เดิมทีจั๋วซือหรานยังคิดอยู่ว่านางพูดตรงเกินไปหรือเปล่า แม้ว่าคำพูดของนางยังไม่ทำให้ชายคนนั้นโกรธ แต่อย่างน้อยคำพูดของนางก็ส่งผลต่ออารมณ์ของเขาดังนั้นคนที่เงียบขรึมอยู่แล้วจึงเงียบมากขึ้นในขณะที่จั๋วซือหรานรู้สึกว่าท่านอ๋องอาจจะโกรธมาก และเขาจะไม่คุยกับนางอีกแล้ว นางก็คิดอยู่ว่านางควรจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเกลี้ยกล่อมเขาหรือไม่มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะให้นางเกลี้ยกล่อมศัตรู นางยอมตายมากกว่าแต่การเกลี้ยกล่อมเฟิงเหยียน...พูดตามตรง จั๋วซือหรานรู้สึกว่านางต้องไม่ใช่ข้อยกเว้น นางรู้สึกว่าตราบใดที่นางเห็นใบหน้าของเฟิงเหยียน และได้ยินเสียงของเขา ตราบใดที่เขาไม่ได้โกรธเกินไป นางก็จะทำตัวไม่สนใจได้ดังนั้นเมื่อมองใบหน้าของเขา จั๋วซือหรานสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้โดยไม่รู้สึกคับข้องใจใด ๆ เลยบางครั้งความหล่อเหลาของใบหน้าก็ไร้ยางอายมากเมื่อจั๋วซือหรานกำลังจะพูดอะไรเพื่อเกลี้ยกล่อมเขา"เจ้า..."ก่อนที่นางจะพูดได้ เฟิงเหยียนก็พูดด้วยว่า "เจ้าไม่เหมือนข้า คุณลักษณะของพลังวิเศษของตระกูลจั๋วแตกต่างจากพลังวิเศษของตระกูลเฟิง และคุณลักษณะของพลังวิเศษโดยกำเนิดของตระกูลนั้นก็แตกต่างจากพลังศักดิ์
ปกติเฟิงเหยียนมักจะเป็นคนเงียบขรึม ดังนั้นเมื่อบุคคลเช่นนี้เริ่มพูดอย่างจริงจังซึ่งจะทำให้ผู้อื่นตั้งใจรับฟังเพราะหาได้ยากจริง ๆ ที่เขาพูดด้วยความจริงจังจั๋วซือหรานเริ่มจริงจังโดยไม่รู้ตัวนางฟังเสียงที่น่าดึงดูดใจของชายผู้นี้ เสียงนี้ช่างหอมหวนและมีเสน่ห์ ราวกับสุหร่าชั้นเลิศ เมื่อจับคู่กับดวงตาของเขาที่ลึกซึ้งและน่าดึงดูดยิ่งขึ้นในตอนกลางคืน“...จริง ๆ แล้วสิ่งที่เจ้าพูดในก่อนหน้านี้ว่า ปลูกพืช พืชเติบโตได้เร็วขึ้นนั้นจริง ๆ ความจริงนี่ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตอันแข็งแกร่งของวิญญาณไม้เช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นในพืช แต่เนื่องจากความใกล้ชิดของสิ่งมีชีวิตนั้นได้สะท้อนให้เห็นในสัตว์จริง ๆ เช่นกัน”หลังจากได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานเริ่มเกิดความสนใจ นางถาม " ท่านอ๋องหมายถึง การควบคุมสัตว์ประหลาดเช่นนั้นหรือ แต่นั่นเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของตระกูลซางไม่ใช่หรือ""ใครกำหนดว่ามีเพียงตระกูลซางเท่านั้นที่สามารถควบคุมสัตว์ประหลาดได้... " หลังจากเฟิงเหยียนพูดจบ เขาก็ผิวปากเบา ๆ ซึ่งได้ยินอย่างชัดเจนในคืนที่เงียบสงบเดิมทีจั๋วซือหรานไม่ได้สังเกตถึงอะไรเลย แต่นางทราบดี เฟิงเหยียนจะไม่ทำอะไรที
“ความผูกพันกับสิ่งมีชีวิต ความผูกพันนี้ไม่เหมือนทักษะภาษาสัตว์ของตระกูลซาง ตระกูลซางสามารถควบคุมสัตว์ประหลาดได้เพราะเขาสามารถสื่อสารกับพวกมันได้…”เฟิงเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ "ความผูกพันโดยกำเนิดของวิญญาณไม้ของตระกูลจั๋วมีความสามารถที่จะทำให้... สัตว์ประหลาดคลายความป้องกันเฉพาะตัวโดยธรรมชาติ"เมื่อพูดเป็นเช่นนี้แล้ว จั๋วซือหรานจะไม่เข้าใจได้อย่างไรพูดง่าย ๆ ก็คือ ตระกูลซางอยู่กับสัตว์ประหลาดได้ เพราะการสื่อสาร ส่วนนางกับสัตว์ประหลาด... อาจจะนางสามารถทำให้สัตว์ประหลาดตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น นางไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับสัตว์ประหลาดมากเกินไป ก็สามารถทำให้สัตว์เหล่านั้นใกล้ชิดนางแล้วนี่ก็เหมือนกับบางคนของชาติก่อน ๆ หากอยากเล่นกับแมวหรือสุนัข คนเหล่านี้แค่ผิวปาก และแมวและสุนัขก็จะเข้ามาหาเองแต่มีบางคนถึงแม้จะเตรียมอาหารให้ แมวและสุนัขก็ยังคงอยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นหน้าจั๋วซือหรานคิดอยู่สองสามวินาที นางยื่นมือออกไปหาม้าไฟสัตว์ประหลาดสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางอย่างเฉียบแหลม จากนั้นมันมองนางอย่างระมัดระวังสัตว์ประหลาดทางไฟทุกตัวมีอารมณ์ปานกลาง และบางตัวถึงกับหงุดหงิดมาก ดัง
เฟิงเหยียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตาของเขายังคงลึกล้ำเช่นเคย แต่มองไม่ออกความเกลียดชังใด ๆ ในดวงตาคู่นั้นจั๋วซือหรานจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของเฟิงเหยียนได้อย่างไรนางจงใจพูดอย่างนั้นซื่อจื่อคนนี้ไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย แม้ว่าคนอื่นจะมองความผิดปกติของนางไม่ออก แต่เฟิงเหยียนเคยเห็นความสามารถหลากหลายของนางแล้ว เขาจะไมองไม่ออกได้อย่างไรสำหรับคนนอก ปืนและอาวุธเหล่านั้นเป็นเพียงของที่น่าทึ่งและแปลกประหลาด จะมองอย่างไร พวกมันก็ดูไม่เหมือนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในโลกนี้และพลังเหล่านั้นที่เห็นได้ชัดว่าพลังนั้นไม่ใช่พลังวิเศษใด ๆ ในใบโลกนี้ และพลังนั้นสามารถรักษาบาดแผลบนร่างกายของเขาที่ได้มากจากการทำร้ายตัวเองด้วย พลังวิเศษอันรุนแรงนั่นคือการรักษา ไม่ใช่การปราบปราม เขาใช้สิ่งต่าง ๆ ที่มีพลังเย็นมาโดยตลอด เขาดูดซับพลังเย็น เพื่อปกป้องร่างกายของเขาและทำให้อาการบาดเจ็บของเขาหายไปจริง ๆ นี่เป็นการปราบปรามมากกว่าการรักษาแต่จั๋วซือหรานนำมาให้เขาคือการเยียวยาที่แท้จริงนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงมีโอกาศมองเห็นดวงอาทิตย์ได้แม้เป็นระยะเวลาหนึ่งนี่คือสิ่งที่เฟิงเหยียนเพิ่งตระห
คนหนึ่งยืนอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและฟังมีเพียงแสงสลัว ๆ จากผนังของสวนรอบข้างและโคมไฟที่แขวนอยู่ริมถนนเท่านั้นที่สะท้อนออกมา เช่นเดียวกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างชัดเจนแต่ภาพของทั้งสองคนในเวลานี้สวยงามมากจนไม่มีความงดงามชนิดใดเทียบภานี้ได้เฟิงเหยียนได้ยินเสียงอันไพเราะของเด็กหญิงคนนี้ เสียงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยนั้นกระทบหูของเขา ทำให้เขาเกิดอาการคันอย่างไม่สามารถละเลยได้นางพูดว่า " ท่านอ๋อง ปกติแล้วข้าจะไม่ค่อยระวังกับคนหน้าตาดีเท่าไร ข้าชอบใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านอ๋อง หากเราจะสู้กันจริง ๆ ข้าคงอ่อนให้เจ้าสามกระบวนท่าได้"หลังจากเฟิงเหยียนได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาก็เห็นนางกระพริบตามาที่เขาเล็กน้อย หน้าตาของนางน่าเอ็นดูเหลือเกินเฟิงเหยียนมองนาง “เจ้ากล้าพูดเชียว ขอ่อนให้ข้าสามกระบวนท่า เจ้าต้องตายแน่ ๆ ”จั๋วซือหรานหัวเราะเสียงดังและพูดว่า "นี่คือเรื่องที่สองที่ข้าอยากจะพูดนะท่านอ๋อง"วินาทีต่อมา ร่างกายของเฟิงเหยียนก็เกร็งตึงเพราะหลังจากนางหัวเราะเสร็จ เฟิงเหยียนสังเกตเห็นว่าหูของเขาถูกบีบด้วยปลายนิ้วที่เย็นและนุ่มนวล และเขาก็ถูหูด้วยม่านตาของเฟิงเหยียนกระชับขึ้น
สมองของจั๋วซือหรานว่างเปล่าในขณะนี้ดูเหมือนนางไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว นางได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นดัง ๆ ของตัวเอง ราวกับว่ามันเต้นอยู่ข้างหูบูม! บูม! บูม!ดูเหมือนว่าทั้งหมดที่นางมองเห็นได้คือรูม่านตาที่ลึกและมืดมนของชายคนนั้น ซึ่งอยู่อย่างใกล้ชิดนางมาก แววตาของชายผู้นั้นเหมือนหลุมดำที่พยายามจะดูดนางเข้าไปนางเหมือนตัวเองสัมผัสได้เพียงอุณหภูมิที่ร้อนจัดของริมฝีปากและลิ้นของเขา เหมือนเขากำลังพยายามจุดไฟให้นางจั๋วซือหรานไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางต้องมีการเคลื่อนไหวอย่างไรในชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าร่างกายของนางถูกสั่งหยุดการเคลื่อนไหวส่วนเฟิงเหยียนเดิมทีเขาวางแผนที่จะลงโทษนางเล็กน้อย เพื่อตักเตือนนาง นางจะได้ทราบเขาเก่งเพียงใดใครจะรู้ว่าเมื่อเขาจูบริมฝีปากนั้น เขามีความรู้สึกเหมือนเขากำลังเสพยาเสพติดชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่อยากปล่อยนางไปจริง ๆเดิมทีเขาวางแผนว่า เขาแค่จูบแล้วปล่อยนางไปทันที แต่สุดท้าย...เฟิงเหยียนยกมือขึ้นและเอามือดันด้านหลังศีรษะของนาง และจูบนางแรง ๆพูดได้เลยว่า เขาจูบนางอย่างรีบร้อนและควบคุมตัวเองไม่ได้จนกระทั่งจั๋วซือหรานต้องยกมือเล็ก ๆ อันไร้เรี
ในขณะนี้ เมื่อเขาสบตากับหญิงสาวคนนั้น ดวงตาของเฟิงเหยียนลึกล้ำ และเขาก็พูดว่า "เจ้ากล้าทำจริง ๆ "จั๋วซือหรานเป่าปากกระบอกปืนแล้วพูดว่า " ท่านอ๋อง กำลังเอาเปรียบกับผู้หญิง ข้ายิงไปนัดเดียว ถือว่าไว้หน้าแล้วนะ หากไม่ใช่เพราะหน้าตาดีของเจ้า ข้าคงยิงไปหลายนัด"....."ดูเหมือนคำพูดส่วนหลังของจั๋วซือหรานเป็นคำพูดที่นางพึมพำกับตัวเองเฟิงเหยียนไม่เข้าใจความหมายของนาง แต่เขารู้สึกคำพูดของนางน่าสนใจโดยอธิบายไม่ถูกเขาเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม “เจ้าทำได้ แต่ห้ามคนอื่นทำเลยจริง ๆ ”จั๋วซือหรานฟังออกได้ว่า เฟิงเหยียนกำลังพูดถึงเรื่องที่นางจูงเฟิงเหยียนโดยนางรู้ตัวบ้างและไม่รู้ตัวบ้างแต่จั๋วซือหรานไม่รู้สึกเขินอายกับสิ่งที่เขาพูด และนางก็มองเขาด้วยดวงตาอันสวยงามของนางจากนั้นนางก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่”นางทำได้ แต่ผู้อื่นห้ามทำจั๋วซือหรานม้วนริมฝีปากของนางและยิ้ม "ครั้งต่อไปหากข้าใช้ประโยชน์จากท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็สามารถชักดาบและฟาดข้าได้"เฟิงเหยียนสับสนมากกับพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของนาง จนเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจั๋วซือหรานบอกเฟิงเหยียน “ข้ายังต้องไปตลาดมืดอีก ท่านอ๋อง ขอยืมม้าไฟหน่อยนะ แ
ชายผู้นี้ไปตลาดมือดคงไม่ใช่การประมูลเลย เขาแค่หาข้ออ้างไปเป็นเพื่อนกับนางจั๋วซือหรานหรี่ตาลงและมองไปที่มือที่ยื่นออกมาจากด้านหลังและกุมสายบังเหียนนั้นนั่นเป็นมือของผู้ชายที่ทั่วไป มือคู่นี้มีหนังด้านที่ง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เพราะเขาจับดาบเป็นเวลาหลายปี เขามีนิ้วยาวและมีข้อต่อที่ชัดเจน และเล็บถูกเขาตัดอย่างเรียบและสะอาดนางโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อยม้าไฟถนัดวิ่งจริง ๆ และใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะมาถึงตลาดมืดเดิมทีจั๋วซือหรานคิดอยู่ว่า หากวันนี้ไม่มีงานประมูลในตลาดมืด ท่านอ๋องจะแก้ตัวอย่างไรเพราะตลาดมืดไม่ได้จัดงานประมูลทุกวันใครจะรู้ว่าหลังจากพวกเขามาถึงตลาดมืดแล้ว พวกเขาพบว่าวันนี้มีงานประมูลจริง ๆจั๋วซือหรานบุ้ยปากเล็กน้อย จากนั้นนางหันไปมองที่ เฟิงเหยียนนางหลอดถาม "วันนี้ท่านอ๋องมางานประมูล ท่านอ๋องจะซื้ออะไรหรือ"นางคิดอยู่ว่า นางจะจับพิรุธของท่านอ๋องได้ แต่ใครจะรู้...“ฮะ” เฟิงเหยียนส่งบังเหียนของม้าไฟให้คนดูแลม้าในตลาดมืด เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาก็หันมามองนางแล้วตอบว่า "ขอรับ ทาส"จั๋วซือหรานตกตะลึง เดิมทีนางคิดว่าเฟิงเหยียนหาข้ออ้าง เพื่อมา
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน
สายตาฮั่วจือโจวมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเดียวกัน จั๋วซือหรานเองก็เดินออกมาจากตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงเข้าใจเป็นอย่างดีต่อให้ทุกคนจะเป็นลูกหลานในตระกูลเหมือนกัน และก็จะมีพวกลูกหลานที่ได้รับการปฏิบัติกับให้ความสำคัญมากกว่า และก็จะมีลูกหลานที่ถูกมองข้ามหรือเมินเฉยแต่นี่ก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของรุ่นพ่อและฝีมือของตนเองดูจากจั๋วซือหรานแล้วมองออกไม่ยาก กระทั่งฝีมือของรุ่นพ่อก็ยังไม่แน่ว่าจะสำคัญ เพราะพ่อของนางนั้นไม่อยู่มานานแล้วมีเพียงฝีมือของตนเองที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดดังนั้นในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูล หากคิดจะได้รับการให้ความสำคัญของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้สถานการณ์ของฮั่วจือโจวตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนี้เขามีฝีมืออยู่บ้าง และมีอุดมการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้เพราะในตระกูลเช่นนี้ คนมากมายล้วนเป็นแบบเดียวกัน โอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าทำผลงานไม่ได้ หลังจากนี้ทรัพยายากรก็อาจจะไม่เอนมาทางเขาอีกแล้วจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ลังเลที่จะพูดออกมาสายตาฮั่วจือโจวหยุดอยู่ที่แ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ “ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่เจ้าตามพวกเราเข้ามาแล้วน่ะสิ”ฮั่วจือโจวลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาทางนี้ นั่งลงข้างโต๊ะพวกเขา“เมื่อครู่แผนของแม่นางจิ่ว ข้าได้ยินแล้ว” ฮั่วจือโจวเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆเขาพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวังว่าจั๋วซือหรานจะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้แล้วแต่ฮั่วจือโจวคิดไม่ถึงว่าจั๋วซือหรานจะพูดว่า “ข้าจงใจพูดออกมาให้เจ้าได้ยิน”สีหน้าฮั่วจือโจวตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามฮั่วฟังแผนการของข้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ไม่เลว” ฮั่วจือโจวตอบ “มิน่าสี่ตระกูลที่เหลือจึงมองเจ้าเป็นหนามยอกอก”รอยยิ้มบนหน้าจั๋วยังไม่จางหาย “ถ้าข้าไม่จงใจพูดให้เจ้าได้ยิน แล้วจะกล่อมให้เจ้ามาร่วมมือได้อย่างไรกัน?”“ร่วมมือ?” ฮั่วจือโจวตกตะลึงจั๋วซือหรานตอบ “อืม ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องลำบากใจ ถ้าแค่ตระกูลฮั่วไม่ทำให้ข้าลำบากใจน่ะนะ แต่ข้าเองก็เข้าใจ บุ่มบ่ามไปแย่งธุรกิจของคนอื่น ดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะสม และยังเป็นในสถานการณ์ที่ข้ามั่นใจว่าข้าคว้ามันมาได้ด้วย”ฟังคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ฮั่วจือโจวก็หัวเราะขึ้นมา เขาก
“ทำให้มันคึกคักขึ้น?” เฟิงหร่านตาเป็นประกาย ความชื่นชมต่อตัวจั๋วซือหรานของนางไม่ได้แค่นิดหน่อยแล้วตอนนี้มองจั๋วซือหรานด้วยตาเป็นประกาย “พี่หญิงจั๋ว จะทำให้มันคึกคักขึ้นได้อย่างไรหรือ?”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “วิธีการมีอยู่เยอะเลยทีเดียว ก็ให้เจ้าไปแสดงพ่นไฟ เฮยหลิงไปแสดงหน้าอกทลายหินอะไรแบบนั้น หรือไม่ข้าก็ให้พวกแมลงไปแสดงละครหุ่นกระบอก? ต้องสนุกคึกคักแน่ๆ...”“พ่น พ่น...พ่นไฟ??” ในสายตาเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก็จริง สำหรับนางที่เป็นคุณหนูลูกขุนนางเช่นนี้ทุกการกระทำทั้งหมดของจั๋วซือหราน กระทั่งแค่ลมหายใจของนาง ก็ดูจะผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ในตระกูลขุนนางเหล่านั้น “พ่นไฟเป็นไหม? ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวไว้ข้าหาเวลาสอนเจ้า” จั๋วซือหรานวางตะเกียบลง “สรุปคือ ถ้าถึงเวลาต้องเปิดกิจการ ก็หาการแสดงอะไรมา จากนั้นพอเปิดร้านก็เตรียมการให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ก็มอบอาหารเพิ่มให้อีกหนึ่งจานแบบไม่ต้องจ่ายเงินอะไรแบบนี้”“ประชาชนกินเพื่ออยู่ ขอแค่ของอร่อย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาอีกหรือ” จั๋วซือหรานคิดคิด เอ่ยต่อว่า “ไหนจะเรื่องที่อาหารของที่นี่รสชาติแย่แค่ไหน น่าจะไ
จั๋วซือหรานตอบ “เดี๋ยวเจ้าลองชิมก็รู้แล้ว...”ผ่านไปครู่หนึ่ง อาหารก็ส่งขึ้นมา หน้าตาแย่เอามากๆเจี่ยงเทียนซิงจึงเพิ่งได้ยินประโยคหลังของจั๋วซือหราน “...ไม่ใช่ห่วยแตกแบบธรรมดาด้วย”เจี่ยงเทียนซิง “...”เฟิงหร่าน “...”ฝูซู “...”เฮยหลิง “...”ทุกคนทยอยกันพูดไม่ออกจั๋วซือหรานหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบคำหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปสองคำ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “พวกเจ้าลองชิมสิ ห่วยแตกแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”เฮยหลิงยังพอไหว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาแล้ว ขยับตะเกียบ หลังจากกินคำแรกไปเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเหมือนจะโกรธขึ้นแล้วเฟิงหร่านเองพอเห็นสถานการณ์ จึงวางตะเกียบลงเงียบๆเจี่ยงเทียนซิงถาม “เจ้าหิวแล้ว แต่จงใจมายังร้านอาหารที่รสชาติแย่หรือ?”จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ลองชิมดูก่อน แบบนี้ภายหลังจะได้มีความแตกต่าง”เจี่ยงเทียนซิงก็เชื่อฟังคำพูดของนาง คีบขึ้นมาพอส่งเข้าปาก จึงเพิ่งมีปฏิกิริยากับคำพูดของจั๋วซือหราน “...ภายหลัง?”ตอนนี้เอง อะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ในที่สุดก็ทำเอาประสามรับรสของเขาถูกปะทะอย่างรุนแรง“ถุด” เจี่ยงเทียนซิงพ่นอาหารในปากออกมา รู้สึกว่าคำวิจารณ์ก่อน
พอได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จั๋วซือหรานก็เลิกคิ้ว “นั่นก็จริงอยู่”เจี่ยงเทียนซิงถามขึ้น “บาดแผลของเจ้าไม่เป็นไรหรือ?”“ถ้าเจ้าถามช้าอีกหน่อย มันก็หายสนิทแล้ว” จั๋วซือหรานมองตำแหน่งบาดแผลเหล่านั้นบนร่างกายตนเองผาดหนึ่ง“ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงบาดแผลในการประลองเมื่อครู่ แต่เป็นของเมื่อคืนนี้” เจี่ยงเทียนซิงบอกมาเฟิงหร่านอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จึงรีบกำชับขึ้นมาว่า “จริงด้วย พี่หญิงจั๋ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือ? ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านเข้าไปในศาลบรรพบุรุษเมื่อคืนนี้แล้ว นั่นมันอันตรายมากเลย! ท่านไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม?”จั๋วซือหรานเหลือบมองแม่นางคนนี้ “พี่ชายของเจ้า กลับบ้านไปแล้วหรือยัง?”เฟิงหร่านตกตะลึง จากนั้นจึงพยักหน้า “กลับมาแล้ว”“เช่นนั้นเขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ?” จั๋วซือหรานถามขึ้นมาอีกเฟิงหร่านถอนหายใจอีกครั้ง “อารมณ์ของพี่ชายเหมือนไม่ค่อยดีนัก หลังจากกลับมา ผู้อาวุโสหลายคนที่อยากไปคุยกับเขา ก็ล้วนถูกไล่ออกมาหมด ข้าเองก็ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย”นางมองจั๋วซือหรานตาแป๋ว “พี่หญิงจั๋ว เป็นเพราะท่านหรือเปล่า?”“หือ?” จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยขึ้นมาเฟิงหร่านถามขึ้น
“ไม่มีเคล็ดวิชาอะไร กระทั่งไม่มีถุงเก็บสัตว์ด้วยซ้ำ แต่กลับเก็บแมงมุมหน้าผีระดับราชาลงไปได้ในชั่วพริบตา” ซางเชวี่ยเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอัญเชิญราชาแมงมุมหน้าผีออกมา พวกเราถูกทำให้เข้าใจผิดจนคิดว่าอีกฝ่ายอัญเชิญออกมา คู่มือของนางคนนั้น แม้ความเร็วในการอัญเชิญจะเร็ว แต่ก็ยังต้องมีเคล็ดวิชาอะไรอยู่”“ตอนนั้นถูกเบนความสนใจจนไม่ทันสังเกต ตอนนี้กลับมองเห็นชัดเจนแล้ว ไม่แน่ว่าตอนที่นางอัญเชิญมาก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีเคล็ดวิชาอะไรในการเก็บหรือเรียก” คนตระกูลซางที่ถูกจั๋วซือหรานแย่งราชาแมงมุมหน้าผีไปคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงขรึมเขาจู่ๆ ก็รู้สึกโชค ที่ตอนไปจัดการราชาแมงมุมหน้าผีในป่าลึกลับตอนนั้น ตนเองไม่ได้เผชิญหน้ากับจั๋วซือหรานเหมือนคนพวกนั้นตอนนั้นเขายังรู้สึกว่า ราชาแมงมุมหน้าผีถูกแย่งไปเพราะโชคดีที่ไม่ได้มาเจอกับเขา ดังนั้นจึงแย่งไปได้อย่างราบรื่นแต่พอเห็นตรงนี้ ในใจเขาก็แอบรู้สึกโชคดี ยังดีที่ตนเองโชคดี! ไม่ได้ไปเจอเข้ากับจั๋วซือหรานในตอนนั้น! ไม่เช่นนั้น เขาคงได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในป่าลึกลับเหมือนคนอื่นๆ พวกนั้นแน่!และบนเวทีประลองตอนนี้ หลังจากจั๋วซือหรานเก็บราชาหน้
