"โอ๋?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงฟังแล้วเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ "เช่นนั้นก็เป็น...คนใจดีจริงๆ"ตอนที่นางพูดถึงคำว่าคนใจดี น้ำเสียงก็อ่อนลงมาเล็กน้อย"เป็นเขาที่ชี้ทางให้ข้า ให้ข้ามาคอนจับตาข่าวทางโรงน้ำชา บอกว่าข่าวสารที่โรงน้ำชารวดเร็วที่สุด ไม่แน่อาจจะได้ข่าวครอบครัวของข้า...แล้วเขาก็พูดถูกจริงๆ"จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ "ใช่เลย เขาเก่งมาก"ทั้งหึงทั้งโกรธ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะมาชี้ทางให้น้องชายนาง เก่งจริงๆจั๋วหวายแน่นอนว่าไม่รู้สิ่งที่พี่สาวคิดในใจจั๋วหวายถามขึ้น "ท่านพี่ ถ้าหากท่านคิดจะใช้ข้าเป็นข้ออ้างหาเรื่องสำนักเมฆาวารี ข้าต้องไปหลบก่อนไหม?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานมองเขา "ทำไมต้องหลบ?"จั๋วหวายตกตะลึง "ไม่...ไม่ใช่ว่าถ้าพวกเขาไม่ส่งข้าคืนให้ท่าน ท่านก็จะไม่เกรงใจพวกเขาหรือ? ถ้าข้าหลบไป ท่านถึงจะไม่เกรงใจพวกเขาได้ไง?"จั๋วซือหรานเขกหน้าผากเขา "เจ้าเด็กโง่ เจ้าก็อยู่ข้างๆ ข้านี่ล่ะ""แล้วพวกเขา..." จั๋วหวายยังงงๆ อยู่จั๋วซือหรานตอบ "พวกเขาบอกว่าเจ้าเป็นน้องชายข้าก็คือน้องชายข้าหรือไง? ถ้าข้าบอกไม่ใช่ พวกเขาจะพูดให้ฟ้าถล่มมันก็ไม่มีประโยชน์"จั
ฝันร้ายถ้าหากมันน่ากลัว ก็จงเป็นฝันร้ายของฝันร้ายเสีย มังกรถ้าหากมันน่ากลัว ก็จงกลายเป็นมังกรของมังกรไปเสียจั๋วหวายฟังออก ว่าพี่สาวตนเองแค่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เท่านั้น...คนอื่นถ้าหากกล้าเอาน้องชายของนางไปเป็นผู้ทดลองยา นางก็จะจับคนที่พวกนั้นหวงแหนมาหลอมเป็นกากยาเสียให้หมด!"นางอายุน้อยกว่าข้า สุขภาพไม่ค่อยดี" จั๋วหวายพูดถึงสุ่ยเชียนโยวจากสำนักเมฆาวารีคนนั้น "สภาพต้องกินยาตลอดแบบนั้นเลย"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยิ้มๆ "ทำไม? อยากได้นางมาเป็นภรรยารึ?""!!" จั๋วหวายถลึงตาโต "ท่านพี่! อย่าพูดจาส่งเดชนะ! ข้าจะมีความคิดนั้นหรือเปล่ายังไม่พูดถึง แต่ถ้าเรื่องเป็นอย่างที่ท่านพูดไว้ก่อนหน้าล่ะก็ เช่นนั้นความสัมพันธ์ของนางกับพวกเราก็เป็น..."จั๋วหวายพูดขึ้นอย่างตั้งใจจั๋วซือหรานได้ยินก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ต่อคำของเขามา "ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น""อ๋า?" จั๋วหวายงงงันเหมือนเด็กทึ่มจั๋วซือหรานเอ่ยต่อ "ต่อให้เรื่องราวเป็นอย่างที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้า ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของอะไรทั้งนั้น""เอ่อ..." จั๋วหวายกระพริบตาปริบๆ เหมือนหมาน้อยไร้เดียงสามองแล้วทำให้คนรู้สึกอยากเข้าไปลูบหัวเลยจั๋วซือหรานยื่นมือ
ชุดคลุมสีม่วงทอง ปักลายดอกไม้ดูซับซ้อนผมยาวสยายด้านหลังรวบไว้หลวมๆ เส้นผมที่ดูกระเซิงห้อยลงมาจากบ่าดูมีเสน่ห์และดูชั่วร้ายมาก"เรื่องอะไร" เขาถามขึ้นมา สายตาจ้องไปบนตัวจั๋วหวาย"น้องชายข้า จั๋วหวาย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นคิ้วปันอวิ๋นเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่ความตกตะลึงในสายตาก็ไม่ได้แจ่มชัดมากนัก "หาเจอแล้วหรือ?""อืม แต่ว่าข้าจะไปหาหาเรื่องก็กลัวไม่สะดวก" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เจ้าช่วยข้าดูเขาหน่อยเถอะ"จั๋วหวายตกตะลึง "ท่านพี่..."อันที่จริงในใจเขาหวังจะไปกับท่านพี่ แต่ก็เข้าใจ ว่าตนเองมีแต่จะเพิ่มความลำบากให้พี่สาวเท่านั้นปันอวิ๋นจุ๊ปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แค่เอ่ยขึ้นว่า "แค่หลอมกู่ให้เจ้ายังไม่พอ นี่ยังต้องมาช่วยเลี้ยงเด็กอีก...""ขอบคุณมากนะ" จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเสียงของปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างสงบ "ถ้าจะขอบคุณจริงๆ ก็มาแต่งงานกับข้าสิ"ดวงตาจั๋วหวายถลึงโต จ้องเขม็งที่ปันอวิ๋นจั๋วซือหรานดูจะมีภูมิคุ้มกันกับคำพูดแบบนี้ของปันอวิ๋นแล้วเจ้าหุบเขาหมื่นพิษคนนี้ ดูท่าทางเหมือนชั่วร้ายเย็นชา แต่อันที่จริงเป็นพวกปากแข็งใจอ่อน ทุกครั้งที่พูดก็จะเป็นแบบนั้นแต่ที่ควรช่วยก็จะช่วยอยู่
เสียงของเจิ้นเจียงดูเร่งร้อน แต่กลับฟังไม่ออกว่าลนลานตรงไหนจั๋วซือหรานเปิดประตู "อืม เกิดอะไรขึ้น"เจิ้นเจียงเอ่ยว่า "มาขวางกันอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยมขอรับ""พวกกองหนุนสินะ?" จั๋วซือหรานถามเจิ้นเจียงพอนึกถึงขบวนที่อยู่ด้านนอกนั่น "รู้สึกเหมือนจะไม่ใช่กองหนุนเท่าไร..."กองหนุนของใครเป็นแบบนั้นกันล่ะอันที่จริงพอพูดขึ้นมา จำนวนคนก็ไม่น้อยเลย แต่เจิ้นเจียงพอคิดถึงความสามารถของคุณหนูตนเอง ก็รู้สึกว่า...คนแค่นี้ ก็เหมือนเข้ามาแจกแต้มให้เปล่าๆ กระมัง?พูดได้แค่ว่า ใครก็ตามที่ติดตามอยู่ข้างกายจั๋วซือหราน สายตาก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง คิดๆ แล้วก็หัวเราะ "ไม่ค่อยเหมือนกองหนุนหรือ? ทำไม อย่างนั้นคือเข้ามาประนามข้าหรือ?"เจิ้นเจียงคิดๆ รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้!จั๋วซือหรานพยักหน้า "ออกไปดูหน่อย"มาถึงโถงหน้าโรงเตี๊ยม ให้เหลียนเจินเปิดประตูใหญ่โรงเตี๊ยมออกก็เห็นพวกสำนักเมฆาวารีอยู่ด้านนอกกลุ่มหนึ่ง กะด้วยสายตาประมาณยี่สิบคน ดูจากเสื้อผ้าแล้ว ล้วนเป็นพวกศิษย์ธรรมดาเสียส่วนใหญ่ในนี้น่าจะมีผู้ดูแลอยู่คนสองคนก่อนหน้านี้ยังทำหน้าขรึมพูดจาหนักแน่น แต่ตอนเ
ว่าอย่างไรดี ถือว่าให้หน้าจั๋วซือหรานมาก ถือว่าจั๋วซือหรานเป็นเรื่องสำคัญมากดังนั้น พวกเขาเองก็อยากจะดู ว่าหญิงสาวที่เก่งกาจคนนี้ จะถูกจัดการ หรือว่ายังคงแก้ไขปัญหานี้ไปได้ผลลัพธ์คือ..."แม่เจ้าโว๊ย! แค่แปปเดียวก็เก็บเรียบเลย!""เก่งกาจ...มากจริงๆ นางให้พวกเขาพูดจนจบ ถือว่าให้หน้าสำนักเมฆาวารีแล้วกระมัง?""ครั้งนี้สำนักเมฆาวารีเจอตอเข้าเต็มๆ ก่อนหน้านี้ส่งคนมาตั้งเท่าไรแล้ว...""ข้าจำได้ว่านางก่อนหน้านี้บอกว่าอีกสามวันจะเริ่มสังหารคนใช่ไหม?""เจ้าสำนักเมฆาวารี...สติไม่ดีหรือเปล่า สมองคิดอะไรอยู่กัน?""นั่นสิ สำนักเมฆาวารีกลัวว่านางจะฆ่าคนไม่พอหรือ? ถึงได้จงใจส่งมาให้นางเป็นพิเศษแบบนี้"ด้านหน้า จั๋วซือหรานมองผู้ดูแลสำนักเมฆาวารีที่ยืนนิ่งเป็นไก่ไม้สลักอยู่ที่เดิม"เจ้า เจ้าๆ..." ผู้ดูแลคนนี้พูดอะไรไม่ออกแล้ว"รอหน่อยนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปพอเห็นว่านางหมุนตัวจากไป ผู้ดูแลนี้ก็มีปฏิกิริยาคิดจะออกไปเป็นอันดับแรกทันทีไม่ว่าอย่างไร ต่อให้กลับไปแจ้งข่าวได้ก็ยังดี! สรุปคือต้องหนีก่อน!หนีไปก็ยังดีกว่าถูกนางจับเป็นเชลยนะ!แต่ว่า ไม่ท
เขาโขกศีรษะไปทางจั๋วซือหรานก่อนสามครั้ง จากนั้นก็ทวนคำพูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง "ใต้เท้า...โปรดช่วยชีวิตครอบครัวข้าด้วย"จั๋วซือหรานมองเขาคนทั้งหมดล้วนมองเขา รู้สึกใจคอไม่ดีเพราะดูการแสดงออกนับตั้งแต่ที่จั๋วซือหรานมาถึงเมืองอวิ๋น พวกเขารู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้อันตรายมากคนผู้นี้บังอาจได้ขนาดนี้เชียว ไม่รู้ว่าจะถูกนางเล่นงานเอาหรือเปล่ากระทั่งสีหน้าตัวเขาเองดูแล้วก็ยังหวาดกลัวเอามากๆ พอเห็นก็เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงอย่างไรอย่างนั้นจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงใสเย็นของหญิงสาวคนนี้"ครอบครัวเจ้าเป็นอะไรไปหรือ" จั๋วซือหรานถามทุกคนรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างชัดเจน คนผู้นี้เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาเขายังคงคุกเข่าอยู่ คลานเข่ามาด้านหน้าสองสามก้าวในดวงตาล้วนเป็นประกายยินดี น้ำเสียงร้อนรนขึ้นอย่างปิดไม่มิด "ใต้เท้า ครอบครัวข้า! ครอบครัวข้าถูกคนสำนักเมฆาวารีพาไปเป็นผู้ทดลองยา! หลังจากนั้นก็พังทลายไปแล้ว!"จั๋วซือหรานเดิมทีคิดว่าครอบครัวเขาแค่เจ็บป่วยปกติ หรืออาจเป็นโรคร้ายที่รักษาได้ยากแต่คิดไม่ถึงว่า จะมีเนื้อในเช่นนี้?จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว ดูสนใจขึ้นมา"โอ๋?" จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยออกมา "ไหน
"ต่อมา พวกเขาก็ถูกสูบเลือดไปทุกวัน! ยาที่พวกเขาดื่มทุกวัน ยาที่อาบ เปลี่ยนแปลงตำรับอยู่ตลอดเวลา ทุกวันจะถูกสูบเลือด หลังจากข้ารู้เรื่องนี้ก็โกรธมาก ต่อมาจึงค่อยๆ เข้าใจ""พวกเขากำลังใช้ลูกชายข้ามาทดลองยา! พวกเขากำลังใช้ลูกชายข้าเป็นผู้ทดลองยา! และเพราะข้าเป็นคนเมืองอวิ๋น ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ส่งลูกขึ้นไปบนเนินเขาเมฆาวารี ก็ยังจัดงานใหญ่โตอึกทึกอีกด้วย""ต่อมาก็ออกหาออกถามไปทั่ว พวกเขาจึงคืนลูกของข้ากลับมากระมัง? ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหาเหตุผลส่งๆ บอกว่าลูกข้าตาอยู่บนเนินเขาเมฆาวารีหรือเปล่า?"สีหน้าจั๋วซือหรานยังคงสงบนิ่ง แต่กลุ่มคนที่ล้อมมุงอยู่ พอได้ยินก็ไม่ค่อยนิ่งแล้วเพราะว่า พวกเขาเดิมทีรู้สึกว่าเรื่องนี้ห่างไกลกับพวกเขามากต่อให้เกิดเรื่อง ที่เกิดเรื่องก็เป็นแค่น้องชายของจั๋วซือหราน น้องชายของใต้เท้าโหวห่างไกลกับพวกเขาลิบลับ พวกเขาเป็นแค่ ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้นแต่ว่าตอนนี้ กลับได้ยินว่า เรื่องราวพวกนี้มันอยู่ใกล้พวกเขาถึงขนาดนี้เลยโดยเฉพาะในกลุ่มพวกเขายังมีคน ที่เคยได้ยินจากที่นี่หรือไม่ก็ที่นั่นมาก่อน..."ข้า...ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินว่าลูกของญาติที่อยู่ห่า
ไม่นานนัก คนคนนี้ก็พาลูกๆ กลับมาลูกทั้งสองคนล้วนถูกหุ่นเชิดความมืดสองตัวของจั๋วซือหรานอุ้มเข้ามาสภาพดูไม่ค่อยดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากหวาดกลัวหุ่นเชิดความมืด จึงตัวสั่นกันเป็นเจ้าเข้าดูจากอายุแล้ว เป็นวัยหนุ่มใกล้เคียงกับจั๋วหวายทุกคนรู้สึกเหมือนสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ตอนนี้อารมณ์ที่เรียกว่าความโกรธแค้นของมวลชนกำลังแผ่ขยายออกมากขึ้นเรื่อยๆนี่ก็เป็นเป้าหมายที่จั๋วซือหรานให้เขาไปพาลูกๆ มาตอนที่จั๋วซือหรานเห็นเด็กหนุ่มสองคนนี้ ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "อายุพอๆ กับน้องชายข้าเลย"ทุกคนพอได้ยินคำนี้ ก็ล้วนมีความคิดกันขึ้นมาทันทีดูเหมือนผู้ทดลองยาที่สำนักเมฆาวารีหา ล้วนอายุประมาณนี้กันสินะยังมีคนที่กระซิบกระซาบกันว่า "ลูกคนนั้นของญาติห่างๆ ข้า...ก็อายะประมาณนี้เลย...ให้ตายเถอะ!"พ่อคนนี้ก็คุกเข่าลงตรงหน้าจั๋วซือหรานอีกครั้ง "ใต้เท้า ช่วยลูกของข้าด้วย"ผู้คนที่ล้อมอยู่ก็พูดคุยเสียงต่ำกันขึ้นมา "ดูเหมือนจะหนักเอาการเลยนะ ยังรักษาได้ไหม..."พ่อคนนี้เองได้ยินเสียงเหล่านี้ ในใจก็เศร้าสลดขึ้นมา ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนหน้าในแววตาเต็มไปด้วยความหวังสุดท้าย จ้องเขม็งไปที่จั๋วซือห
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั