คนหนึ่งยืนอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและฟังมีเพียงแสงสลัว ๆ จากผนังของสวนรอบข้างและโคมไฟที่แขวนอยู่ริมถนนเท่านั้นที่สะท้อนออกมา เช่นเดียวกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างชัดเจนแต่ภาพของทั้งสองคนในเวลานี้สวยงามมากจนไม่มีความงดงามชนิดใดเทียบภานี้ได้เฟิงเหยียนได้ยินเสียงอันไพเราะของเด็กหญิงคนนี้ เสียงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยนั้นกระทบหูของเขา ทำให้เขาเกิดอาการคันอย่างไม่สามารถละเลยได้นางพูดว่า " ท่านอ๋อง ปกติแล้วข้าจะไม่ค่อยระวังกับคนหน้าตาดีเท่าไร ข้าชอบใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านอ๋อง หากเราจะสู้กันจริง ๆ ข้าคงอ่อนให้เจ้าสามกระบวนท่าได้"หลังจากเฟิงเหยียนได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาก็เห็นนางกระพริบตามาที่เขาเล็กน้อย หน้าตาของนางน่าเอ็นดูเหลือเกินเฟิงเหยียนมองนาง “เจ้ากล้าพูดเชียว ขอ่อนให้ข้าสามกระบวนท่า เจ้าต้องตายแน่ ๆ ”จั๋วซือหรานหัวเราะเสียงดังและพูดว่า "นี่คือเรื่องที่สองที่ข้าอยากจะพูดนะท่านอ๋อง"วินาทีต่อมา ร่างกายของเฟิงเหยียนก็เกร็งตึงเพราะหลังจากนางหัวเราะเสร็จ เฟิงเหยียนสังเกตเห็นว่าหูของเขาถูกบีบด้วยปลายนิ้วที่เย็นและนุ่มนวล และเขาก็ถูหูด้วยม่านตาของเฟิงเหยียนกระชับขึ้น
สมองของจั๋วซือหรานว่างเปล่าในขณะนี้ดูเหมือนนางไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว นางได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นดัง ๆ ของตัวเอง ราวกับว่ามันเต้นอยู่ข้างหูบูม! บูม! บูม!ดูเหมือนว่าทั้งหมดที่นางมองเห็นได้คือรูม่านตาที่ลึกและมืดมนของชายคนนั้น ซึ่งอยู่อย่างใกล้ชิดนางมาก แววตาของชายผู้นั้นเหมือนหลุมดำที่พยายามจะดูดนางเข้าไปนางเหมือนตัวเองสัมผัสได้เพียงอุณหภูมิที่ร้อนจัดของริมฝีปากและลิ้นของเขา เหมือนเขากำลังพยายามจุดไฟให้นางจั๋วซือหรานไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางต้องมีการเคลื่อนไหวอย่างไรในชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าร่างกายของนางถูกสั่งหยุดการเคลื่อนไหวส่วนเฟิงเหยียนเดิมทีเขาวางแผนที่จะลงโทษนางเล็กน้อย เพื่อตักเตือนนาง นางจะได้ทราบเขาเก่งเพียงใดใครจะรู้ว่าเมื่อเขาจูบริมฝีปากนั้น เขามีความรู้สึกเหมือนเขากำลังเสพยาเสพติดชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่อยากปล่อยนางไปจริง ๆเดิมทีเขาวางแผนว่า เขาแค่จูบแล้วปล่อยนางไปทันที แต่สุดท้าย...เฟิงเหยียนยกมือขึ้นและเอามือดันด้านหลังศีรษะของนาง และจูบนางแรง ๆพูดได้เลยว่า เขาจูบนางอย่างรีบร้อนและควบคุมตัวเองไม่ได้จนกระทั่งจั๋วซือหรานต้องยกมือเล็ก ๆ อันไร้เรี
