอย่างมาก นางอยากเอ
จั๋วซือหรานกล่าวว่า "อย่าเล่นจนตายล่ะ ตอนนี้พวกมันห้ามตาย ต้องให้ข้าคิดวิธีแก้ปัญหาได้ก่อน แล้วเราจะดูว่าข้าต้องทำอะไร... "เดิมทีจั๋วซือหรานคิดอยู่ว่า นางจะคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่หนอนนุ่ม ๆ เหล่านี้เชื่องนางคนเดียวแต่นางคิดออกได้ทันที จากนั้นนางหันไปมองสองคนนั้นสองคนนั้นถูกจั๋วซือหรานมอง พวกเขารู้สึกตัวเองถูกไฟเผา และร่างกายของพวกเขาก็เกร็งตึงม่านตาของพวกเขาหดตัวและพวกเขามองไปที่จั๋วซือหราน ด้วยความกลัวจั๋วซือหรานยิ้ม พวกเขาหวาดกลัวจนแทบจะฉี่รด พวกเขาอยากจะร้องไห้อย่างเดียว“แม่นาง... แม่นางจิ่ว แม่นางจั๋วจิ่ว...ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด...”"ได้โปรด...ได้โปรด...ได้โปรด"จั๋วซือหรานจ้องมองพวกเขาอย่างจริงจังและพูดว่า "จุ่ ๆ ข้าก็คิดออก เมื่อครู่นี้พวกเจ้าบอกอะไรที่เกี่ยวกับหุบเขาหมื่นพิษ ไม่ได้ แต่เมื่อพูดถึงพิษกู่ร้อยไหม ดูเหมือนพวกเจ้าไม่กลัวเลย …”ชายสองคนนี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง“ข้าถามพวกเจ้า” จั๋วซือหรานมองพวกเขา “ข้าต้องทำอย่างไร ถึงจะให้หนอนกู่ร้อยไหมเหล่านี้ฟังคำสั่งของข้า”พวกเขาทั้งสองยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน“เจ้า... ไม่ทราบหรือ” ทั้ง
ในสายตาของคนภายนอก การกระทำของจั๋วซือหรานไม่สามารถอธิบายได้ว่ากล้าหาญอย่างเดียว การกระทำนั้นยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นการแสวงหาที่ตายแม้แต่คนใจเย็นอย่างเวินป๋อยวน เขาก็เริ่มจริงจังมากขึ้นในเวลานี้ และเขาถึงพูดเร็วขึ้น "ระวังมันทำร้ายเจ้า"ส่วนชิ่งหมิง เขาเตรียมพร้อมที่จะโจมตีแล้ว เพราะเขากลัวหนอนพิษกู่จะทำร้ายนาง ดังนั้นเขาจึงนำพลังวิเศษที่มีพลังวิเศษห่อมือของเขาไว้หากหนอนพิษกู่มีแนวโน้มที่จะทำร้ายนาง ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ของชิ่งหมิง เขาอาจจะขยี้หนอนเหล่านั้นอย่างไร้ความปราณีเพื่อปกป้องความปลอดภัยของจั๋วซือหราน แม้ว่าเขาต้องรับบาดเจ็บก็ตามในทางกลับกัน ชาวของดินแดนทางใต้สองคนนั้นมีความคาดหวังที่ซ่อนอยู่ในใจความคาดหวังเช่นนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทพวกเขาแอบคิดในใจ ' ต่อให้จั๋วซือหรานจะเย่อหยิ่งเพียงใด มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ สุดท้ายนางเป็นผู้หญิงที่ไร้ความรู้ใด ๆ ที่เกี่ยวกับวิชาการเล่นพิษกู่ของพื้นที่ทางใต้''นางกล้าดีอย่างไรมาแย่งหนอนพิษกู่ของเจ้าหุบเขา นางเย่อหยิ่งจนลืมตัว หนอนพิษกู่ที่เจ้าหุบเขากลั่นมาดุร้ายมาตลอด และการเชื่อมต่อกันนั้นยิ่งแข็งแรงอย่างมาก''นางไม่รู้จริง
