เหลียนเจินได้ยินคำพูดของปันอวิ๋นก็พยักหน้า หนีบท้องม้า ควบม้าขึ้นหน้าไปกำชับขบวนรถม้าไม่นานก็หยุดลง องครักษ์พาม้าไปกินหญ้าดื่มน้ำข้างๆจั๋วหวายลงมาจากในรถม้า ปันอวิ๋นฉากร่าง นั่งลงที่ข้างประตูรถม้า เอียงตาถามจั๋วหวาย "พี่สาวเจ้ายังหลับอยู่หรือ?""อืม ระหว่างทางตื่นมาครู่หนึ่ง ดื่มน้ำไปก็หลับต่อ" จั๋วหวายพยักหน้าให้เด็กคนนี้แม้จะเป็นห่วงพี่สาวมาก แต่กลับมั่นใจอย่างมากต่อวิชาแพทย์ของพี่สาว ดังนั้นจึงไม่กังวลมาก แค่รู้สึกว่าพี่สาวคงง่วงไปเท่านั้นปันอวิ๋นเองก็ไม่มีเจตนาจะทำให้เขาต้องกังวล จะได้ไม่ต้องมานั่งปลอบเด็ก"อืม เจ้าก็ไปพักเสียหน่อยเถอะ เดินเล่นยืดเส้นสายหน่อย เหล่าจวงเหมือนจะเตรียมของกินไว้แล้ว" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นจั๋วหวายพอได้ยินคำนี้ ตาก็เป็นประกายขึ้นมา จากนั้นจึงเดินออกไปแต่ปันอวิ๋นกลับฉากตัว มุดเข้าไปในตัวรถอากาศในตัวรถม้า เหมือนจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ติดตัวจั๋วซือหรานอยู่เป็นประจำในตัวรถปูเบาะเอาไว้หนา ดูเหมือนจะนุ่มสบายมากร่างของหญิงสาวนอนอยู่บนนั้น ขดตัวเล็กน้อย ท่าทางดูสบายมาก บนตัวยังมีผ้าห่มผืนเล็กห่มอยู่ผมยาวสยายออกอยู่บนเบาะหมอน นุ่มสลวยราวกับเป็นหญ้า
ปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "เตรียมเข้าหุบเขาแล้ว หลังจากเข้าหุบเขาพักอีกไม่ได้แล้ว ตอนนี้เป็นการพักครั้งสุดท้าย""จั๋วซือหรานพยักหน้า ตลอดทางนี้มีปันอวิ๋นคอยจัดการสั่งการ ราบรื่นดีมาก ไม่มีผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย สมกับเป็นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษ"ตอนที่นางคอยดูแลจัดการ เขาก็ดูเกียจคร้านเหมือนกองขี้เลนหลังจากนางไม่ดูแลแล้ว เขาก็เหมือนว่าเส้นเอ็นที่ถูกดีดไปก่อนหน้านั้นเด้งกลับที่ฉับพลัน จัดการสิ่งต่างๆ ได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อยปันอวิ๋นชี้ไปอีกด้าน "เหล่าจวงกำลังทำของกินอยู่ ครอบครัวนี้เจ้าพามาได้เหมาะเหม็งเลย พ่อครัวกับลูกมืออีกสองคน ขันแข็งดีมาก"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยิ้มตาโค้ง"เจ้าเองก็มากินเสียหน่อยเถอะ เจ้าไม่ได้กินอะไรมาตลอดทางแล้ว ไม่หิวรึ?" ปันอวิ๋นทำจมูกฝุดฝิด "น่าจะคงเป็นเนื้อย่างอีก ระหว่างทางก่อนหน้านี้ พวกเหลียนเจินล่ากวางมาสองตัว ก่อนหน้านี้กินไปแล้วตัวนึง ยังเหลืออีกตัวนึง""เจ้าทำไมไม่ออกไปล่าล่ะ?" จั๋วซือหรานถามขึ้นมาคำหนึ่งปันอวิ๋นจุ๊ปากขึ้นมา เบ้มุมปาก "ถ้าข้าไปล่ามันยังจะกินได้อีกรึ"เขาเป็นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษ พอลงมือถ้าไม่ใช่พิษก็คือกู่ แล้วเหยื่อที่