เปรี๊ยะ...! ตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น แจ่มชัดอย่างมากต่อให้ในสถานที่ที่สับสนวุ่นวายอย่างในลานประลอง ก็ยังแจ่มชัดอย่างมาก!ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยากันขึ้นว่ามาต้นเสียงมาจากไหนแต่เพียงไม่นาน ก็มีคนพบขึ้นแล้ว“ดู...ดูสิ! ให้ตายเถอะ...เว เวที แตก...แตกออกแล้ว!”ภายใต้การจับตามองของทุกคน ด้านใต้ร่างกายของซางถิง แตกออกมาเป็นรอยแยกรอยหนึ่ง!“นั่น...นั่นไม่ใช่เวทีที่ทำจากหินต้องห้ามหรือ? ทำ ทำไมถึง...แตกล่ะ?”ระดับความแข็งของหินต้องห้ามแค่จินตนาการก็รู้แล้ว ไหนจะคุณสมบัติพิเศษของหินต้องห้ามที่สามารถสะกดพลังวิญญาณของมนุษย์ได้ถ้าหากไม่สามารถใช้พลังวิญญาณ แล้วคิดจะสร้างรอยแตกแก่หินต้องห้าม นั่นมันฝันกลางวันชัดๆทว่าตอนนี้ กลับมีคนทำได้แล้วก็คือคนที่เดิมทีถูกทุกคนดูถูกบนเวทีประลอง ถูกทุกคนเข้าใจว่าสู้หลอกๆ เข้าใจว่านางไม่มีฝีมือการต่อสู้...คนที่เป็นแค่หญิงสาวในสายตาของทุกคนคนนั้นจัดการหั่น...เวทีประลองที่ทำจากหินต้องห้ามนี้จนแตกหลังจากที่ทุกคนตระหนักขึ้นได้ ทั่วทั้งลานก็เงียบลงมาทันทีจั๋วซือหรานมองไปทางอินเจ๋ออัน อินเจ๋ออันก็สีหน้าปั้นยากขึ้นมา กระทั่งประกาศแพ้ชนะก็ยังลืมทำ ยืนแข็งทื
เพราะบนเวทีประลอง ไม่ค่อยจะมีความยอดเยี่ยมที่พิเศษนัก หรือก็คือ การต่อสู้ที่งดงามยอดเยี่ยม คนที่เก่งกาจจริงๆ ใครก็ไม่อยากจะมาเสียเวลาบนเวทีประลองระดับต่ำๆ เช่นนี้ปกติจึงมีแต่การต่อสู้ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนัก และเพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงอยากจะลองเดิมพันกัน อยากจะเห็นการต่อสู้ที่เลือดสาดยิ่งขึ้น เพราะมันต้องมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดสายตาแต่ตอนนี้ การต่อสู้บนเวที ไม่จำเป็นต้องเลือดสาด แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมเพียงพอแล้วยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มองออก!สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเคยเจอมาก่อนเพียงไม่นาน ก็มีคนมีปฏิกิริยาขึ้นมา“ไม่ใช่เหมือนกับตอนยกแรกหรือ? แค่พลิกกลับมาเท่านั้น”“จริงด้วย! ตอนยกแรก เป็นหญิงสาวถูกอีกฝ่ายใช้แส้ไล่ฟาดบีบจนเข้าไปในระยะโจมตีของสัตว์ประหลาด!”“แต่ว่าตอนนี้เหมือนนางมาไล่บี้ชายคนนี้ไปในระยะของสัตว์ประหลาด...?”“ไม่ ไม่ใช่ นางบีบชายคนนี้ ตรงไปยังจุดโจมตีถัดไปของนาง!”“พอพูดเช่นนี้ ตอนยกแรกคงไม่ใช่ว่านางยอมให้คนอื่นชนะหรอกใช่ไหม...?”จั๋วซือหรานได้ยินเสียงเหล่านี้ หางตายกโค้งนางคิดจะให้ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ พอเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีใครรู้สึกว่านางไม่มีฝีมือ เอาชนะมาได้เพราะอีกฝ