ซือหลี่ฝานเทียนได้รับคำชมจากนาง เดิมทีนางพูดติดอ่างอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำชม เขายิ่งพูดติดอ่างหนักกว่าเดิม จนกระทั่ง เขาไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ "เจ้าเรียกข้า... เรียกข้า ชิ่ง ชิ่ง ...ชิ่งก็ได้ "จั๋วซือหรานเลิกคิ้วแล้วพูดว่า "ชิ่งชิ่ง ได้จเจ้าค่ะ ชิ่งชิ่ง"ซือหลี่ฝานเทียนรีบพูดอาษรสุดท้าย "...หมิง ชิ่ง...หมิง"จั๋วซือหรานมองเขา นางผลักถ้วยชาไว้ตรงหน้าเขา และนำขนมมาด้วย “ชิ่งชิ่ง กินเยอะ ๆ มันอร่อย”"ขอบ ขอบคุณ..."ชิ่งหมิงยื่นมือไปดึงมุมเสื้อผ้าของเขา ราวกับว่าเขากำลังพิจารณาว่าไม่ให้นางเรียกเขาเช่นนี้ หรือต้องขอบคุณนางก่อนแล้วเริ่มกินขนม เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่า เขากำลังพิจารณาว่าจะรักษาท่าทีที่น่าเกรงขามหรือไม่แต่เขาเหลือบมองขนมบนโต๊ะ ในที่สุดเขาเม้มริมฝีปากแล้วยื่นมือออกไปที่ด้านหน้าของจั๋วซือหรานมียาเม็ดกลมอยู่ในมือของเขา“ให้ ให้เจ้า” ซือหลี่ฝานเทียนกล่าว เขาวางยาเม็ดนั้นลงในถ้วยชาเปล่าตรงหน้าจั๋วซือหรานจากนั้นเขาจึงหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปากของเขาจั๋วซือหรานมองยาเม็ดกู้หยวนที่อยู่ในถ้วย นางตกใจเล็กน้อยในความเป็นจริง ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางเจรจากับตระกูลเ
เหยียนชางถูก'ส่วนผสมเพิ่มเติม' ในถ้วยชานั้นทรมานตลอด ซึ่งซือหลี่ตันติ่งเป็นผู้ที่เตรียมให้เขาเขาเจ็บปวดมาตลอดเมื่อกาลเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าเขาดีขึ้นแล้วแต่เริ่มตั้งแต่ยายาออกฤทธิ์ ทุกวินาทีรู้สึกเหมือนหนึ่งปีเขาคิดหลายครั้งแล้วว่า เขาอยากตาย แต่เขาไม่กล้าและไม่ยอมแพ้อย่างนี้ต่อมา องค์ชายห้าซือคงยวี่ได้ยินข่าว จึงมาเยี่ยมเขาแทนฮองเฮา และมอบยาแก้ปวดอันทรงพลังชนิดที่มีคุณค่ามากกว่าทองคำแก่เขาความเจ็บปวดที่เหยียนชางทนมาจึงบรรเทาลงลงได้บ้างแม้ว่าเขายังเจ็บอยู่ แต่อย่างน้อยเขาไม่ได้เจ็บมากจนเขาหมดสติแต่เขายังคงเดินไม่ไหว เพราะเขาไม่มีเรี่ยวแรง เหยียนชางถูกคนขนมาที่หน้าประตูของศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนภายใต้สายตาของทุกคนใบหน้าของเหยียนชางซีดเขียบราวกับกระดาษ สีหน้าของเขาดูแย่มาก“โอ้ ดูเหมือนเขาถูกทรมานมากเลยนะ”“วันนั้นเจ้าได้ไม่เห็นเขาร้องไห้ที่หน่วยสืบสวนพิเศษ”“มันไม่ได้แค่ร้องไห้หนักนะ พูดได้เลยว่า ฉีดราดกางเกง”“เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตอนนี้เขาถือว่าดีขึ้นแล้ว”“จริง ๆ เลย... รุกรานใครก็ได้ อย่ารุกรานหน่วยสืบสวนพิเศษเลย”แม้ว่าเหยียนชางกำลังถูกความเจ็บปวดทรมาน แ
“เพราะเมื่อก่อนข้าเคยหัวเราะเยาะเจ้าบ่อยมาก” เหยียนชาง เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเขาจั๋วซือหรานม้วนริมฝีปากแล้วยิ้มนางสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากโค้งและรอยยิ้มของนางก็สวยงามมากจนไม่มีใครสู้นางได้ ซึ่งทำให้คนรอบข้างแทบหายใจไม่ออกจั๋วซือหรานกล่าวว่า "ใช่ เจ้าหัวเราะเยาะข้าบ่อยครั้ง แต่นั่นไม่สำคัญ ข้าไม่จำเป็นต้องหัวเราะเยาะเจ้าจริง ๆ หากข้าทำเช่นนั้น ข้ากับเจ้าแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่ข้าต้องการคือชัยชนะ "“ตราบใดที่ข้าชนะ การดูหมิ่นและการเยาะเย้ยที่เจ้ามอบให้ข้าในอดีตก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเอ่ยถึง คนอื่น ๆ จะมาช่วยข้าด่าคืนเองเป็นเท่า ๆ ” จั๋วซือหรานกล่าวและวางแผ่นป้ายไว้ข้างหน้า ของเหยียนชาง นางเอียงศีรษะและพูด " หัวหน้าเหยียน มาเขียนเถิด"เหยียนชางไม่ได้แก้ตัวหรือหาข้ออ้างถ่วงเวลาอีก เขาและ ตระกูลเหยียนทำทุกอย่างที่ทำได้ แต่ก็ยังห้ามความพ่ายแพ้ไม่ได้ ต้องยอมรับว่ามันผิดตั้งแต่ต้นเหยียนชางหยิบปากกาขึ้นมาจั๋วซือหรานพูดจากด้านข้างว่า "ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แค่เขียนว่า 'ทักษะทางการแพทย์ของตระกูลเหยียนไม่ดีเท่าจั๋วซือหราน ' ด้วยตั
ครั้งสุดท้ายที่เหยียนชางออกมาจากหน่วยสืบสวนพิเศษ เขาคุกเข่าต่อหน้าจั๋วซือหรานภายในสามก้าวหลายคนเห็นฉากนี้ใบหน้าของเหยียนชางแข็งทื่อ แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่สามารถปฏิเสธอีกต่อไป“ก็ได้ ข้าขอโทษเจ้า” เหยียนชางบีบเสียงออกจากลำคอจั๋วซือหรานพยักหน้า นางไม่มีเจตนาที่จะหัวเราะเยาะเขาหรือคนของตระกูลเหยียน นางแค่ต้องการสิ่งที่นางพูดไว้ในก่อนหน้านี้นางแค่ต้องการชัยชนะ แล้วหลังจากนั้น สำหรับการหัวเราะเยาะเหล่านั้น จะมีคนพูดแทนนางโดยที่นางไม่ต้องทำอะไรจั๋วซือหรานหยิบป้ายขึ้นแล้วหันหลังกลับ นางกำลังอยากจากไปหลังจากนางเดินไปไม่กี่ก้าว นางก็มองไปทางผู้อาวุโสสี่เหยียน และพูดว่า " ผู้อาวุโสสี่เหยียน ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญาและปิดศูนย์การแพทย์โดยเร็วที่สุด"“สำหรับร้านขายยาของตระกูลเหยียนที่ตกลงกันว่าจะจัดหาวัสดุให้ข้า วิธีที่ดีที่สุดคือส่งคนมาติดต่อข้า โอ้ ข้าคิดว่า เหยียนฉีเป็นคนที่เหมาะสมมาก”จั๋วซือหรานกล่าวไป ม่านตาของนางก็แคบลงเล็กน้อย "เพราะข้าไม่มีความประทับใจที่ดีต่อตระกูลเหยียน หากเจ้าส่งคนที่โง่เขลาและทำให้ข้าขุ่นเคือง อย่ากล่าวหาว่าข้าไม่มีมารยาทละกัน"นางก
จั๋วหวายถามท่านพี่ "ทำไมท่านพี่ไม่ทานขอรับ"“วันหลังจะมีอีกเยอะ เมื่อข้าจัดการเรื่องของตระกูลเหยียนเสร็จแล้ว ยาเม็ดเหล่านี้ มีอีกเยอะจ้ะ” จั๋วซือหรานพูดเบา ๆ น้ำเสียงของนางสงบมากจากนั้นนางก็ลูบหัวของจั๋วหวาย แล้วพูดว่า "เพราะฉะนั้นเจ้ากินเถิด ไม่เป็นไร"ในความเป็นจริง นางไม่มีญาติในชีวิตที่แล้ว นางเป็นผู้ที่ลำพังผู้เดียว ดังนั้นนางจึงเป็นคนที่ไม่แยแสความรักในครอบครัวมากนัก แต่ในชีวิตนี้ นางมีท่านแม่และน้องชายโดยไม่มีเหตุผลแม้ว่านางจะรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใหม่เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จั๋วซือหรานยังคงจำได้ว่าในโชคชะตาดั้งเดิมของเจ้าของร่างเดิม จั๋วหวายไม่ยอมละทิ้งพี่สาวของเขาจนกว่าจะถึงจุดจบ เขามักรู้สึกว่าพี่สาวของเขาถูกหลอกโดยคนร้าย แม้ว่าเขาจะผิดหวังกับพี่สาวของเขาก็ตาม เขายังคงอยากเชื่อนางตื่นขึ้นมาได้สุดท้ายเขาก็สิ้นสุดชีวิตในระหว่างทางลี้ภัย“ท่านพี่ขอรับ ท่านพี่กำลังคิดอะไรอยู่ขอรับ” จั๋วหวายเห็นจู่ ๆ ท่านพี่ของเขาไม่พูดอะไรและดูเหมือนไม่มีสมาธิ เขาจึงยื่นมือออกไปแล้วโบกมือต่อหน้าต่อตานางจั๋วซือหรานมีสมาธิกลับ จากนั้นนางยิ้มกับเขา "ไม่มีอะไร เอาล่ะ
“เจ้ามาทันพอดี มานี่เร็วเข้า”คำพูดของจั๋วซือหรานฟังดูเหมือนนางรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว น้ำเสียงของนางปกติเหมือนคุยกับคนรู้จักกันเมื่อชายคนนั้นได้ยินคำพูดของนาง เสียงฝีเท้าของเขาก็หยุดลงเขาหยุดฝีเท้า จั๋วซือหรานก็หันกลับมามองเขา นางโบกมือใส่เขา และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า " ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องจะปรึกษาด้วยน่ะ รีบมาเร็ว ๆ นี้"เฟิงเหยียนยืนอยู่ที่นั่นและมองนาง "เจ้าทำให้ตระกูลเหยียนวุ่นวายกันหมด แต่เจ้ากลับหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว"จั๋วซือหรานยิ้มเมื่อนางได้ยินคำพูดนี้ "ข้าเป็นผู้ที่ทำให้พวกเขาวุ่นวายหรือ หากพวกเขาเป็นน้ำหนึ่วอันเดียวกัน ข้าก็ไม่สามารถกวนพวกเขาได้ เดิมที่พวกเขาไม่สามัคคีอยู่แล้ว ดังนั้นแน่นอนว่า ข้าก่อกวนเล็กน้อย พวกเขาก็ทะเราะกันได้"เฟิงเหยียนไม่ปฏิเสธคำพูดของนาง เขาแค่พูดว่า "ทำไมเจ้าไม่ให้เหยียนฉีรักษาเจ้าล่ะ อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ ยาเม็ดนั้นเอาให้เด็กคนนั้นกินด้วย"จั๋วซือหรานเลิกคิ้วและยิ้ม " ท่านอ๋องค่อนข้างสนใจข้านะ เป็นห่วงข้าขนาดนั้นเลยหรือ"เฟิงเหยียนไม่ตอบคำถามของนาง เขาแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจั๋วซือหรานรู้ว่าชายคนนี้เป็นเหมือนก้อนน้ำแข็ง
เหยียนฉี ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เขาฟังจริง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะเหยียนฉีจงใจไม่บอกเขา แต่เป็นเพราะเมื่อเหยียนฉีกลับมาที่ศูนย์การแพทย์ เฟิงเหยียนไปจากศุนย์การแพทย์แล้วเมื่อเฟิงเหยียนได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาไม่พูดคำใด ๆหลังจากเขาเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามเบา ๆ "เมื่อครู่นี้ เจ้าพูดว่าข้ามาทันเวลา มีเรื่องอันใดหรือ"ไม่ใช่จั๋วซือหรานไม่เข้าใจทัศนคติของชายคนนั้นในการเปลี่ยนเรื่อง แต่นางเดาไม่ถูกว่า เขาจะปฏิเสธ เขินอาย หรือมีอารมณ์อื่น...กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์อย่างไรก็ตาม จั๋วซือหราน ก็รู้สึกว่านางสามารถรับมือได้ทุกเรื่องเมื่อได้ยินเฟิงเหยียนพูดเช่นนี้อีก จั๋วซือหรานตระหนักได้ว่า "อ้าว ใช่เลย โปรดท่านอ๋องช่วยข้าเผาคำบนแผ่นป้ายนี้ให้หน่อยได้ไหม"เฟิงเหยีย มองไปที่แผ่นป้าย ซึ่งแผ่นป้ายนั้นแสดงถึงความอับอายของตระกูลเหยียนและเหยียนชางเขาเหยียดนิ้วออกและวางมันลงบนแผ่นป้าย จากนั้นเขาหันสายตาแล้วถามจั๋วซือหราน “จะแกะสลักรูปนูนสูงหรือแกะสลักรูปนูนต่ำ”“แกะสลักรูปนูนต่ำละกัน” จั๋วซือหรานกล่าวทันทีที่นางพูดจบ ปลายนิ้วของเฟิงเหยียนก็วางลงบนแผ่นป้าย ปลายนิ้วของเขาเดินไปรอบขอบของข้
“ฉันอยากทำของกินเอง ไม่เกี่ยวข้าจะมีคนรับใช้หรือเปล่าหรอกนะ” จั๋วซือหรานพูดและเงยหน้าขึ้นมามองเฟิงเหยียน “คนรับใช้อาจจะทำกับข้าวสู้ข้าไม่ได้ก็ได้”“พูดเช่นนั้นก็ไร้ยางอาย” เฟิงเหยียนพูด และเมื่อเขาเห็นนางไม่รู้สึกเสียใจเพราะนางไม่มีคนรับใช้ เขาก็โล่งใจจั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นมามองเขา นางยิ้ม " ท่านอ๋องไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นอย่าเพิ่งกลับก่อน อยู่ที่นี่ และรอชิมฝีมือของข้า"เมื่อฝูซูืถอชาเข้ามา เขาเห็นคุณหนูของเขาสวมชุดสีขาว มือข้างหนึ่งจับเข่าของนาง นางกำลังนั่งยอง ๆ เงยหน้าขึ้นและมองเฟิงซื่อจื่อเฟิงซื่อจื่อมีรูปร่างสูงและตรง เขาสวมชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่ที่นั่นและมองลงไปที่คุณหนูภาพนี้ ฝูซูรู้สึกว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือมามากนัก เขาเลยไม่รู้จะบรรยายภาพนี้อย่างไร แต่เขาแค่รู้สึกว่าความแตกต่างระหว่างสีขาวและสีดำนั้น ซึ่งสวยอย่างเป็นภาพวาดทันใดนั้นเขาไม่อยากเดินเข้าไป เพราะกลัวจะรบกวนบรยากาศที่เหมือนภาพวาดจั๋วซือหรานหันไปมองเขาแล้วถามว่า "นี่คือแกะอะไร และเป็ดตัวนี้... "จั๋วซือหรานมองไปที่เนื้อแกะตรงหน้านาง กลิ่นนั้นแตกต่างจากเนื้อแกะที่นางรู้จัก และเป็ดตัวนี้ด้วย เพราะเป็ดนี้ยังมีชี
ไม่มีคนสังเกตเห็น ว่าที่ข้างเวที เจ้าสำนักหอจันทร์เงินที่หน้าตาอ่อนโยนหล่อเหลา เวลานี้มีสีหน้าปั้นยากมากตราประทับจันทร์เสี้ยวที่หน้าผากนั่น ขมวดเป็นก้อนจากการขมวดคิ้วแน่นของเขาแล้ว!คนอื่นอาจไม่รู้ แต่อินเจ๋ออันชัดเจนอย่างที่สุด!ผีเสื้อปีกระยับตัวเดียวของนางเผชิญหน้ากับราชาแมงมุมหน้าผีแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกัน? ผีเสื้อปีกระยับตัวหนึ่งถ้าเผชิญหน้ากับแมงมุมหน้าผีมันไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว!แต่ผีเสื้อปีกระยับนั่นไม่ใช่ของจั๋วซือหราน!อินเจ๋ออันเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนแรกเขาก็รู้ถึงอันดับการออกสัตว์ประหลาดของซางถิงแล้ว ยกที่สามคือ...ผีเสื้อปีกระยับผีเสื้อปีกระยับที่ไม่มีประโยชน์! เป็นของซางถิง!ส่วนราชาแมงมุมหน้าผีที่พลังกับขนาดร่างกายสะกดไปทั้งเวทีนั่น เป็นของจั๋วซือหรานต่างหาก!อินเจ๋ออันดูถูกนางไปจริงๆ ตอนนี้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เสียใจอย่างมาก เสียใจอย่างมากจริงๆ แค่คิดขึ้นมาใจก็รวดร้าวแล้วตอนนี้เอง ในห้องหรูบนหอในห้องหรูของตระกูลซาง เสียงแหลมหนึ่งดังขึ้น “นี่เลย นี่เลย คุณหนูสี่ ราชาแมงมุมหน้าผีตัวนี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ข้ากับคนเหล่านั้นจะมอบให้เป็นของขวัญวันเก
พอสิ่งมหึมานี้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งลานก็เงียบกริบไปทันที!ทุกคนหวาดกลัวกันจนกระทั่งกลั้นหายใจ!หนึ่งคือเพราะมนุษย์นั้นจะเกิดความกลัวได้ง่ายต่อสิ่งของที่ใหญ่โตมหึมานี่น่าจะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในยีนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายยิ่งไปกว่านั้น ตัวมนุษย์เองก็หวาดกลัวกับแมลงประเภทแมงมุมอยู่แล้วโดยเฉพาะแมงมุมที่ดูฉูดฉาดและร่างหายมหึมาขนาดนี้ตอนนี้เอง เจ้าตัวโตที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันบนลานประลองก็คุมสถานการณ์ไปทั้งหมดแล้ว!ใหญ่แล้วหรือ? นี่มันยังย่อไว้หน่อยแล้วด้วยนะ ไม่อย่างนั้นบนเวทีนี้ มันเดินไม่กี่ก้าวก็คงจะสุดทางแล้วแมงมุมหรือ? ขาขนปุกปุยทั้งแปดกับแขนเคียวนั่น แล้วยังมีปากที่แหลมคมอีก มองอย่างไรก็เป็นแมงมุม ไม่ใช่ปูอย่างแน่นอนฉูดฉาดหรือ? ลายดอกไม้บนหลังกับท้องของมัน เหมือนกับใบหน้าผีที่กำลังร้องไห้กำลังหัวเราะอยู่อย่างไรอย่างนั้นนี่คือที่มาของชื่อมัน“แมงมุมหน้าผี!”“นี่มันแมงมุมหน้าผี! น่ากลัวเหลือเกิน!”“ข้ากลัวแมงมุม ขนข้าลุกไปหมดแล้ว!”“ข้าก็ด้วย!”“แมงมุมหน้าผีที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นระดับราชาแล้วกระมัง? ครั้งนี้จั๋วซือหรานแพ้แน่แล้ว!”เสียงดังขึ้นไม่ขาดสาย
ถึงอย่างไร ความจริงก็จะสอนให้เขาเป็นคนเอง ถึงอย่างไร คนเหล่านั้นที่ปากแข็งกับนางก่อนหน้า เจ้าพวกที่ควรตบฉาดก็ตบไปแล้วไม่มีเขาก็ไม่ได้น้อยลง หรือมีเขามาสักคนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไรตอนที่จั๋วซือหรานกลับมาถึงห้องพักผ่อน ก็เห็นเจี่ยงเทียนซิงรออยู่ที่นั่นแล้ว“ทำไมยังมาด้วยตัวเองอีกล่ะ?” จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจเจี่ยงเทียนซิงยิ้มๆ “ในเมื่อชนะแล้วนี่ ก็ต้องมาฉลองชัยชนะของเจ้าสักหน่อยไหม”จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ “เพิ่งจะยกเดียวเอง ยกต่อไปต่างหากที่สำคัญ”เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ ตอบมาว่า “ข้ารู้สึกว่าฉลองล่วงหน้าได้ เจ้าเป็นคนที่มีความคิดดีดีอยู่เสมอ ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจพอต่อเรื่องนี้ เจ้าไม่มีทางบุ่มบามเห็นด้วยหรอก”จั๋วซือหรานยิ้มๆ ไม่พูดจา“แต่ก็คิดไม่ถึงว่ายกนี้เจ้าจะสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เจี่ยงเทียนซิงเดิมทีคิดว่าความหมายของจั๋วซือหรานคือรอยกต่อไปแล้วค่อยเริ่มต่อสู้ ยกนี้แค่สู้ให้ชนะอย่างหวุดหวิด แต่การแสดงออกเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าข่มกดดันไว้จนหมด แต่ก็ไม่ใช่ชนะอย่างหวุดหวิดแน่นอน ตอนท้ายยังดูค่อนข้างอหังการอีกด้วย จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “หลักๆ คือคิ
“ให้ตายเถอะ...”ทุกคนเห็นแค่ จั๋วซือหรานที่เดิมทีเต้นรำอยู่ท่ามกลางพายุห่าฝนแส้ที่หนาแน่นเวลานี้นั่งลงมาแล้ว...อยู่บนตัวซางถิง?พูดให้ถูกต้องคือ นางกดเขาอยู่บนเวทีหินต้องห้ามไปแล้วหัวเข่าข้างหนึ่งของนางยันไว้ที่หน้าอกเขา แต่การเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่จุดสำคัญที่ควบคุมเขาไว้ หรือเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่ทำให้คนอื่นต้องทึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญ คือสองดาบที่พาดไขว้อยู่บนคอซางถิง ดาบสองเล่มสลับไขว้อยู่บนคอเขา คมดาบหันเข้าด้านใน ขังคอของเขาเอาไว้ที่ร่องตัดสลับของคมดาบราวกับว่าขอแค่เขาขยับตัว นางแค่ออกแรงเบาๆ ก็เด็ดหัวเขาออกมาได้แล้ว!เพียงแค่มอง ก็อยู่ในระดับที่ทำให้คนที่เห็นอดกลั้นหายใจขึ้นไม่ได้ขณะที่บนเวทีมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น ในห้องหรู เฟิงหร่านก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา“เขา...คนนั้นตายหรือยัง?” เฟิงหร่านถามขึ้น เสียงดูตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะจากมุมมองของนาง มองเห็นแค่แผ่นหลังของจั๋วซือหราน คุกเข่ากดหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้สองมือกุมดาบไขว้กดลงไปมองแล้วเป็นการเคลื่อนไหวที่จะเอาชีวิต เป็นการเคลื่อนไหวแบบประหัตประหารแต่เพราะถูกแผ่นหลังของจั๋วซือหรานบังไว้ ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่รู้ว่า
ถามขึ้นว่า “ตาข้าแล้วหรือยัง?”สายตาของซางถิงจ้องนางเขม็ง เขากุมมือในแส้แน่น สะบัดข้อมือแส้ยาวในมือดีดตึง ปลายแหลมสะบัดไปทางจั๋วซือหราน“วูม...!” เสียงผ่าอากาศดังขึ้นจากนั้นแส้ก็ส่งเสียงเผียะขึ้นกลางอากาศ ราวกับตัดอากาศจนขาดเป็นท่อนอย่างไรอย่างนั้นและร่างของจั๋วซือหรานก็ไหววูบ ดูแล้วไม่มีอาการซมซานหรือโซซัดโซเซตอนที่หลบหลีกก่อนหน้านี้เลยความเร็วการเคลื่อนไหวของนางสูงมาก แต่ในสายตาของทุกคน กลับดูเชื่องช้าความรู้สึกแตกต่างระหว่างความเร็วและช้าที่สลับไปมานี้ ทำให้คนรู้สึกเริ่มปวดตาขึ้นมาทุกคนเห็นเห็นว่านางอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ นางเพียงแค่ก้าวอย่างสงบไม่กี่ก้าวราวกับเดินเล่นในสวนหลังบ้านเท่านั้นกระทั่งความตึงเครียดสักนิดก็ไม่มีแต่การโจมตีของแส้ที่น่าตกตะลึงนั่น ก็ถูกนางเบี่ยงหลบไปได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกกระทั่งชายเสื้อของนางด้วยซ้ำ!ส่วนการโจมตีจากแส้ของซางถิงก็ยังไม่หยุด กระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน เหมือนไม่ต้องการให้มีเวลาหยุดพักทั้งที่ซัดแส้ออกไปแท้ๆ มันควรจะมีช่วงจังหวะที่ค้างกลางอากาศกับจังหวะดึงแส้กลับมารวมพลังตวัดออกไปอีกจึงจะถูกแต่นั่นแทบจะไม่มีเลยการโจมตีแส้ของซ
ฝูซูกับเฮยหลิงอยู่ระหว่างทางขึ้นไปห้องหรูบนหอ ก็ได้ยินเสียงโหร้องกึกก้องขึ้นมาจากอัฒจันทร์คนดูตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้องหรู ก็เห็นเฟิงหร่านคุณหนูสิบตระกูลเฟิงเข้าสภาพในตอนนี้ ไม่สนใจว่าเป็นหญิงสาวชั้นสูง หรือว่าจะเป็นคุณหนู หรือกระทั่งเป็นสตรีอ่อนหวานอีกแล้วนางยืนอยู่บนเก้าอี้ สายตาจ้องมองเวทีประลองเป็นประกายสองมือกำหมัดแน่น ดูจดจ่อเอามากๆฝูซูรีบถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง? สู้เสร็จแล้วหรือยัง? คุณหนูชนะไหม?”ตาของเฟิงหร่านยังไม่ย้ายไปไหน ยังคงจับจ้องที่เบื้องล่างไม่วางตา แต่ตอบฝูซูกลับมาเสียงต่ำ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทึ่ง “ยังไม่จบ แต่คุณหนูจั๋ว...นางร้ายกาจมาก!”ฝูซูรีบเดินไปมองสถานการณ์บนเวทีประลองสภาพของเจี่ยงเทียนซิงดูหนักแน่นกว่าเฟิงหร่านพอควร จึงเล่าสถานการณ์ที่พวกเขาพลาดไปตอนไปลงเดิมพันออกมารอบหนึ่งที่แท้ พวกเขาก็พุ่งกันไปลงเดิมพันจั๋วซือหรานพอส่งสัญญาณเสร็จ ก็ไม่คิดจะทำเป็นอ่อนแอในการต่อสู้แล้วภายใต้การจับตาของทุกคน บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง ก็เริ่มฟื้นตัวกลับอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่าและการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเหมือนนางโดนผลกระทบความเป็นพิษจากนาก
หนึ่งคือสัญลักษณ์ของตระกูลซาง อีกหนึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปอีกา (เชวี่ย)แสดงถึงตัวตนฐานะของนาง ว่าคือซางเชวี่ยคุณหนูสี่แห่งตระกูลซางคนรับใช้ข้างๆ นอบน้อมกับนางอย่างมาก“คุณหนู ท่านว่าไหม?” คนรับใช้เอ่ยขึ้น “แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่ว่าเป็นสายเลือดตระกูลซางจริงๆ ทว่า จากการควบคุมสัตว์ของเขา ดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย เสือเขี้ยวดาบแม้จะไม่ค่อยพบเห็นแต่ก็ไม่ได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น นากเขาพิษยังกลับดูพิเศษขึ้นหน่อย”“ข้ารู้สึกว่า...” เสียงของหญิงสาวแจ่มชัดกังวาล แต่เส้นเสียงดูเย็นชาหน่อยๆ “สองคนนี้ยังไม่สู้กันจริงจังเลย”“ไม่จริงจัง?” คนรับใช้ไม่เข้าใจ “จั๋วซือหรานแม้ช่วงนี้จะถูกลือกันอย่างกับเป็นเทพเจ้า แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นแค่แพทย์เท่านั้น แพทย์จะมีทักษะต่อสู้ได้แค่ไหนกัน...เมื่อครู่นางก็เอาแต่หนีนี่นา”หญิงสาวพอได้ยินก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะหาเงินได้อย่างไรกัน?”คนรับใช้ไม่เข้าใจ “หาเงิน?”แต่ซางเชวี่ยกลับไม่คิดจะพูดอะไรมาก ทำเพียงจดจ้องสถานการณ์ที่เวทีด้านล่างเท่านั้นจั๋วจิ่วคนนั้นยังไม่สู้จริงจัง นางเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ แค่จากการเปลี่ยนแปลงขอ