ปันอวิ๋นเนื่องจากยังไม่วางใจ จึงยังอยู่ในรถม้าของจั๋วซือหรานแต่ว่า เขาก็ยังมองออก ว่าสภาพของจั๋วซือหรานเหมือนจะพอไหวอยู่สีหน้าแจ่มใส ไม่มีอาการง่วงซึมแล้วนี่ทำให้เขาวางใจขึ้นมาไม่น้อย และตอนที่วางใจลงมาปันอวิ๋นจู่ๆ ก็เหมือนมีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมา เขาเบิกตาโพลงขึ้นกะทันหันดวงตาเรียวยาวของเขา พอเบิกตาโพลงขึ้นกะทันหัน การกระทำก็จะดูโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดดังนั้นจั๋วซือหรานพอเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป จึงถามขึ้นว่า "มีอะไรหรือ?"ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว "วันนี้วันอะไรแล้ว?"จั๋วซือหรานครุ่นคิด ช่วงนี้เดี๋ยวก็เมืองหยาง เมืองอวิ๋น เดี๋ยวก็สำนักเมฆาวารี สับสนมึนงงไปหมดดังนั้นพอครุ่นคิดไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า "สิบห้า""พรวด แย่แล้ว" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ แม้จะฟังออกว่าในน้ำเสียงมีความยุ่งยากขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกอะไรมากมาย"อื๋อ? มีอะไรยุ่งยากหรือ?" จั๋วซือหรานถามปันอวิ๋นตอบ "ระหว่างทางเข้าหุบเขาน่าจะยุ่งยากหน่อย ปกติยังพอว่า แต่ถ้าวันที่สิบห้าล่ะก็..."จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กๆ "คงไม่ได้มีแมลงกู่หรือสัตว์ประหลาดอะไรออกมาระหว่างทางหรอกกระมัง?"ปันอวิ๋นอืมขึ้นมาเส
จั๋วซือหรานเหลือบตามองปันอวิ๋นปันอวิ๋นถูกสายตานี้ของนางเสียดแทงเข้ามา "สายตาของเจ้านี่หมายความว่ายังไง"จั๋วซือหรานไม่อธิบายความหมายสายตาของตนเองกับเขาส่งสายตาประมาณว่า 'จะมีเจ้าไว้ทำไม' มาให้ แล้วให้เขาไปตีความเองจั๋วซือหรานครุ่นคิด ปรึกษาแผนรับมือเสียงต่ำกับเขา "แล้วถ้าลดเสียงผ่านไปล่ะ? ถ้ามันชอบกินแต่แมลงกู่ล่ะก็..."จั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นมาอีกว่า "เจ้าสัตว์ประหลาดนี่ ตัวใหญ่ไหม?"สายตาปันอวิ๋นเหลือบมองนางอย่างพูดไม่ออก "น่าจะ...พอๆ กับแมงมุมตัวนั้นของเจ้า น่าจะเล็กกว่าหน่อย"จั๋วซือหราน "..."นางเงียบลงทันที เพราะถ้าจากที่ปันอวิ๋นบอก การจะลดเสียงต่ำน่าจะยากเสียแล้วเพราะสัตว์ประหลาดที่ตัวใหญ่ขนาดนั้น ถ้าแค่ไม่ใช่พวกกินพืช...ปกติก็ไม่รังเกียจที่จะกินคนสักคนสองคนเป็นอาหารว่างถึงอย่างไร...นี่ก็เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีนี่นะตอนที่ในใจจั๋วซือหรานมีความคิดนี้ ในสมองก็บอกกับตนเองว่า...แหล่งโปรตีนชั้นดีบ้าบออะไรกันตอนที่จั๋วซือหรานมองไปทางปันอวิ๋น ความนัยในสายตาก็ยิ่งเผยออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้นปันอวิ๋นถอนหายใจ "เอาล่ะๆๆ ข้ารู้ว่าข้าไร้ประโยชน์"จั๋วซือหรานมุมปากยกขึ้นบางๆ
"ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังเป็นนักควบคุมสัตว์ด้วย" จั๋วซือหรานเอ่ยต่อปันอวิ๋นเหมือนตอนนี้ดูจะผ่อนคลายลงมาได้บ้างแล้ว เขาพยักหน้า "ได้ สรุปว่าข้าจะพาคนกลับไปในหุบเขาก่อน จากนั้นค่อยมารับเจ้าแล้วกัน"จั๋วซือหรานไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ อันที่จริงนางเดิมทีก็กังวลความปลอดภัยคนของตนเองเหล่านี้อยู่พอหารือถึงจุดนี้ ขบวนก็ยังคงสงบราบรื่นดีทำให้คนรู้สึก...เข้าใจผิดว่าสามารถเข้าไปในหุบเขาอย่างสงบราบรื่นได้เลยทีเดียวสาเหตุที่พูดว่าเข้าใจผิด ก็เพราะเรื่องไม่มีทางง่ายดายขนาดนั้นเพียงไม่นาน ด้านหน้าก็มีเสียงวุ่นวายขึ้นมาเสียงดังพลักดังขึ้นมาก่อน! คลายกับเสียงอะไรพุ่งชนจากนั้นก็เป็นเสียงม้ากรีดร้องอย่างตระหนกจั๋วซือหรานกับปันอวิ๋นสบตากันผาดหนึ่ง เข้าใจถึงสาเหตุขึ้นมาทันทีจั๋วซือหรานเอ่ยเสียงขรึม "ทำตามแผนที่คุยไว้"ปันอวิ๋นแม้จะยังขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหมายของนาง เพียงเอ่ยเสียงขรึมกลับมาว่า "เจ้าเองก็อย่าบาดเจ็บ อย่าตายเสียล่ะ ไม่อย่างนั้น...""รู้แล้ว" จั๋วซือหรานตัดบทเขาจากนั้นเท้าก็ถีบประตูรถม้าน่าจะเพราะจั๋วซือหรานบอกกับเหลียนเจินไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นขบวนแม้จะลนลานไปชั่วขณะ
เป็นสัตว์ประหลาดที่จั๋วซือหรานไม่เคยเห็นมาก่อนไม่เพียงแต่ไม่เคยเห็ กระทั่งไม่ได้เคยยินมาก่อนด้วยซ้ำและมิน่าที่ปันอวิ๋นบอกว่าพบได้น้อย ก็น่าจะพบได้น้อยมากจริงๆควรจะพรรณนารูปร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่งไรดี จั๋วซือหรานครุ่นคิดครู่หนึ่งถ้าหากดูจากรูปร่างภายนอกแล้วล่ะก็ มันเหมือนกับ...ช้างกับตัวนิ่มรวมร่างกันมีจมูกยาวเฟื้อย แต่คล่องแคล่วมาก น่าจะมีไว้เพื่อคอยพลิกหารังแมลงโดยเฉพาะ ไว้คอยล้วนจับแมลงออกมากินแต่ก็มีเขี้ยวยาวกับฟันแหลมคมด้วย บ่งบอกถึงพลังโจมตีของมันได้อย่างชัดเจนและเกราะกระดูกที่เรียงกันเป็นระเบียบอย่างละเอียดนั่น กลับดูคล้ายคลึงกับตัวนิ่มที่จั๋วซือหรานรู้จักมาในชาติที่แล้ว บ่งบอกถึงพลังป้องกันที่ไม่ธรรมดาของมันจั๋วซือหรานยืนนิ้งอยู่ตรงนี้ ยังไม่ได้โจมตีอะไรออกไป นางหวังให้มันกินม้าตัวนี้ให้หมดอย่างเงียบๆ ไปทางที่ดีอย่าได้สังเกตเห็นขบวนที่เดินจากไปแล้วถ้าหากเป็นเช่นนี้ จั๋วซือหรานก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรเลย รอให้อันตรายหายไป นางก็ค่อยออกไปแบบเงียบๆ ติตดามขบวนไปก็พอแต่เห็นได้ชัด ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่นางจินตนาการไว้จั๋วซือหรานพบว่า มั