ในขณะนี้ เมื่อเขาสบตากับหญิงสาวคนนั้น ดวงตาของเฟิงเหยียนลึกล้ำ และเขาก็พูดว่า "เจ้ากล้าทำจริง ๆ "จั๋วซือหรานเป่าปากกระบอกปืนแล้วพูดว่า " ท่านอ๋อง กำลังเอาเปรียบกับผู้หญิง ข้ายิงไปนัดเดียว ถือว่าไว้หน้าแล้วนะ หากไม่ใช่เพราะหน้าตาดีของเจ้า ข้าคงยิงไปหลายนัด"....."ดูเหมือนคำพูดส่วนหลังของจั๋วซือหรานเป็นคำพูดที่นางพึมพำกับตัวเองเฟิงเหยียนไม่เข้าใจความหมายของนาง แต่เขารู้สึกคำพูดของนางน่าสนใจโดยอธิบายไม่ถูกเขาเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม “เจ้าทำได้ แต่ห้ามคนอื่นทำเลยจริง ๆ ”จั๋วซือหรานฟังออกได้ว่า เฟิงเหยียนกำลังพูดถึงเรื่องที่นางจูงเฟิงเหยียนโดยนางรู้ตัวบ้างและไม่รู้ตัวบ้างแต่จั๋วซือหรานไม่รู้สึกเขินอายกับสิ่งที่เขาพูด และนางก็มองเขาด้วยดวงตาอันสวยงามของนางจากนั้นนางก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่”นางทำได้ แต่ผู้อื่นห้ามทำจั๋วซือหรานม้วนริมฝีปากของนางและยิ้ม "ครั้งต่อไปหากข้าใช้ประโยชน์จากท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็สามารถชักดาบและฟาดข้าได้"เฟิงเหยียนสับสนมากกับพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของนาง จนเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจั๋วซือหรานบอกเฟิงเหยียน “ข้ายังต้องไปตลาดมืดอีก ท่านอ๋อง ขอยืมม้าไฟหน่อยนะ แ
ชายผู้นี้ไปตลาดมือดคงไม่ใช่การประมูลเลย เขาแค่หาข้ออ้างไปเป็นเพื่อนกับนางจั๋วซือหรานหรี่ตาลงและมองไปที่มือที่ยื่นออกมาจากด้านหลังและกุมสายบังเหียนนั้นนั่นเป็นมือของผู้ชายที่ทั่วไป มือคู่นี้มีหนังด้านที่ง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เพราะเขาจับดาบเป็นเวลาหลายปี เขามีนิ้วยาวและมีข้อต่อที่ชัดเจน และเล็บถูกเขาตัดอย่างเรียบและสะอาดนางโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อยม้าไฟถนัดวิ่งจริง ๆ และใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะมาถึงตลาดมืดเดิมทีจั๋วซือหรานคิดอยู่ว่า หากวันนี้ไม่มีงานประมูลในตลาดมืด ท่านอ๋องจะแก้ตัวอย่างไรเพราะตลาดมืดไม่ได้จัดงานประมูลทุกวันใครจะรู้ว่าหลังจากพวกเขามาถึงตลาดมืดแล้ว พวกเขาพบว่าวันนี้มีงานประมูลจริง ๆจั๋วซือหรานบุ้ยปากเล็กน้อย จากนั้นนางหันไปมองที่ เฟิงเหยียนนางหลอดถาม "วันนี้ท่านอ๋องมางานประมูล ท่านอ๋องจะซื้ออะไรหรือ"นางคิดอยู่ว่า นางจะจับพิรุธของท่านอ๋องได้ แต่ใครจะรู้...“ฮะ” เฟิงเหยียนส่งบังเหียนของม้าไฟให้คนดูแลม้าในตลาดมืด เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาก็หันมามองนางแล้วตอบว่า "ขอรับ ทาส"จั๋วซือหรานตกตะลึง เดิมทีนางคิดว่าเฟิงเหยียนหาข้ออ้าง เพื่อมา
