เดิมทีจั๋วซือหรานว่าจะไปจวนเฟิงทันที ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น นางยังคงต้องให้เกียรติท่านอ๋องหน่อย ไม่ได้เพื่ออะไร แต่อย่างน้อยเขาหน้าตาดีและเรื่องที่นางแข่งกับตระกูลเหยียน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็เพิกเฉยต่อมิตรภาพระหว่างเขากัตระกูลเหยียน และเข้าร่วมในการแข่งขันระหว่างนางกับตระกูลเหยียนเขายังทำร้ายตัวเองเช่นนั้นและให้พวกเขารักษาเขาจั๋วซือหรานสรุปได้ว่า เฟิงเหยียนต้องมีวิธีโดยเฉพาะในการควบคุมความอาการบาดเจ็บของเขาดังนั้นหากไม่ใช่เพราะเขาต้องมาเป็นผู้ป่วยในการแข่งขันทักษณะการแพทย์ระหว่างนางกับตระกูลเหยียน เขาคงไม่ต้องทำร้ายตัวเองถึงขั้นนั้นหรอกและเขารักษาสัญญาได้ค่อนข้างดี การแข่งขันเพิ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ และวันนี้เขาสั่งคนส่งของขวัญหมั้นมาที่ประตูจวนของนางทันที แม้ว่าสัญญาการแต่งงานระหว่างนางกับเขาจะไม่เป็นความจริง แต่ดูจากของขวัญหมั้น เขาก็ไม่ได้ละเลยนางดังนั้นจั๋วซือหรานจึงตัดสินใจว่า เมื่อทำธุระทางนี้เสร็จ นางจะไปจวนเฟิงทันที อย่างน้อยก็อย่าทำให้เฟิงเหยียนรู้สึกลำบากใจต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงแต่ในขณะนี้นางยังยอมหยุดฝีเท้าเพราะคนตรงหน้าเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างห
สีหน้าของนางดูแข็งทื่อเล็กน้อย และนางก็เริ่มพูดติดอ่าง "ท-ทำไม...ทำไมข้าต้องถูกกฎตระกูลลงโทษด้วย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ไอ้คนรับใช้ที่เจ้าเล่ห์นั้น ข้าไม่ได้ฆ่านาง เป็น... เป็นท่านพ่อของข้าต่างหาก เพราะท่านพ่อรู้ว่าทาสจะทนทุกข์ทรมานไม่ได้และต้องใส่ร้ายข้าแน่ ๆ ท่านจึงลงมือจัดการนาง"จั๋วซือหรานไม่ได้พูดอะไร นางมองจั๋วหรูซินด้วยความรังเกียจ แม้ว่านางจะไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อคุณท่านจั๋วลิ่วก็ตามแต่คุณท่านจั๋วลิ่วในฐานะที่เป็นบิดายังปฏิบัติดีต่อจั๋วหรูซินดีมากเขารู้ชัดเจนว่าเหล่าผู้อาวุโสอาจใช้หลิ่วเย่เป็นเหยื่อล่อ แต่เขายังคงโจมตีหลิ่วเย่ในเมื่อคืนนี้ เพราะเขาต้องการปกป้องจั๋วหรูซิน ตราบใดที่หลิ่วเย่เสียชีวิตโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ แม้ว่าตัวเขาเองจะถูกลงโทษ เขาทำผิดเพียงแค่ฆ่าคนรับใช้อย่างน้อยจั๋วหรูซินถูกถอนคำกล่าวหาว่า นางร่วมมือกับบุคคลภายนอกและทำร้ายลูกพี่ลูกน้องเดิมทีจั๋วซือหรานคิดว่าจั๋วหรูซินมาที่นี่เพื่อขอนางอภัยคุณท่านจั๋วลิ่ว แต่นางไม่คาดคิดว่า จั๋วหรูซินมาที่นี่เพื่อโยนความผิดทั้งหมดให้กับคุณท่านจั๋วลิ่วเดิมทีจั๋วซือหรานแค่ดูถูกนาง แต่ตอนนี้จั๋วซือหร