จั๋วซือหรานเดินไปทางเวทีแม้จะบอกว่าอยู่ในห้องเตรียมตัว ก็ญังสามารถได้ยินเสียงเอะอะภายนอกได้ตอนนี้พอเดินออกมา คลื่นเสียงที่โถมเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความสั่นสะเทือนขึ้นไปอีกเสียงโหร้อง เสียงก่นด่าของผู้คน เสียงตะโกนลงเดิมพัน และยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล้วนดังขึ้นไม่หยุดหย่อนอินเจ๋ออันยืนอยู่ริมเวที สีหน้ายังคงปั้นยากอยู่สายตาของเขาจ้องมองจั๋วซือหรานอย่างสงสัยระแวดระวังสองมือจั๋วซือหรานยังกดอยู่ที่หน้าอก เส้นผมหลังหัวรวบสูงเป็นช่อ กลางหลังสะพายดาบคู่อินเจ๋ออันจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิด ไม่ว่านางจะมีแผนร้ายอะไร ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว พอขี่หลังเสือแล้วมันลงยากก็คงต้องไปต่อยิ่งไปกว่านั้น ซางถิงเองก็ไม่ใช่พวกรับมือง่ายด้วยเสียงระฆังดังขึ้นทั้งสองคนขึ้นเวทีอีกครั้ง จั๋วซือหรานมองคู่มืออีกด้านของเวทีดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นของอีกฝ่าย ก็กระพริบปริบๆ มองนางการทดสอบยกที่สองเริ่มขึ้นซางถึงตอนนี้ไม่ได้ใช้เสือเขี้ยวดาบเมื่อครู่ต่อแล้วบนอัฒจันทร์คนดูมีแขกไม่น้อยไม่ค่อยเข้าใจ“เมื่อครู่ใช้เสือเขี้ยวดาบก็ไม่ใช่ว่าชนะมาได้หรือ? ทำไมไม่ใช้ต่อ?!”“นั่นสิ! เสื้อเขี้ยวดาบเมื่อ
การยั่วยุเช่นนี้ดูหยาบมาก แต่จั๋วซือหรานกระทั่งไม่คิดจะกลบเกลื่อนเลยสักนิด จนแทบจะเขียนคำว่าข้ากำลังยั่วเจ้าสี่คำนี้ไว้บนหน้าโต้งๆ เลยด้วยซ้ำสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าจะบอกว่าอินเจ๋ออันขึ้นหลังเสือจนลงมายากแล้วก็ไม่ได้เกินเลยอะไรพอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน เขากัดฟันเอ่ยขึ้น “พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน! ยกนี้เจ้ายังไม่ชนะเลย แล้วทำไมข้าจะต้องกลัวด้วย?!”อินเจ๋ออันพูดจบ ก็เคาะระฆังทันที ประกาศชัยชนะของซางถิงและให้ทุกคนเฝ้ารอยกที่สองตามหลักการแล้วระหว่างยก จะต้องมีแพทย์เข้ามารักษาบาดแผลให้แต่จั๋วซือหรานตนเองก็เป็นแพทย์ ทำให้แพทย์ที่เจี่ยงเทียนซิงจัดมาจึงยืนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น“แม่...แม่นางจิ่ว”จั๋วซือหรานหันไปมองเขา “แพทย์หรือ?”“ใช่ ใช่แล้ว เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา...” แพทย์ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นว่าแผลบนตัวจั๋วซือหรานเหล่านั้นสมานเสร็จเรียบร้อยแล้วจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “เรื่องรักษาก็ไม่ต้องแล้วล่ะ เขายังมีอะไรจะมาบอกข้าอีกไหม?”“มี” แพทย์ถอนหายใจโล่ง เอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนักให้ข้ามาบอกท่านว่า คนของตระกูลซางที่มา คือซางเชวี่ยคุณหนูสี่ที่ถูกคนในตระกูลให้ความสำคัญมากในปัจจุบันค