เวินป๋อยวนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า "ไร้สาระ หากเจ้าใช้นำเลือดของตัวเองไปใช้กับแม่กู่ของผู้อื่นอย่างบุ่มบ่าม หากมันส่งผลกระทบแก่เจ้า ผลที่ตามมาจะร้ายแรงนะ แม่กู่อาจยึดร่างของเจ้ามาเป็นรัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่กู่ของระดับนี้จั๋วซือหรานไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับชิชาการเช่นกู่มากนัก ดังนั้นนางจึงมองเวินป๋อยวนด้วยความกระหายความรู้ในขณะนี้ "ดูเหมือนท่านมีความรู้ที่เกี่ยวกับวิชาการเล่นกู่มากนะ โปรดให้คำแนะนำแก่ข้าบ้าง "“ไม่มากนัก” เวินป๋อยวนพูดเบา ๆ “แต่ด้วยที่ข้ามาจากดินแดนทางใต้ ดังนั้นข้าจึงทราบบ้าง ในดินแดนทางใต้ นี่เป็นความรู้พื้นฐาน เป็นความรู้ที่ทุกคนต้องทราบ”จั๋วซือหรานเต็มใจที่จะรอฟังรายละเอียดแน่นอน"พวกมันดูไม่เป็นอันตรายมาก"“นั่นเป็นเพียงการปลอมตัวเพื่อทำให้ผู้คนหลงตัว อาคมหนอนพิษกู่เป็นเช่นนั้น ยิ่งหนอนพิษกู่มีสีสันและมีลวดลาย หรือพวกหนอนพิษกู่ที่ยิ่งดูน่ากลัว ยิ่งดูอันตราย แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่สำหรับพวกนี้.... …”เวินป๋อยวนยกคางของเขาไปทางหนอนพิษกู่ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายในมือของนาง และเขาก็เอามือประสานกับหน้าอกของเขาด้วยนี่แสดงให้เห็นว่าเขาระ
เขาสัมผัสได้ว่าบนบาดแผลทั้งสองที่ถูกดาบของนางแทงไว้ จนทำให้หินต้องห้ามยังแตกก่อนหน้านี้เวลานี้มันคันยุบยิบ ราวกัยว่า...กำลังผสานอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "รักษาให้เจ้าก่อน อีกเดี๋ยวถ้าสู้ขึ้นมา จะได้ไม่ขี้เกียจ"ซางถิงเกือบจะโมโหจนหัวเราะขึ้นมายังไม่ทันที่เขาจะได้พูด ในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ล้อมเข้ามา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น"จั๋วซือหราน เจ้าสังหารลูกหลานตระกูลข้าไป แอบเรียนวิชาลับตระกูลข้า โทษนี้สมควรตาย แต่เห็นแก่ว่าเจ้าไม่ใช่คนในตระกูลเรา ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของตระกูล จะไว้ชีวิตเจ้า แล้วจะพาเจ้ากลับไปช่วยอธิบายให้หน่อย ว่าไปร่ำเรียนวิชาลับตระกูลเรามาจากที่ไหน"จั๋วซือหรานพอได้ยินเนื้อหานี้ "เข้ามาเพราะความสามารถข้าจริงๆ ด้วย"ซางถิงหัวเราะเฮอะขึ้นมา เอ่ยเสียงต่ำกับจั๋วซือหรานว่า " ข้าก็บอกว่าแล้วไม่ได้มาหาข้า ในเมื่อมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะเหอะๆ " อย่าสิ ข้ารักษาให้เจ้าแล้วนะ รับแล้วก็ตอบแทนกันหน่อยมันเป็นมารยาท"ซางถิงกัดฟัน "แล้วทำไมเจ้าไม่พูดเสียหน่อยว่าบาดแผลพวกนั้นมันมายังไง..."ตอนนี้เอง เสียง 'คาดโทษ' จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ก
เพราะเวลาค่อนข้างดึกแล้ว กระทั่งสนามประลองทางนี้ก็ยังเงียบสงบ ดังนั้นที่นี่ต่อให้สู้กันขึ้นมาตอนนี้ ก็ไม่ได้ดึงดูดสายตาใครยิ่งไปกว่านั้น ตลาดมืดก็มีกฏของตลาดมืด คนของตลาดมืดก็มีวิถีการดำรงชีวิตของตนเองเช่นกันในนี้กฏที่ใช้ได้ทั่วไปข้อหนึ่งคือ...อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านดังนั้นพวกเขาต่อให้ตายกันที่นี่ ก็น่าจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักตลาดมืดฝังศพเอาไว้แทบทุกที่ นี่คือที่มาของคำพูดนี้ดังนั้นในกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากเข้ามาล้อมซางถิงกับจั๋วซือหรานแล้ว เดิมทีรอบๆ ก็ยังมีคนอยู่อีกส่วนหนึ่งดูจากท่าทางแล้วไม่ธรรมดาเลย ทยอยกันกระจายตัวออกเหมือนสัตว์ ตอนนี้ที่นี่จึงสงบมาก...