เมื่อเห็นร่างของเจ้านายของเขาหายไปในความมืด ฉูนจวีนก็รู้สึกจนปัญญาเขารู้นิสัยของเจ้านายของเขา ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกว่าเจ้านายของเขาชอบแม่นางจั๋วจิ่วแต่เขามองออก เจ้านายปฏิบัติต่อแม่นางจั๋วจิ่วไม่เหมือนปฏิบัติต่อผู้อื่นบางทีอาจเป็นเพราะแม่นางจั๋วจิ่วสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้านายได้ แต่ฉูนจวีนรู้สึกว่ามันเป็นมากกว่านั้น เพราะก่อนเมื่อวานนี้ แม่นางจั๋วจิ่วไม่เคยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้านายเลยแต่ดูเหมือนว่ท่านปฏิบัติต่อแม่นางจั๋วจิ่วไม่เหมือนที่เคยปฏิบัติต่อผู้อื่น เมื่อคิดลึกหน่อย คงทราบดี นั่นไม่น่าแปลกใจ เพราะแม่นางจั๋วจิ่วมีความสามารถ มีเสน่ห์ และกล้าหาญจริง ๆเป็นเรื่องปกติมากที่เจ้านายจะชื่นชมนางโดยไม่คาดคิด แม่นางจั๋วจิ่ว... เก่งมากด้วย ฉูนจวีนรู้สึกผู้หญิงมักจะหลงไหลในเสน่ห์ของเจ้านายแต่เมื่อดูการกระทำและทัศนคติของแม่นางจั๋วจิ่ว ไม่ว่าจะมองอย่างไร...ดูเหมือนนางไม่เกิดอารมณ์หวั่นไหวกับเจ้านายเลยฉูนจวีนถอนหายใจเบา ๆ เขารีบเดินตามเฟิงเหยียน......จั๋วหรูซินยินคำพูดของจั๋วซือหราน นางไม่เชื่อคำพุดนั้น“เจ้าไม่อยากแต่งงานกับเฟิงเหยียนหรือ” นางส่ายหัว “เป็นไปไม
“ก็แค่ตัวตลก”......จั๋วซือหรานไปที่จวนของตระกูลเฟิง พูดตามตรง นางค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทางนี้อาจเป็นเพราะนางแอบเข้ามาหลายครั้ง จนกระทั่งนางยังไม่ถึงทางเข้าหลักของจวนเฟิง แค่เห็นกำแพงของจวนเฟิง นางก็อยากปีนเข้าไปทันทีจั๋วซือหรานเดินถึงที่ประตูจวนเฟิง นางเห็นคนรับใช้หลายคนของจวนเฟิงยืนอยู่ที่นั่น“ จั๋วจิ่วมาเยี่ยม โปรดส่งข่าวและแจ้งให้ทราบด้วย” จั๋วซือหราน กล่าวอย่างสุภาพคนรับใช้หลายคนไม่กล้าละเลย พวกเขาอาจได้รับคำสั่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพานางเข้าไปข้างในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน คนรับใช้ก็พานางไปที่ห้องโถงด้านหน้า“อยู่ข้างในขอรับ เชิญคุณหนูจั๋วจิ่วเข้ามาขอรับ” คนรับใช้ยืนที่ด้านข้างและทำท่าทางเชิญชวน เขาพูดด้วยความเคารพจั๋วซือหรานเดินเข้าไป แต่ก่อนที่นางจะเดินถึงบันไดยาวที่อยู่หน้าประตูห้องโถงหน้า นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามนางจากด้านหลังคนที่มาคิดไม่ดีจั๋วซือหรานได้ยินเสียงลมที่มาจากทางอากาศ นางไม่หันตัวกลับมา แต่เพียงขยับตัวไปทางซ้ายเล็กน้อยมีดาบที่ไม่ได้หุ้มฝักแทงเข้าข้างหูของนางจั๋วซือหรานเหลือบเห็นดาบจากมุมตาของนาง นางรู้สึกดาบนี้คุ้น ๆ ตอนที่นางเพิ่งข้ามเ
จั๋วซือหรานได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ แต่เนื้อหาของคำพูดนั้นทำให้นางตกตะลึงรอยยิ้มที่แต่เดิมปรากฏเพราะนางล้อเฟิงหร่านนั้นก็หยุดลงทันที“ท่านพี่” เฟิงหร่านรีบกระโดดไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วรีบวิ่งไปข้างหลังของเฟิงเหยียน นางกำลังอยากบอกจั๋วซือหรานว่านางมีคนหนุนหลังแล้วทันใดนั้นนางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจั๋วซือหรานหายไปนั่นไม่ใช่การเปลี่ยนหน้ากะทันหัน