เพียงแต่ว่าพลังหลักทั้งสามนี้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติในตลาดมืด...หรือพูดได้ว่า พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสันติบนพื้นผิวอาจเป็นเพราะพวกเขาได้ร่วมทำธุรกิจบางบางอย่างด้วยกันหอเฟิ่งเสวี่ยทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการประมูลเป็นหลัก การคุ้มกันและการรวบรวมข่าวกรองไปได้ดีอีกด้วยส่วนหอฟ้าดาว พวกเขาจักสนามฝึกฝน และจัดบ่อนพนันด้วยส่วนหอเงินจันทร์ทำธุรกิจการซื้อขายทาสเป็นหลักแต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ทำธุรกิจของอีกสองกองกำลัง แต่เป็นแค่ว่าขนาดของธุรกิจนั้นไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้นพวกเขาพยายามไม่ทำธุรกิจที่ซ้อนกัน เพื่อให้ทุกคนมีกินและอยู่รอดหอเฟิ่งเสวี่ยทำธุรกิจการคุ้มกันได้อย่างดี ตามที่จั๋วซือหรานเข้าใจ นี่ควรหมายความว่าหอเฟิงเสวี่ยคล้าย ๆ หน่วยงานคุ้มกันหน่วยงานเช่นนี้สามารถขนส่งสินค้าและคุ้มกันคนได้ ด้วยเหตุนี้ หอเฟิงเสวี่ยจึงมีช่องทางในการสืบข่าวมากขึ้นอย่างไรก็ตาม คนรับใช้คนนี้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เพราะเจ้าสำนักท่านนี้เป็นผู้ลึกลับที่สุดในหอเฟิ่งเสวี่ย ทำไมจู่ง ๆ ท่านนี้สนใจธุรกิจการคุ้มกันล่ะแต่คนรับใช้ไม่กล้าประมาท เขาจึงรีบตกลง “อย่ากังวลขอรับท่าน เดี๋ยวข้าน้อยจะสั่งคนเตีย
เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวทราบดีว่า จั๋วซือหรานเป็นคนเช่นใดเหตุผลหลักก็คือครั้งสุดท้ายที่ซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษปรากฏตัวและหนุนหลังนาง นางพลิกกลับเงื่อนไขและราคาที่นางได้เจรจากับเขาอย่างรวดเร็วดังนั้นเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวจึงรู้สึกว่าเมื่อต้องคุยธุรกิจกับจั๋วซือหราน เขาควรเสนอสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ต้องเกรงใจเพราะแม้ว่าเจ้าเกรงใจนาง เมื่อถึงยามที่นางไม่เกรงใจ นางก็จะไม่เกรงใจเช่นเดิมดังนั้นหลังจากเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวได้ยินคำพูดของจั๋วซือหรานแล้ว เขาก็เหลือบมองนาง"ด้วยความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างแม่นางจิ่วกับข้า ข้าอยากช่วยแม่นางอยู่จริง ๆ แต่ท้ายที่สุด หอฟ้าดาวต้องทำมาหากิน ดังนั้นเรื่องที่แม่นางจิ่วต้องการ... "เมื่อเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพูดถึงจุดนี้นี้ จากนั้นเขายักไหล่แล้วพูดว่า "แต่นี่เป็นอีกราคาหนึ่ง"ดูเหมือนเขาไร้เดียงสามากจั๋วซือหราน "..."นางมองไปที่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวอย่างหมดคำพูด ในชั่วครู่หนึ่งนางไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของนางได้จริง ๆจั๋วซือหรานหายใจเข้าลึก ๆ " เจ้าสำนักช่างถนัดคุย...ธุรกิจจริง ๆ "เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวไม่พูดอ้อม ๆ กับนางเลย เขาพยักหน้าและพูดว่า "
จั๋วซือหรานหัวเราะเบา ๆ “พวกเขาปฏิบัติดีกับข้าไหมล่ะ ข้าเป็นผู้หญิง แต่พวกเขาก้าวร้าวใส่ข้า แล้วทำไมข้าต้องทนด้วย...เพียงเพราะข้าเป็นผู้หญิงเช่นนั้นหรือ”จั๋วซือหรานโค้งริมฝีปากของนางและยิ้มใส่เขา "เช่นนั้น เจ้าสำนักก็คิดว่าข้าเป็นผู้ชายละกัน"เจ้าสำนักจ้องมองนางครู่หนึ่ง จากนั้นเขาเม้มริมฝีปากของเขาจั๋วซือหรานพูดอย่างช่วยไม่ได้ " เจ้าสำนัก ข้าสังเกตแล้ว... ครั้งที่แล้ว ข้าก็แค่อ้างว่าท่านซือเจิ้งอยู่ที่นี่ เลยเอาเปรียบสักหน่อย แต่ข้าก็ไม่ได้ทำผิดถึงขั้นตายนะ ทำไมตอนนี้เจ้าถึงโกรธข้าล่ะ”เมื่อนางมาที่นี่ครั้งที่แล้ว เห็นได้ชัดว่า เจ้าสำนักผู้นี้เป็นผู้ที่เย็นชาอย่างมาก เขาแทบจะไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เลยแต่คราวนี้ที่นางมาที่นี่ ผู้ชายคนนี้สุดยอดมาก เขาเล่นตัวกับนาง มิเช่นนั้น เขาไม่ชอบนางไม่ว่านางทำอะไรก็ตามหลังจากจั๋วซือหรานพูดเช่นนี้ เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวก็ไม่คิดจะเก็บอารมณ์ของตัวเองหน่อย เขาแค่เลิกคิ้วแล้วถามนาง "โอ้ เจ้ามองออกด้วยหรือ ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่คิดจะให้เจ้าสังเกตหรอก....."จั๋วซือหราน "..."เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวยังคงถามต่อ"ผู้ใดของตระกูลจั๋ว และผู้ใดของตระกูลเหยียน บอ
จั๋วซือหรานทราบอยู่เสมอว่าจะมีโรคระบาดและนางได้วางแผนและเตรียมการไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ได้เริ่มเตรียมเปิดศูนย์การแพทย์และร้านขายยาทันทีหลังจากจบการแข่งขันกับตระกูลเหยียนหากนางไม่ทราบเรื่องนี้ นางจะไม่เห็นด้วยกับแผนการที่ท่านแม่กลับไปเยี่ยมบ้านคุณตาหลังจากนางทราบเรื่องของบ้านคุณตานางเห็นด้วยกับท่านแม่ เพราะนางอยากให้วัสดุยาของบ้านคุณตาส่งเข้ามาในเมืองหลวงด้วยแต่สิ่งที่จั๋วซือหรานคาดไม่ถึงก็คือตอนนี้เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางรู้สึกว่านางได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนางไปมากจั๋วเห้อหรงยังไม่ยอมสำนึกผิดอีก ยังสร้างปัญหาอีก จนกระทั่งถึงขั้นตายหากถึงขึ้นนั้น ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้จริง ๆเพราะในชะตากรรมของเจ้าของร่างเดิม เมื่อตระกูลจั๋ว ถูกลงโทษและสั่งเนรเทศ คนแรกที่ถูกสัลงโทษคือจั๋วเห้อหรงแม้ว่าจั๋วซือหรานจะรู้สึกว่าจุดจบนี้เสมือนทำชั่วได้ชั่วแต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่ต้องสงสัยว่า เป็นไปได้ไหมว่า... นางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้นอกจากโชคชะตาของตัวเองจั๋วเห้อหรงยังคงทำผิดพลาดเดิมเช่นเดียวกับทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ ตระกูลจั๋วอาจยังคงต้องถูกทำลายในเหตุการณ์นี้เช่นเดิมแล้ว...ท่าน
แม้จะบอกว่า จั๋วซือหรานตอนที่ประลองกับซางถิงในตลาดมืด จะเคยใช้สัตว์เลี้ยงไปแล้วตามหลักการน่าจะมีคนไม่น้อยที่รู้จักสัตว์อสูรของนางแต่เพราะตอนนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นนี่ไม่ได้เหมือนในชาติที่แล้วของนาง ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปโพสไปบนเน็ตได้นี่ล้วนเป็นการลือกันแบบปากต่อปาก คนส่วนใหญ่เคยชินกับข่าวแบบนี้ที่มักจะพูดกันเกินจริง ดังนั้นบางคนก็ไม่ค่อย หรือเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก็ตามทีแต่ตอนนี้ ทุกคนได้เห็นกับตาแล้ว"หรือว่า...กระทั่งตระกูลซาง...ก็ยังแพ้นางมาแล้ว"อิงเซ่าขี่ม้าเข้ามารับ เขาดูตื่นเต้น ใบหน้าแดงก่ำไปหมดพอมาอยู่ตรงหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานจึงเก็บแมงมุมลงมา ยืนอยู่บนพื้นอิงเซ่าพลิกตัวลงจากม้า "แม่นางจิ่ว! ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าถ้าท่านออกโรงต้องสำเร็จ"จั๋วซือหรานเอียงหัวไปทางด้านหลัง "คนของท่าน พากลับมาไม่ขาดแม้แต่คนเดียว บาดเจ็บไปหลายคน แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร""ดี!" อิงเซ่าพยักหน้า พูดต่อกันว่า "ดีดีดีมาก!"ตอนนี้ อันที่จริงอย่าว่าแต่เหล่าขุนนางชนชั้นสูงกับพวกราชวงศ์ที่ออกันเต็มประตูเมืองเลยกระทั่งเหล่าประชาชนที่มามุงดูก็ยังเข้าใจ ว่าแม่
ดวงตาซือคงอวี้ถลึงโต ลูกตาค่อยๆ พร่ามัวและชายหนุ่มที่ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายนี้ ก็ปัดเศษเลือดที่กระเซ็นมาติดชายเสื้อออกไปอย่างไม่แยแสเขารูปร่างโปรง สูงเพรียว แต่ไม่ได้ดูแข็งแรงนัก ดูแล้วผอมไปบ้างแต่กระดูกรูปหน้าดี ดังนั้นใบหน้าจึงดูดีมาก บวกกับผิวที่ขาว จึงให้ความรู้สึกที่เย็นชาดูจากใบหน้าแล้ว ไม่ได้มีเอกลักษณ์ของคนแดนใต้มากนัก ถ้าหากบวกกับผิวสีขาวเข้าไป ก็ยิ่งไม่เกี่ยวกันกับผิวสีคล้ำค่อนดำที่เห็นได้บ่อยๆ ของคนแดนใต้แล้วแต่ผมสีแดงเข้มบนหัว ก็ดูไม่เหมือนกับต้าชางเลยเสื้อผ้าบนตัวเขา สีใกล้เคียงกับสีผมเขามาก ในที่ที่มีแสงน้อย ก็เหมือนจะกลืนกันจนเป็นสีดำแต่ถ้ามองในที่ที่สว่างหน่อย ก็จะดูเป็นสีแดงเข้มคล้ายเลือดและตอนนี้ เหล่าทหารเดนตายของชินอ๋องอวี้...ที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ถอยหนีกระจายกันไปที่ไหน กลับล้อมวงกันเข้ามา"นายท่าน"พวกเขาทยอยกันคุกเข่าข้างหนึ่งชายหนุ่มร้องอืมขึ้น จากนั้นจึงยื่นมือไปดึงคอเสื้อของซือคงอวี้ ลากเขาเดินไปด้านหน้าทหารเดนตายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทันที "นายท่าน ให้ข้าน้อยช่วยเถิด?"ชายหนุ่มกลับโบกไม้โบกมือไม่สนใจ "ไม่ต้อง เดี๋ยวจะทำตะปูวิญญาณข้าเสียหาย"เหล
ในใจฮาร์วีย์คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง คิ้วเลิกขยับขึ้นเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกจั๋วซือหรานเห็นสีหน้าเขา ยังคิดว่าเขาจะพูดอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าจะไม่พูดอะไรออกมาเลยไม่พูดก็ไม่พูด ถึงอย่างไรก็ไม่ได้รีบร้อนที่จุดนี้จั๋วซือหรานรอการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิเฒ่า แค่ครู่เดียว รองแม่ทัพก็เข้ามารายงาน อธิบายถึงเจตนาขององค์จักรพรรดิเฒ่ารองแม่ทัพบอกว่า "ฝ่าบาทตรัสว่า ให้เดินหน้าต่อได้เลย"จั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกเกินคาดอะไรกับคำตอบนี้ แค่ตบลงบนตัวแมงมุมน้อยเบาๆไม่มีอะไรเกินคาด นับแต่โบราณองค์จักรพรรดินั้นปราศจากความเมตตาที่สุดมาตลอดตอนที่โปรดปรานเจ้า ก็อยากจะให้เจ้าเป็นองค์รัชทายาทจนตัวสั่น แต่พอความโปรดปรานนี้หายไป แค่ศพก็ไม่อยากจะเก็บกลับไปแมงมุมของจั๋วซือหรานนำทางอยู่ด้านหน้า ขบวนรถม้าเคลื่อนตามนางอยู่ด้านหลังซือคงอวี้แผ่อยู่บนพื้น เขาคลานไปบนพื้นสายตาจับจ้องไปยังทิศทางที่ขบวนรถม้าจากไป มองรถม้าที่คลุมด้วยสีเหลืองคันนั้นห่างออกไปเรื่อยๆมุมปากเขาขยับ แต่ก็ไม่อาจะตะโกนเรียกได้แล้ว เหลือเพียงแต่เสียงที่อ่อนแอ"เสด็จพ่อ...เสด็จพ่อ..." หางตาซือคงอวี้มีน้ำตาหลั่งอ
จากที่คนอื่นเห็นชินอ๋องคนหนึ่ง ต่อให้จะทำความผิดพลาดครั้งใหญ่แค่ไหน ก็ยังต้องให้ผู้ปกครองสูงสุดแห่งราชวงศ์ ผู้เป็นจักรพรรดิมาลงโทษแต่ไม่ใช่นางที่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ลงมาสังหารโดยที่ตาก็ไม่กระพริบนางช่างอาจหาญเสียจริง!เหมือนกับชายหนุ่มที่เด็ดเดี่ยวซึ่งไม่เคยหันกลับไปมองฉากระเบิดด้านหลังอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานพอลงมือก็ลงมือ ขี้เกียจจะหันกลับไปมองหลายรอบนางหิ้วขลุ่ยดินเผาเลานั้น เดินกลับไปตรงหน้าราชาแมงมุมหน้าผี กระโดดขึ้นไปบนหลังมันฮาร์วีย์ที่อยู่ข้างๆ เนื่องจากเป็นเชลยของจั๋วซือหราน ดังนั้นจึงอยู่ใกล้นางมากก่อนหน้านี้เห็นขั้นตอนทั้งหมดกับตา ดังนั้นตอนนี้จึงยังคงตกตะลึงอยู่จั๋วซือหรานจ้องมองขลุ่ยดินเผาในมือพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จึงแหงนตามองฮาร์วีย์ "นี่คืออาวุธกู่นั่นใช่ไหม?"ฮาร์วีย์พยักหน้า "ใช่แล้ว"จั๋วซือหรานมองสัญลักษณ์ดอกถูหมีนั่น มุมปากนางก็ยกขึ้น นิ้วมือควบพลังวิญญาณ จัดการลบสัญลักษณ์ดอกถูหมีบนขลุ่ยดินเผานั้นออกอย่างไม่ปราณีพอเห็นการกระทำที่อหังการเช่นนี้ของนาง ฮาร์วีย์ประหลาดใจหน่อยๆ แต่ก็เหมือนไม่ได้รู้สึกเกินคาดเท่าไรฮาร์วีย์เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ "แม่นา
และนางเองก็ไม่ใช่ว่าจะไปเด็ดหัวศัตรู แต่แค่ทำเหมือนเข้าไปเด็ดดอกไม้สดดอกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นนักรบเดนตายของซือคงอวี้เหล่านั้น ก็ไม่รู้ว่าเพราะเห็นซือคงอวี้ไม่ดิ้นรนเหมือนคนที่ใกล้จะตายแล้ว หรือว่าเพราะยังตกใจกับการโจมตีก่อนหน้าของจั๋วซือหราน จึงทำให้คนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม?สรุปคือ แม้พวกเขาจะมีท่าทีระแวดระวังอยู่ตลอด กลับไม่กล้าคิดจะทดลองลงมืออะไรกับจั๋วซือหรานแน่นอน และอาจจะเพราะรู้ว่าตนเองสู้ไม่ไหวจั๋วซือหรานเดินไปอยู่ตรงหน้าซือคงอวี้อย่างราบรื่นพอเห็นว่าเหล่าทหารเดนตายรอบๆ ทำได้แค่ระแวดระวัง ไม่มีท่าทีว่าจะโจมตีอะไร จั๋วซือหรานจึงยกริมฝีปากหัวเราะขึ้นมา "เป็นตัวเลือกที่ฉลาด"จากนั้น จั๋วซือหรานก็คุกเข่าลงมาตรงหน้าซือคงอวี้นางกอดเขานั่งยองลงมาตรงหน้าซือคงอวี้ ก้มลงมองดูเขา...