แทบไม่มีคนเลยคืนเดือนมืดลมพัดแรง ค่ำคืนแห่งการสังหารดูจากเสื้อผ้าคนเหล่านี้ อันที่จริงยังมองไม่ออกถึงตัวตนฐานะแท้จริงของพวกเขาแตว่า ขอแค่คนรู้จริงเรื่องกลุ่มอย่างซางถิง ก็จะมองออกถึงกลุ่มได้อย่างรวดเร็วซางถิงมองกลุ่มออกจากเครื่องมือควบคุมสัตว์ของพวกเขาอย่างรวดเร็วซางถิงเอียงหน้าเล็กน้อย บอกกับจั๋วซือหรานด้านหลังว่า "ระวังด้วย คนพวกนี้ ทั้งหมดเป็นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง"โถงตัดหัว?" จั๋วซือรหานฟังคำนี้แล้วก็เอ่ย
แต่ยังไม่ทันได้แตะไหล่ของจั๋วซือหราน นางก็มีปฏิกิริยากลับมาอย่างรวดเร็ว“เจ้า” จั๋วซือหรานเห็นหน้าคนด้านหลังอย่างชัดเจนผมสีขาวรุงรังกับดวงตาสีฟ้าทึมที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงชัดถึงตัวตนฐานะของเขา นี่คือคู่มือที่ประลองกับนางบนเวทีเมื่อครู่นี้นั่นเองดวงตาสีฟ้าทึมของเขาจ้องมองจั๋วซือหราน “ข้ายังคิดว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก ทำไม? กำลังรอข้าหรือ?”จั๋วซือหรานมองเขา “เจ้านี่...มั่นใจในตัวเองเสียจริงนะ”“ใช่สิ” รอยยิ้มในดวงตาสีฟ้าทึมของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น “ข้ากับเจ้ามันคนประเภทเดียวกัน เป็นพวกที่มั่นใจในตนเองแบบนั้น”จั๋วซือหรานหัวเราะ จากนั้นจึงเห็นแขนที่ห้อยอยู่ข้างตัวเขา ยังมีเลือดสดไหลอาบลงมา กลิ่นคาวเลือดบนตัวเขายังไม่หายไป“เจ้าน่าจะรักษาแผลก่อนแล้วค่อยมาพูดจาคุยโตนะ” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น“เรื่องเล็กน่า” ซางถิงเอ่ยตอบจั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าออมมือไว้ ไม่งั้นคงไม่เจ็บขนาดนี้”“ใช่เลย ข้าออมมือไว้ ก็เลยลดความยุ่งยากลงไปได้พอควร” ซางถิงตอบจั๋วซือหรานยิ้ม “อินเจ๋ออันไม่ใช่ความยุ่งยากหรือ?”“เขา? เขาจะไปยุ่งยากอะไร...” ซางถิงดูไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า “ข้าออมมือ
ได้ยินคำนี้ ฮั่วจือโจวยกมุมปากขึ้น “คุณหนูเฟิงสือ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่อยากร่วมมือกับแม่นางจิ่วเท่านั้น”เฟิงหร่านมองเขา แม้บนปากจะไม่คัดค้าน แต่ในใจก็แอบคิด นั่นก็เพราะเจ้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงเสน่ห์ของพี่หญิงจั๋วเท่านั้นส่วนเจี่ยงเทียนซิงที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดของเฟิงหร่าน ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแต่รอยยิ้มในดวงตาค่อยลดลงมาเท่านั้นครู่ต่อมา จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “แต่ว่าตระกูลเฟิงของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าดูถูกซือหรานหรอกหรือ เพราะอะไรกัน? พวกเจ้าเห็นสิ่งนี้เป็นของไร้ค่า แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ครอบครองหรือ? ใหญ่โตเสียจริง”สำหรับคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง เฟิงหรานกระทั่งโต้แย้งก็ยังแย้งออกมาไม่ได้นางริมฝีปากสั่นระริก ครึ่งมาจึงบอกว่า “สรุปคือ หลังจากนี้จะมีวิธีเอง”ฝูซูมองจากข้างๆ เขารู้แน่นอนว่าคุณหนูของตนเองยอดเยี่ยมแค่ไหนทำให้คนหลงใหลได้แค่ไหนและก็รู้ว่าคุณหนูเฟิงสือถูกคุณหนูทำให้หลงไปแล้ว การที่พูดแบบนี้ออกมาก็ไม่ได้ผิดอะไรแต่ปฏิกิริยาของเจี่ยงเทียนซิงนี่ กลับทำให้ฝูซูอดเหลือบมองเขาขึ้นมากหน่อยไม่ได้ในใจฝูซูก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าเจี่ยงเทียนซิงคนนี้เหมือนจะ...รู้สึก