แต่เป็นกระบวนการจากไม่มีถึงมี ซึ่งทำให้คนมักรู้สึกว่า นางกำลังเสียใจอย่างอธิบายไม่ได้เฟิงหร่านไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะจั๋วจิ่วสวยมาก นางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจั๋วซือหรานค่อย ๆ หายไปความดีใจเดิมในการอยากแสดงความแข็งแกร่งหายไป และด้วยเหตุผลบางอย่าง อารมณ์บางอย่างที่สงสารผู้อื่นก็พุ่งขึ้นในหัวใจของนางเฟิงหร่านกัดริมฝีปากของนาง แต่นางไม่ได้พูดอะไรประชดแม้แต่คำเดียว หลังจากกลั้นหายใจอยู่นาน นางพูดได้เพียงประโยคเดียวว่า "เจ้า...ข้าจะไม่ถูกสั่งเข้าห้องลงโทษอีกหรอก"จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นและมองหญิงสาวผู้นี้ ต้องยอมรับว่าแม้ว่าคุณหนูสิบของตระกูลเฟิงมีนิสัยเอาแต่ใจอย่างคุณหนูของตระกูลขุนนางอื่น ๆ แต่เมื่อเทียบกับจั๋วหรูซิน คุณหนูสิบผู้นี้ด
“เหยียนเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น ให้เจ้าเรียกเด็กผู้หญิงคนที่เก้าของ ตระกูลจั๋วมาคุยเรื่องหมั้นของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ”“ใช่สิ ทำไม...เจ้าถึงไล่นางออกไป”เหล่าผู้อาวุโสดูกังวลเล็กน้อยแม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจจั๋วซือหราน แต่โดยเฉพาะพวกเขาทั้งหมดยังคงจำคำดูถูกของจั๋วซือหรานที่มีต่อตระกูลเฟิงได้อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างเห็นความสามารถของจั๋วซือหราน แม้ว่าพวกเขาไม่ยอมนาง แต่ด้วยสถานการณ์ที่แท้จริง พวกเขาต้องฝืนใจยอมรับนางเนื่องจากสภาพร่างกายของเขาเฟิงเหยียน เขาไม่ค่อยปรากฏตัวในวันที่มีแสงแดดจ้า แต่วันนี้เขาสามารถ...จะเห็นได้ว่าจั๋วจิ่วผู้นั้นพอมีความสามารถเฉพาะตัวความสามารถนี้ทำให้พวกเขาอดกลั้นอคติไว้ แม้ว่าพวกเขายังคงมีอคติต่อจั๋วซือหรานก็ตาม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาส่งรถม้าที่มีขวัญจำนวนมากไปที่นั่นตั้งแต่เช้า“วันนี้ยังไม่ต้อง” เฟิงเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไว้วันหลัง…”ก่อนที่เขาจะพูดจบ เฟิงหร่านก็อุทานจากด้านข้าง "ท่านพี่ หน้าของท่านพี่..."สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ชิดรีบถอดผ้าคลุมและคลุมเฟิงเหยียนทันที“ใช้เวทย์มนต์เร็วเข้า” ผู้อาวุโสนั้นพูดด้
เฟิงหร่านไม่เชื่อตัวเองดึงจั๋วซือหรานไม่ได้ นางดึงมือของจั๋วซือหรานแรงอีกครั้งแต่จั๋วซือหรานไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยเหมือนเดิมเฟิงหร่านรู้สึกเมื่อครู่นี้นางยังรู้สึกจั๋วจิ่วน่าสงสาร ยังคิดว่าจั๋วจิ่วคนนี้ดูเรียวและอ่อนแอมานั้นหรือตัวเอง...ตาบอดจริง ๆเฟิงหร่านพูดอย่างกังวลว่า "มากับข้าเร็วเข้า มีเรื่องด่วน"เนื่องจากบริเวณโดยรอบไม่ใช่สถานที่ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ การเคลื่อนไหวของพวกนางได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินบนถนนแล้วยิ่งไปกว่านั้น ดาบประจำตรกูลที่อยู่รอบเอวของเฟิงหร่านแสดงให้เห็นตัวตนของนาง และจั๋วซือหรานเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่มีใครไม่ชอบที่จะเห็นความตื่นเต้นเช่นนี้เฟิงหร่านกัดริมฝีปากและลดเสียง นางขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า "ท่านพี่ของข้าเจอปัญหาใหญ่แล้ว"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คิ้วของจั๋วซือหราน ซึ่งขมวดเล็กน้อยอยู่แล้วก็ขมวดแน่นยิ่งขึ้น "เกิดอะไรขึ้น"“อย่างไรก็ตาม... มากับข้าเร็ว ๆ นี้” เฟิงหร่านกังวล นางกลัวว่าจั๋วซือหรานไม่สบายใจเพราะคำพูดของท่านพี่ นางคิดไปคิดมาและกระซิบว่า " พี่จั๋วจิ่ว หนูขอร้อง"จั๋วซือหรานยังสงสัยคำพูดของเฟิงหร่านในก่
จากนั้นนางจึงถอดเสื้อคลุมที่คลุมเฟิงเหยียน ออกจากนั้นนางเห็นสภาพอันน่าเวทนา ทันทีที่จั๋วซือหรานเห็น นางรู้สึกเสียใจกับการกระทำของนางจริง ๆ แล้วนางเป็นคนที่ไม่ค่อยเสียใจ แต่ในตอนนี้ นางมีอารมณ์บางอย่างหนึ่งที่เรียกได้ว่าเสียใจ...ทำไมข้าต้องอารมณ์ฉุนเฉียวกับคนไข้ ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งเหมือนเด็กจั๋วซือหรานรีบรักษาเฟิงเหยียนทันทีพูดตามตรง สภาพปัจจุบันของเฟิงเหยียนแย่กว่าตอนที่เขาอยู่ที่ศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนในเมื่อวานนี้ บัดนี้เขามีรอยไหม้ทั่วร่างกาย และแม้แต่ตาและหูของเขาก็ถูกพลังวิเศษทำลายจนเป็นรอยแผลไหม้เขาอาจจะมองไม่เห็นและฟังไม่ได้เดิมทีจั๋วซือหรานคิดว่าการรักษาเขาคงจะยากกว่าเมื่อวาน นางยังคงกระตุ้นพลังของการแพทย์สายวิเศษต่อเนื่อง แต่พบว่า......เหตุใดพลังของการแพทย์สายวิเศษจึงดูนุ่มนวลกว่าเดิมนางไม่มีเวลาพิจรณาสถานการณ์ปัจจุบันของนาง แต่พูดจริง ๆ แล้ว จั๋วซือหรานรู้สึว่า ระบบเส้นลมปราณของนางเหมือนถูกขยายกว้างขึ้นมากจั๋วซือหรานไม่ทันสนใจท่ารักษาของนางจะถูกต้องหรือไม่ หรือจะสง่างามหรือไม่นางดึงเสื้อคลุมของเฟิงเหยียนออกทีเดียว“อ๊า——” เฟิงหร่านอุทานอย่างตกใจผู
แต่พอคิดดู เขาจะไปทำอะไรแม่นางจิ่วได้กันล่ะ?ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างวางใจ"เจ้าอยากจะรู้อะไร?"และไม่รู้เพราะเห็นจั๋วซือหรานไม่พูดอะไรเลย คนผู้นี้จึงถามนางขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ไม่ต้องรีบ ตอนที่ข้าอยากรู้ ข้าจะถามเจ้าเอง""เจ้าตอนนี้ยังไม่อยากรู้หรือ?" สีหน้าของชายหนุ่มดูแล้วแปลกประหลาดสุดๆจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ยังไม่ถึงเวลา รออีกหน่อยเถอะ"จั๋วซือหรานคิดๆ ถามไปคำหนึ่ง "จริงด้วย เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย "ฮาร์วีย์ ข้าชื่อฮาร์วีย์"จั๋วซือหรานพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อนี้ขึ้นมา "ฮาร์วีย์หรือ? เข้าใจแล้ว"นางบอกกับเขาว่า "เจ้าก็ตามข้ามาแล้วกัน รอตอนที่ข้าอยากถาม ข้าจะถามเจ้าเอง"จั๋วซือหรานเดินมาถึงกระโจมค่าย ซือคงเซี่ยนเองก็เดินเข้ามาพอเห็นว่าด้านหลังนางมีคนแดนใต้ตามอยู่ ก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆแต่ว่าซือคงเซี่ยนเองก็ไม่ได้ตกใจมากนัก แค่ถามขึ้นว่า "ซือหาาน ได้ยินว่าเจ้าจะไปส่งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่เมืองหลวงด้วยตนเองหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานขานกลับเสียงแผ่ว "ถึงอย่างไรข้าก็จะไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ถือโอกาสทำให้ไปเลย""
บางครั้ง คำพูดร้ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดขณะที่กำลังโกรธจัดถึงจะมีพลังทำร้ายประหัตประหารกระทั่งในบางโอกาศ พูดออกมาตอนที่ยิ้มๆ ยังมีพลังทำร้ายมากยิ่งกว่าอย่างเช่นตอนนี้ จั๋วซือหรานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มตาหยีเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่พูดว่านางสะกดคำว่าตายไม่เป็นก่อนหน้านี้ เกิดอาการเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาเขาอ้าปากพะงาบๆ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำนี้ของจั๋วซือหรานอย่างไรจั๋วซือหรานขี้เกียจจะสนใจเขา เอ่ยต่อมาว่า "ถ้าหากมีคนยอมบอกข้าล่ะก็ ข้าก็จะไว้ชีวิตนั้นไว้ โอ้จริงด้วย กระทั่งไม่แตะต้องแมลงกู่บนตัวเลยนะ"และหลังจากที่พวกเขาได้ยินคำนี้ของจั๋วจิ่วแล้วจึงเห็นนางนับจำนวนพวกเขาขึ้นมาอย่างไม่ค่อยตั้งใจนัก "พวกเจ้ามีสิบสี่คน แต่ข้ามีแมลงแค่เจ็ดตัว ก่อนหน้านี้กินไปที่ประตูค่ายแล้วตัวนึง เหลืออีกหกตัว เมื่อครู่กินของพวกเจ้าไปแล้วหกคน พวกเจ้ายังเหลืออีกแปดคนสินะ ทว่ามื้อต่อไปขอแค่เจ็ดคนก็พอ"นางคำนวณขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า "เหลือไว้ได้คนนึงจริงๆ"เหล่าปรมาจารย์กู่แดนใต้ดูสิ้นหวังหน่อยๆ เพราะพวกเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหรานแล้วอะไรคือ...มื้อต่อไป?เจ้
ให้ใครมาเห็น ก็ล้วนไม่ใช่ภาพที่ชวนมองนักหน้าผากคนเหล่านี้ เส้นเลือดที่คอกับแขนขาไขกระดูก ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังมุดทะลวงอยู่อย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานรู้ ว่านั่นคือไหมกู่ของเจ้าพวกก้อนเนื้อ พวกมันเข้ากลืนกินแมลงกู่ทั้งหมดที่น่าจะซ่อนและบำรุงอยู่ตามเส้นลมปราณเส้นชีพจรของปรมาจารย์กู่คนเถื่อนเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาจจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แต่สำหรับคนเถื่อนเหล่านี้แล้ว พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์กู่นะ แมลงกู่ของพวกเขาล้วนเป็นรากฐานที่ทำให้ตนเองอยู่ได้อย่างมั่นคงไหนจะเรื่องที่แมลงกู่พวกนี้ต้องใช้เลือดเนื้อของตัวพวกเขาในการชุบเลี้ยง ยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเข้าไปอีกตอนนี้ถูกแมลงกู่ของจั๋วจิ่ว กินกันอย่างเอร็ดอร่อยมื้อใหญ่...พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไรแต่นอกจากความโกรธแล้ว ก็ยังมีความตกตะลึงอยู่ด้วยนางเป็นแค่หญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่ง แล้วยังอยู่ในดินแดนต้าชาง แล้วไปฝึกวิชากู่มาจากไหน? ฝึกแมลงกู่ที่อหังการขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร?เพราะ นางยัดเข้ามาในปากคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้กังวลเลยว่าแมลงกู่ของตนเองจะมาเจอกับแมลงที่ร้ายกาจกว่าของตนเองสังหารหรือไม่นางไม่กังวลเลยสั
เอาจริงๆ เจ้าพวกนี้โอดครวญอยู่นานแล้วก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานทนการโอดครวญของเจ้าพวกนี้ แล้วไปรักษาทหารบาดเจ็บคนนั้นนี่ทำให้จั๋วซือหรานเกิด...ความรู้สึกของหมอในสนามรบแล้วจริงๆหมอในสนามรบคนอื่นด้านนอกมีเสียงการล่าการสังหารแต่ในสมองนางมีเสียงพวกลูกๆ ทะเลาะกันจะเป็นจะตายจะว่าอย่างไรดี ถ้าว่าจากเรื่องมลภาวะทางเสียงก็ถือว่าพอๆ กัน สถานการณ์ที่นางเจอไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย ยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหรานยังรู้สึกว่า เนื่องจากเจ้าพวกแมลงสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาในจิตสำนึกนางได้โดยตรงดังนั้น...บางทีสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญจะดูรุนแรงกว่าการรบกวนที่พวกแพทย์สนามรบได้รับเสียอีกแมลงพวกนี้ไม่ได้จงใจเอะอะใส่นาง แต่ก่อนหน้านี้ที่นางยัดขนมชาเขียวเข้าไปในปากปรมาจารย์กู่ที่เตรียมจะระเบิดตัวเองคนนั้นหลังจากที่เก็บขนมชาเขียวกลับมา ขนมชาเขียวก็ดูอิ่มเอมมาก อดไปพูดให้เจ้าก้อนเนื้อตัวอื่นๆ ในมิติน้ำพุวิเศษฟังอย่างอดไม่อยู่ส่วนเจ้าพวกก้อนเนื้อจะว่าอย่างไรดี เพิ่งจะมีสติปัญญาขึ้นมาได้ไม่นานนัก จะมากน้อยก็ยังมีความคิดนิสัยแบบเด็กๆ อยู่ขนมชาเขียวพอเอาของอร่อยที่ผู้ปกครองซื้อให้กลับไปคุยโม้กับเพื่อนๆ คนอื่นในหั
แพทย์ทหารเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "ข้าข้ามีทักษะเช่นนี้...ทหารราบเหล่านั้นก็คงไม่ตายกันแล้ว..."เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาประจักษ์กับตาแล้วถึงการเปลี่ยนสิ่งเน่าเสียกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ของแม่นางจั๋วจิ่วแล้วพอเห็นว่านางทำตัวราวกับเป็นช่างยอดฝีมือ จัดการเย็บช่องท้องของคนผู้นี้ราวกับเย็บกระเป๋าขาดยิ่งไปกว่านั้นยังจัดการรักษาส่วนที่บาดเจ็บของอวัยวะภายในไปแล้วด้วยนี่ทำให้เขาอดคิดไปถึงทหารที่ตายอย่างน่าเวทนาเหล่านั้น ต่อมาถูกก็ถูกพวกคนเถื่อนเอาหัวขึ้นไปแขวนบนคาน...เขาอดคิดไม่ได้เลย ถ้าหากตนเองมีฝีมือเสียหน่อย ไม่แน่คนเหล่นั้นอาจจะช่วยไว้ได้กระมังคำพูดนี้มีอารมณ์อยู่ด้วย เพราะตอนนี้อารมณ์ของเขาถูกส่งผลกระทบอยู่จริงๆแต่เสียงของจั๋วซือหรานกลับสงบ นางก้มหน้าพูดว่า "ไม่หรอก ถ้าหากเจ็บหนักเกินไป อย่างเช่นหัวขาดออกจากกัน ต่อให้เทพเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน ข้าเป็นแค่แพทย์ ไม่ใช่พระเจ้า"แม้คำพูดนี้จะดูใจเย็น ราวกับกำลังอธิบายข้อเท็จจริงอยู่ แต่คำพูดนี้ก็ยังทำให้แพทย์ทหารที่ยังรู้สึกโทษตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ อารมณ์ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้วจั๋วซือหรานเย็บเข็มส
สถานการณืเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกไม่อยากเชื่อจริงๆ!เดิมทีในใจก็เห็นความหวังแล้ว ตอนนี้ยิ่งร้อนแรงขึ้นมาใหญ่ในดวงตาเขาเมหือนมีพลังชีวิตเปล่งออกมาจั๋วซือหรานพอใจกับสถานการณ์เช่นนี้ พลังชีวิตเช่นนี้ อันที่จริงก็มีประโยชน์กับอาการบาดเจ็บของเขาคนอื่นๆ อันที่จริงก็รู้สึกสนใจกับวิธีการรักษษของจั๋วซือหรานมากแต่ว่า...วิชาและขั้นตอนการรักษษ ในบางระดับ ก็ถือว่าเป็นความลับของแพทย์ด้วยดังนั้น ต่อให้จะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน พวกเขาก็ทำได้แค่รออยู่ด้านนอกฉากกั้นลมเพียงแต่ว่า พวกเขาก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของคนเจ็บอยู่เลยตอนนี้กลับค่อยๆ สงบลงมาแล้วนี่ทำเอาทุกคนมีการคาดเดาขึ้น...ว่าคนคนนั้น...คงจะไม่ได้ตายไปแล้วกระมัง?มีแพทย์ทหารที่ทนไม่ไหว ต่อให้รู้ว่าหน้าไม่อาย แต่เขาก็ยังเปิดปากขึ้นอย่างหน้าด้านๆบอกว่า "แม่นางจิ่ว ข้าอยากรู้จริงๆ ให้ข้าเข้าไปดูด้วยได้ไหม?"ตอนที่พูดคำนี้จบ แพทย์ทหารคนอื่นที่อยู่รอบๆ สายตาก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อจ้องมองเขาเจ้าไหวไหมน่ะ? หน้าตาน่ะมีไหม?แต่คนผู้นี้ก็ยังกัดฟัน ไร้เกียรติก็ช่างมัน!ยิ่งไปกว่นั้นด้านในก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ทุกคนจึงรู้สึกว
ถ้าในชาติที่แล้วคือไม่น้อยเลยต่อให้ไม่ใช่ชาติที่แล้ว ในโลกที่การรักษาล้าหลังอย่างที่นี่ จั๋วซือหรานเองก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วแพทย์ทหารพอได้ยินคำนี้ก็งงงันไป น่าจะเพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบมั่นใจนี้จากปากจั๋วซือหราน"อะ อะ...อะไรนะ?" แพทย์ทหารมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาจ้องจั๋วซือหรานนิ่งจากนั้นนึงดึงผ้าที่คลุมบนตัวคนเจ็บผืนนั้นออก เอ่ยขึ้นว่า "ท่านว่าอาการอย่างนี้น่ะนะ?!"การกระทำที่ตามมาหลังคำพูด คือการเปิดเผยอาการบาดเจ็บออกมายังสายตาคนทั้งหมดบาดแผลที่น่ากลัว ช่องท้องเปิดโหว่ ประจักษ์เข้ามาในสายตาคนทั้งหมดคนทั้งหมดในนี้ล้วนเป็นขุนพลสายบู๊ทุกคนไม่กลัวกับภาพสยดสยองที่เลือดเนื้อเหวอะหวะแต่ไม่กลัวมันก็ส่วนไม่กลัวแต่เพระาเคยเห็นเลือดกับความตายมาแล้ว ตอนที่เจอกับอาการบาดเจ็บเช่นนี้ก็แทบจะคิดถึงปลายทางได้เลย ถ้าหากจากความคิดพวกเขา แค่รู้สึกว่า...มอบความเมตตาให้เขาไปสบายจะดีกว่าไหม?ใครจะคิดว่าคำตอบที่จั๋วซือหรานให้มากลับเป็น..."อืม บาดแผลแบบนี้เลย คุ้มค่าที่จะลองดู" จั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ นางเดินขึ้นไปก้าวหนึ่งส่วนน้องชายคนเจ็บ เดิมทีถูกปฏิกิริยาของแพทย์ทหารเมื่อครู่ทำ
ใกล้จะตายแล้วฉีฮ่าวมากับจั๋วซือหราน ตอนที่ตามคนผู้นี้มาด้วยกัน แค่เห็นน้องชายเขาผาดเดียวก็มองออกแล้ว ว่าคนผู้นี้กำลังจะตายสีหน้าเขาไม่มีสีเลือดแล้ว เขียวคล้ำ หายใจออกแรงหายใจเข้าเบา...บางทีไม่ควรพูดว่าหายใจออกแรงหายใจเข้าเบาด้วยซ้ำ นี่เหมือนไม่ได้ยินเสียงหายใจเข้าของเขาด้วยซ้ำตอนที่พวกเขาเข้าไป ทหารราบที่มาโขกศีรษะกับจั๋วซือหรานก่อนหน้าคนนั้น ก็รีบตะโกนขึ้นว่า "ท่านพี่! ท่านพี่! เจ้ารีบตื่นเร็ว! ข้าพาคนมาแล้ว ข้าพาคนมาช่วยเจ้าแล้ว! ข้าพาแม่นางจิ่วมาช่วยเจ้าแล้ว!"ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงที่คุ้นเคยหรือเปล่า หรือว่าได้ยินคำว่าแม่นางจิ่ว จึงทำให้เขาเชื่อมั่นขึ้นมาเขาที่เดิมทีตาปรืออยู่แล้ว ตอนนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยดวงตาที่พร่ามัว ฝืนตัวเพ่งสมาธิขึ้นมาอีกครั้งตกมาอยู่บนตัวจั๋วซือหรานหลังจากนั้นก็เหมือนว่าจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อยฉีฮ่าวขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ มองด้านบนผ้าที่คลุมร่างเขาไว้ เลือดสดดวงใหญ่นั่น...ฉีฮ่าวเอ่ยขึ้นกับทหารที่โขกศีรษะคนนั้นก่อน "พี่ชายเจ้าสภาพแบบนี้..."ทหารคนนี้ขยี้ตาอย่างแรง เอ่ยขึ้นว่า "พี่ชายข้ายังพอช่วยไหวไหม..."ฉีฮ่าวเอ่ยตอบ "เกรงว่าจะ...ย
แต่ว่าเนื้อหาในคำพูด กลับมีเหตุผล และชัดเจนมากเหล่าขุนพลไม่มีใครฟังไม่เข้าใจเข้าใจความคิดที่ฉีฮ่าวต้องการแสดงออกมาในทันที ถ้าหากพวกเขาเหล่านี้เป็นทหาร หากสูญเสียจิตใจปวงประชาไป เช่นนั้นก็จบสิ้นกันแล้ว...เช่นนั้นพวกเขาจะต่างอะไรกับโจรขโมย?จั๋วซือหรานยืนอยู่ข้างๆ ฟังฉีฮ่าวพูดประโยคเหล่านี้นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่า ฉีฮ่าวแม้จะเป็นชายชาติทหารร่างใหญ่กักขฬะ แต่ในจุดนี้กลับเข้าใจเป็นอย่างดีนางไม่ได้คิดจะมอบให้เปล่าๆ นางไม่ใช่พวกทำการกุศลอะไรแคว้นชางอะไร กองทหารอะไร นั่นโน่นนี่ถ้าเจ้าของร่างเดิมก็อาจจะมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งอยู่กระมัง?แต่จั๋วซือหรานอย่างนางนั้นไม่มีนางไม่ใช่ว่าคิดจะไม่มอบให้ เพียงแต่ว่านางคิดจะทำขึ้นเอง ถ้าเป็นไปได้ก็จะหขายให้กับกองทหารมีทักษะเช่นนี้ แน่นอนว่าอยู่ในมือตนเองจะมั่นคงกว่านางมาจากต่างโลก ต่างโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าโลกใบนี้พูดได้ว่ายืนอยู่บนบ่าของยักษ์ใหญ่แล้วยักษ์ใหญ่ก็ไม่ได้มีไว้ให้คนอื่นขโมยไป...คนคนนั้นเดินเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าจั๋วซือหราน"ข้าขอโทษ แม่นางจิ่ว ข้ายอมรับโทษแล้ว!" ขุนพลเอ่ยขึ้น เขาหยิบหน้าไม้กลสอง