ซือคงอวี้ถลึงสองตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด จ้องเขม็งยังจั๋วซือหรานแต่ตอนนี้เอง ท่าทางกับสายตาของจั๋วซือหรานก็ทำให้เขาเกิดเข้าใจผิด ราวกับว่า...นางไม่ได้กำลังมองเขา แต่ว่า...แต่ว่ากำลังมองมดปลวกบนพื้นตัวหนึ่ง"เจ้า..." ซือคงอวี้ส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก เขารู้ว่าตนเองตกที่นั่งลำบากแล้วเช่นนั้น
"เปรี้ยง...!" เสียงสะเทือนฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน!ฮาร์วีย์จับจ้องท่าทางจั๋วซือหรานอยู่ตลอด ดังนั้นตอนที่เสียงสนั่นนี้ดังขึ้นอันที่จริงเขาก็รู้ว่านางเป็นคนทำขึ้นแต่รู้ก็ส่วนรู้ทว่าก็ยังอดรู้สึกตกใจสะดุ้งโหยงขึ้นมาไม่ได้ใครมาได้ยินเสียงแบบนี้ ก็น่าจะตกใจกันหมดนั่นล่ะดังเสียยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดเสียอีก!จากนั้น หางตาของฮาร์วีย์ก็จับไปที่ภาพของซือคงอวี้ทางนั้นตรงหน้าซือคงอวี้มีทหารเดนตายขวางอยู่จริงแต่บนความรู้สึก ก็เหมือนว่า...เจ้าทหารเดนตายคนั้นเหมือนกับกระดาษไหม้อย่างไรอย่างนั้นการโจมตีของจั๋วซือหราน...ซัดทะลุร่างกายของทหารเดินตายคนนั้น!จากนั้นก็ซัดซือคงอวี้ลอยตามออกไปด้วยกันเสียงทำนองขลุ่ยดินเผาก่อนหน้านั้น หายวับไปทันทีพวกก้อนเนื้อที่กำลังกลิ้งในมิติของนาง เดิมทียังเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว ทำได้แค่ใช้พลังวิญญาณที่ถ่ายเข้ามาระงับความเจ็บปวดแต่ตอนนี้ พอเสียงของขลุ่ยดินเผาหยุดลงพวกมันไม่เจ็บปวดแล้ว เหลืออยู่เพียงการถ่ายเข้ามาของพลังวิญญาณนายท่าน เหมือนกำลังนอนแช่น้ำอยู่อย่างไรอย่างนั้นรู้สึกสบายสุดยอดขึ้นมาทันที!ความรู้สึกนั้น ราวกับหลุดจากนรกขึ้นมาบนสวรรค
ดังนั้นตอนที่พวกมันสัมผัสได้ถึงพลังดำมืดที่ซ่อนอยู่ในขลุ่ยดินเผาสัญชาตญาณของพวกมันจึงคิดว่า ที่เจ้านายของตนเองกำลังเผชิญหน้า คือเจ้าของพลังดำมืดคนนั้นคนที่หลอมสกัดพวกมันและประทับตราให้กับพวกมันคนนั้น...ปันอวิ๋นหน้าจั๋วซือหรานเย็นชาลงมานางเอ่ยเสียงขรึมกับเจ้าพวกขนมน้อย "ไม่ต้องกังวล ในเื่อข้าแย่งพวกเจ้ามา เช่นนั้นก็คือของข้าแล้ว ข้าเองก็อยากจะเห็น ว่าเขาเอาขลุ่ยดินเผานั้นมาแล้วจะทำอะไรได้!"เหล่าลูกแก้วมังกรทั้งเจ็ดได้ยินถึงความโกรธแค้นในคำพูดของจั๋วซือหรานจากนั้นถัดจากประโยคนี้ของนาง พวกมันก็สัมผัสได้ถึง พลังวิญญาณที่พวกมันชอบที่สุด พลังที่ทำให้พวกมันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นสุขสบายที่พิเศษ...พลังวิญญาณของจั๋วซือหรานถ่ายเข้ามาแบบไม่เสียดายไม่คิดเงินราวกับว่า ไม่ว่าพลังความมืดที่เสียงเหล่านั้นนำมาจะแข็งแกร่งแค่ไหน นางก็จะพยายามอย่างเต็มที่ลองดูสักตั้ง!จั๋วซือหรานทำสองเรื่องพร้อมกันในหัวใช้พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของตนเองถ่ายเข้าไปในมิติน้ำพุวิเศษส่วนด้านนอกก็ยกปืนยาวขึ้นมา เล็งไปทางซือคงอวี้ พูดให้ถูกคือ เล็งไปยังขลุ่ยดินเผาในมือซือคงอวี้แต่ซือคงอวี้ก็ระแวดระวังมาก น่าจ
ฮาร์วีย์เห็นท่าทางของจั๋วซือหราน...ท่าทางที่ทำให้คนไม่เข้าใจเดิมทียังไม่เข้าใจอะไรเลย แค่สัญชาตญาณทำให้เขารู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่สมเหตุสมผลนางไม่มีทางถามโดยไม่มีเหตุผล ไม่พูดแบบไม่มีเหตุผล และยิ่งไม่ทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลฮาร์วีย์อยู่ข้างๆ จั๋วซือหราน ดังนั้น นางจึงสัมผัสได้ชัดเจน ว่าท่วงท่าพลังบนตัวจั๋วซือหรานเริ่มผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ แล้วนี่มันช่าง...บอกว่ารุนแรงก็ไม่ได้ เพราะความรู้สึกนั้นไม่ใช่บ้าคลั่ง และไม่เหมือนคนที่เปิดช่องพลังสูดรับเข้าร่างกาย จนกลายเป็นสภาพบ้าคลั่งแบบนั้นด้วยน่าจะเพราะล้ำลึกมากพลังที่ล้ำลึกและยิ่งใหญ่ ราวกระแสน้ำขึ้น กระจายแผ่ออกไปรอบๆ โดยมีนางเป็นศูนย์กลาง"เขาคิด หญิงสาวคนนี้เกรง่วาส่าจะเหมือนกับลูกหลานตระกูลเฟิงพวกนั้น มีสิ่งทีเ่หมือนกับกระบี่ประจำตระกูล อาวุธหรือภาชนะที่กักเก็บพลังของตนเองไว้...ดังนั้นจึงสามารถ ปลดปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่นี่ออกมาในตอนนี้ฮาร์วีย์จู่ๆ ก็คิดถึงสิ่งที่ตนเองเพิ่งพูดไปเมื่อครู่...ถ้าหากพลังวิญญาณควบคุมกู่ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าท่านล่ะก็...บางทีเพราะคำพูดนี้จั๋วซือหรานจึงแสดงท่าทีของตนเอ
ดังนั้น กลุ่มองครักษ์เหล่านี้ก็คือคนของรองแม่ทัพจากค่ายคุ้มกันและค่ายป้องกันลาดตระเวนที่จั๋วซือหรานพามาก่อนหน้านี้พวกเขาเดิมทีก็ศรัทธาในตัวจั๋วซือหรานอยู่แล้วตอนนี้พอเห็นจั๋วซือหรานนั่งอยู่บนแมงมุมขนาดยักษ์ตัวนั้นด้านหน้าสุดก็ยิ่งรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมาจั๋วซือหรานไม่รู้การเคลื่อนไหวในเมืองหลวงตอนนี้เลยแต่นางก็มีลางสังหรณ์ขึ้นมารางๆ ว่าเส้นทางครั้งนี้อาจจะไม่ได้ราบรื่นนักไม่แน่ว่าซือคงอวี้ยังมีการลอบโจมตีอยู่จั๋วซือหรานเดาไม่ผิดจริงๆ แต่นางเองก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่ซุ่มโจมตีอยู่จะเป็นตัวซือคงอวี้เองเลยครั้นจะบอกว่าเป็นตัวเขาเองก็ยังไม่ถูกนัก เขายังคงมาคนบางส่วนมา แค่องครักษ์สองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มหนึ่งมีสิบห้าคน รวมกันแล้วก็แค่สามสิบคนพอเทียบกับขบวนองครักษ์ที่ยิ่งใหญ่นับร้อยขององค์จักรพรรดิเฒ่าแล้วดูไม่จืดเลยจริงๆกระทั่งว่า จั๋วซือหรานแทบจะไม่เกิดความระแวดระวังอะไรขึ้นมาเลยแต่นางก็รู้ว่าการดูถูกศัตรูนั้นไม่ถูกต้อง ดังนั้นยังพยายามกระตุ้นความระแวดระวังขึ้นมาซือคงอวี้อยู่ไม่ห่างไปนัก ขี่ม้าพันธุ์ดีสูงใหญ่ตัวหนึ่งอยู่เขามองบนแผ่นหลังแมงมุมตัวยักษ์นั่นอยู่ห่างๆ มีเงา