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน
สายตาฮั่วจือโจวมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเดียวกัน จั๋วซือหรานเองก็เดินออกมาจากตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงเข้าใจเป็นอย่างดีต่อให้ทุกคนจะเป็นลูกหลานในตระกูลเหมือนกัน และก็จะมีพวกลูกหลานที่ได้รับการปฏิบัติกับให้ความสำคัญมากกว่า และก็จะมีลูกหลานที่ถูกมองข้ามหรือเมินเฉยแต่นี่ก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของรุ่นพ่อและฝีมือของตนเองดูจากจั๋วซือหรานแล้วมองออกไม่ยาก กระทั่งฝีมือของรุ่นพ่อก็ยังไม่แน่ว่าจะสำคัญ เพราะพ่อของนางนั้นไม่อยู่มานานแล้วมีเพียงฝีมือของตนเองที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดดังนั้นในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูล หากคิดจะได้รับการให้ความสำคัญของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้สถานการณ์ของฮั่วจือโจวตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนี้เขามีฝีมืออยู่บ้าง และมีอุดมการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้เพราะในตระกูลเช่นนี้ คนมากมายล้วนเป็นแบบเดียวกัน โอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าทำผลงานไม่ได้ หลังจากนี้ทรัพยายากรก็อาจจะไม่เอนมาทางเขาอีกแล้วจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ลังเลที่จะพูดออกมาสายตาฮั่วจือโจวหยุดอยู่ที่แ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ “ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่เจ้าตามพวกเราเข้ามาแล้วน่ะสิ”ฮั่วจือโจวลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาทางนี้ นั่งลงข้างโต๊ะพวกเขา“เมื่อครู่แผนของแม่นางจิ่ว ข้าได้ยินแล้ว” ฮั่วจือโจวเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆเขาพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวังว่าจั๋วซือหรานจะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้แล้วแต่ฮั่วจือโจวคิดไม่ถึงว่าจั๋วซือหรานจะพูดว่า “ข้าจงใจพูดออกมาให้เจ้าได้ยิน”สีหน้าฮั่วจือโจวตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามฮั่วฟังแผนการของข้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ไม่เลว” ฮั่วจือโจวตอบ “มิน่าสี่ตระกูลที่เหลือจึงมองเจ้าเป็นหนามยอกอก”รอยยิ้มบนหน้าจั๋วยังไม่จางหาย “ถ้าข้าไม่จงใจพูดให้เจ้าได้ยิน แล้วจะกล่อมให้เจ้ามาร่วมมือได้อย่างไรกัน?”“ร่วมมือ?” ฮั่วจือโจวตกตะลึงจั๋วซือหรานตอบ “อืม ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องลำบากใจ ถ้าแค่ตระกูลฮั่วไม่ทำให้ข้าลำบากใจน่ะนะ แต่ข้าเองก็เข้าใจ บุ่มบ่ามไปแย่งธุรกิจของคนอื่น ดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะสม และยังเป็นในสถานการณ์ที่ข้ามั่นใจว่าข้าคว้ามันมาได้ด้วย”ฟังคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ฮั่วจือโจวก็หัวเราะขึ้นมา เขาก
“ทำให้มันคึกคักขึ้น?” เฟิงหร่านตาเป็นประกาย ความชื่นชมต่อตัวจั๋วซือหรานของนางไม่ได้แค่นิดหน่อยแล้วตอนนี้มองจั๋วซือหรานด้วยตาเป็นประกาย “พี่หญิงจั๋ว จะทำให้มันคึกคักขึ้นได้อย่างไรหรือ?”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “วิธีการมีอยู่เยอะเลยทีเดียว ก็ให้เจ้าไปแสดงพ่นไฟ เฮยหลิงไปแสดงหน้าอกทลายหินอะไรแบบนั้น หรือไม่ข้าก็ให้พวกแมลงไปแสดงละครหุ่นกระบอก? ต้องสนุกคึกคักแน่ๆ...”“พ่น พ่น...พ่นไฟ??” ในสายตาเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก็จริง สำหรับนางที่เป็นคุณหนูลูกขุนนางเช่นนี้ทุกการกระทำทั้งหมดของจั๋วซือหราน กระทั่งแค่ลมหายใจของนาง ก็ดูจะผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ในตระกูลขุนนางเหล่านั้น “พ่นไฟเป็นไหม? ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวไว้ข้าหาเวลาสอนเจ้า” จั๋วซือหรานวางตะเกียบลง “สรุปคือ ถ้าถึงเวลาต้องเปิดกิจการ ก็หาการแสดงอะไรมา จากนั้นพอเปิดร้านก็เตรียมการให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ก็มอบอาหารเพิ่มให้อีกหนึ่งจานแบบไม่ต้องจ่ายเงินอะไรแบบนี้”“ประชาชนกินเพื่ออยู่ ขอแค่ของอร่อย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาอีกหรือ” จั๋วซือหรานคิดคิด เอ่ยต่อว่า “ไหนจะเรื่องที่อาหารของที่นี่รสชาติแย่แค่ไหน น่าจะไ
จั๋วซือหรานตอบ “เดี๋ยวเจ้าลองชิมก็รู้แล้ว...”ผ่านไปครู่หนึ่ง อาหารก็ส่งขึ้นมา หน้าตาแย่เอามากๆเจี่ยงเทียนซิงจึงเพิ่งได้ยินประโยคหลังของจั๋วซือหราน “...ไม่ใช่ห่วยแตกแบบธรรมดาด้วย”เจี่ยงเทียนซิง “...”เฟิงหร่าน “...”ฝูซู “...”เฮยหลิง “...”ทุกคนทยอยกันพูดไม่ออกจั๋วซือหรานหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบคำหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปสองคำ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “พวกเจ้าลองชิมสิ ห่วยแตกแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”เฮยหลิงยังพอไหว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาแล้ว ขยับตะเกียบ หลังจากกินคำแรกไปเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเหมือนจะโกรธขึ้นแล้วเฟิงหร่านเองพอเห็นสถานการณ์ จึงวางตะเกียบลงเงียบๆเจี่ยงเทียนซิงถาม “เจ้าหิวแล้ว แต่จงใจมายังร้านอาหารที่รสชาติแย่หรือ?”จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ลองชิมดูก่อน แบบนี้ภายหลังจะได้มีความแตกต่าง”เจี่ยงเทียนซิงก็เชื่อฟังคำพูดของนาง คีบขึ้นมาพอส่งเข้าปาก จึงเพิ่งมีปฏิกิริยากับคำพูดของจั๋วซือหราน “...ภายหลัง?”ตอนนี้เอง อะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ในที่สุดก็ทำเอาประสามรับรสของเขาถูกปะทะอย่างรุนแรง“ถุด” เจี่ยงเทียนซิงพ่นอาหารในปากออกมา รู้สึกว่าคำวิจารณ์ก่อน