ในลำคอของสัตว์ประหลาดตัวนิ่มเปล่งเสียงขู่ต่ำเตือนออกมาดวงตาใหญ่เหมือนกระดิ่งทองเหลืองคู่หนึ่ง ยิ่งแดงขึ้นเพราะความโกรธจัดเห็นได้ชัดว่า การเจรจาล้มเหลวเสียแล้วแมงมุมน้อยสบถเสียงเล็กออกมาจากในมิติของจั๋วซือหราน "นายท่าน ท่านจะไปเจรจากับมันไม่ได้หรอก..."จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ บอกับพวกแมลงทีสั่นระริกในมิติว่า "ก็ไม่ได้คิดจะเจรจากับมันจริงๆ หรอก มีประโยชน์อะไรกัน ตอนนี้พวกเจ้าเงียบกันเพราะหวาดกลัวหมดแล้ว ถ้าข้าเก็บมันเข้ามาจริงๆ ชีวิตพวกเจ้าจะเป็นอย่างไรต่อไปล่ะ?"ในมิตินางเลี้ยงแมลงอยู่หลายชนิด ถ้าจับไอ้ตัวกินแมลงใส่เข้าไป บ้านได้แตกกันพอดี?ดังนั้นตั้งแต่แรก การตัดสินใจของจั๋วซือหรานก็คือ ถ้าปลอบได้ก็จะปลอบ แต่ถ้าปลอบไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้นสัตว์ประหลาดตัวนิ่มพุ่งเข้ามาฉับพลัน!เนื่องจากจั๋วซือหรานรู้จากปันอวิ๋นถึงความตึงมือของเจ้านี่ ดังนั้นจึงไม่กล้าดูถูกมันแต่ที่นางคิดไม่ถึงก็คือ เจ้านี่ไม่ใช่ตัวตึงมือธรรมดาสิ่งที่ทำให้เจ้าหุบเขาหมื่นพิษรู้สึกยุ่งยากได้ จะต้องไม่ใช่ความยุ่งยากธรรมดาแน่นอนจั๋วซือหรานเดิมทีคิดว่า เป็นพลังป้องกันของมันที่โดดเด่น พลังโจมตีก็ไม่เลว ซ้ำยังไ
ปัง...! เสียงสนั่นเสียงหนึ่งดังลั่นหุบเขา!หลังจากจั๋วซือหรานยิงปืน นิ้วก็ดึงออกมาจากไกปืนอย่างรวดเร็ว ปืนยาวที่หนักอึ้งพาดขึ้นบ่า เปิดใช้วิชาร่างที่ระดับสูงสุด!จริงด้วย ต่อให้พลังป้องกันจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ดวงตาก็ยังเป็นจุดอ่อนทว่าสัตว์ประหลาดตัวนิ่มกระทั่งจุดอ่อนก็ยังแข็งแกร่งกว่าเปลือกตาของมันก็เหมือนจะมีพลังป้องกันที่ไม่เลวเลย ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่จั๋วซือหรานปะทะกับมันครั้งแรกเมื่อครู่มันก็ไม่คิดจะดูถูกตัวตนที่ดูเหมือนเล็กๆ อ่อนแอนี่อีกอย่างสิ้นเชิง การโจมตีนั้นแม้จะสะท้อนพลังของนางออกไปได้มาก แต่ก็ญังคงมีแรงปะทะอยู่ไม่น้อยทำเอามันต้องยอมรับเจ้าสิ่งเล็กๆ อ่อนแอตรงหน้านี้ขึ้นมา ว่าไม่ได้อ่อนแอเลย กระทั่งอาจจะเป็นความยุ่งยากตำมือที่สุดเท่าที่มันเคยพบมาเลยก็ได้ดังนั้นมันจึงหลับตาลงเป็นสิ่งแรก แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ตาข้างหนึ่งของมันก็ถูกปืนยิงจนเลือดสดไหลทะลักในปากส่งเสียงคำรามโกรธขึ้งอย่างเจ็บปวด"ฮูม...!"เท้าของมันกระทืบลงพื้นอย่างหนักจั๋วซือหรานมองมัน รู้สึกทอดถอนใจกับพลังป้องกันของมันพอควร แม้กระสุนจะยิงเข้าไปในตาแล้ว แต่ก็ยังไม่ทะลุกะโหลกของมันแค่ทำให้ดวงต
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั