จั๋วหรูซินยังช่วยองค์หญิงเจาหมิ่นแก้ตัวคุณท่านจั๋วลิ่วโกรธมากจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด "ใจดีหรือ ท่านใจดีแและให้หนูทำร้ายน้องสาวของตัวเองหรือ นี่คือความใจดีของที่ไหนกัน แล้วหนู จั๋วหรูซิน สมองของหนูไปไหนแล้ว"จั๋วหรูซินอาจไม่เคยถูกพ่อของนางดุเช่นนี้มาก่อน นางตกตะลึงทันที ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และน้ำตาก็ไหลลงมา"หนู..." จั๋วหรูซินร้องไห้ขณะเช็ดน้ำตา "แต่ท่านใจดีมาก หลังจากท่านฟังหนูพูดมาหลายเรื่อง ในที่สุดท่านก็เอาของบางอย่างที่มาจากดินแดนทางใต้มาให้หนู ตราบใดที่หนูเล่นงานจั๋วจิ่ว ทำให้นางแต่งงานกับเฟิงซื่อจื่อไม่ได้ ดังนั้นการหมั้นหมายก็จะตกที่หนูเอง…”เสียงตบหน้า"เพี้ย"ดังขึ้นก่อนที่จั๋วหรูซิน จะพูดจบ นางก็ถูกขัดจังหวะด้วยการตบหน้าอันดังจั๋วหรูซินตกตะลึง“คนโง่ คนโง่ คนโง่” คุณท่านจั๋วลิ่วตะโกนด้วยความโกรธ “ข้ามีลูกสาวโง่ ๆ อย่างหนูได้อย่างไร ท่านให้หนูเป็นแพะรับบาทชัด ๆ แต่หนูยังไม่รู้ตัวเลย”ทีนี้จั๋วหรูซินตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง นางพูดไม่ออกสักคำคุณท่านจั๋วลิ่วโกรธมากจนเลือดของเขาพุ่งพล่าน เขาโกรธจนจะเป็นลม มองไม่เห็นอะไร และกลิ่นเลือดก็ดูเหมือนออกมาจากลำคอของ
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกสาว คุณท่านจั๋วลิ่วก็หัวเราะเยาะ "แต่หนูดูสิ นางได้ฟังคำพูดของท่านอ๋องเซี่ยน และทำร้ายพี่สางน้องสาวของครอบครัวบ้างไหม"“ไม่ว่าจั๋วจิ่วจะบ้าแค่ไหน นางก็แค่อยากได้ของของตัวเองกลับ ตัวอย่างเช่น นางได้รับตำแหน่งเรียนหอหลวงจากไทเฮาตามความสามารถของนางเอง หนูเคยเห็นนางทำร้ายคนในครอบครัวหรือ "คำถามของคุณท่านจั๋วลิ่วทำให้จั๋วหรูซินเงียบและพูดไม่ออกสักคำเมื่อเห็นลูกสาวเป็นเช่นนี้ คุณท่านจั๋วลิ่วไม่พูดอะไรต่อแม้ว่าลูกสาวของเขาจะไม่มีความสามารถที่เก่งกาจ แต่สุดท้ายนางยังเป็นลูกสาวของเขาอยู่ดีคุณท่านจั๋วลิ่วหายใจเข้าลึก ๆ เล็กน้อย เขาสงบลงเล็กน้อย และถามด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า " ซินเอ๋อร์ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาคิดที่จะตำหนิองค์หญิงเจาหมิ่น"จั๋วหรูซินกระซิบ "แต่... เราควรทำอย่างไรดี"คุณท่านจั๋วลิ่วถามว่า “นอกจากองค์หญิงเจาหมิ่นแล้ว มีใครรู้หนูทำร้ายจั๋วจิ่วอีกไหม”จั๋วหรูซินกล่าว " ฉินตวนหยางรู้"คุณท่านจั๋วลิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เขาไม่สำคัญ เขาได้รับตำแหน่งและเป็นเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก ตระกูลขุนนางไม่สามารถแอบลงโทษเขา"จั๋วหรูซินกัดริมฝีปากของนาง "เช่นนั้นมี
สาวใช้วังงง “แต่ทำไมเพคะ”องค์หญิงเจาหมิ่นกล่าวว่า "เพราะว่า...นางเป็นตัวเสี่ยง กล่าวโดยสรุป เมื่อข่าวนี้เข้าหูของจั๋วจิ่ว นางต้องจำข้าอย่างแม่น ถูกคนฉลาดมองว่าข้าเป็นศัตรู นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย"“องค์หญิงคิดว่าจะทำอะไรต่อเพคะ” สาวใช้ในวังถาม“แน่นอน... ควรโจมตีก่อนดีกว่า” องค์หญิงเจาหมิ่นยิ้มเบา ๆ “ ข้าได้ยินมานานแล้วว่า คุณหนูจิ่วของตระกูลจั๋วนั้นสวยงามอย่างน่าทึ่ง เสด็จพี่ห้าของข้าชอบสาวสวยมาตลอด ไปเสนอ เสด็จพี่ห้าจัดงานเลี้ยงน้ำชาและเชิญคุณหนูจั๋วจิ่วมาร่วมงาน หากไม่มีข้องอ้าง ให้ในนามวันเกิดของข้าละกัน”“หม่อมฉันรับทราบเพคะ” สาวใช้ในวังตอบรับคำสั่งและเตรียมตัวไปทำหน้าที่"เดี๋ยวก่อน"ดูเหมือนองค์หญิงเจาหมิ่นคิดอะไรบางอย่างออก นางจึงเรียกสาวใช้หยุด“องค์หญิงมีคำสั่งใด ๆ เพคะ”องค์หญิงเจาหมิ่นหยิบขวดกระเบื้องออกมาแล้วพูดว่า "เอาขวดนี้ไปให้เสด็จพี่ห้า แล้วบอกเสด็จพี่ว่า..."องค์หญิงเจาหมิ่นกล่าวพร้อมกับร้อยยิ้ม “บอกว่า คุณหนูจั๋วจิ่ว นั้นเป็นผู้ที่ไม่อาจควบคุมได้ นี่คือน้ำใจของน้องสาว นี่ไม่มีสีและไร้กลิ่น แม้เป็นผู้หญิงที่เก่งที่สุดก็สามารถกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยนได้ และเ
“ ฮั่วชิงหยวน ”นิ้วที่ละเอียดอ่อนของหญิงสาวโบกมือต่อหน้าต่อตาของเขา และทันใดนั้นฮั่วชิงหยวนจึงมีสติกลับ“แม่นาง... แม่นางจิ่ว” ฮั่วชิงหยวนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไเขาเคยเห็นผู้หญิงสวย ๆ มาก่อน เพราะในตระกูลของเขา พี่สาวน้องสาวของเขามีหน้าตาอันงดงามยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ใช่คนที่ดิ้นรนหาสาวสวย แต่ทันใดนั้น เขาหลงไหลในความสวยของคุณหนูจั๋วจิ่ว“เป็นอะไร” จั๋วซือหรานเห็นฮั่วชิงหยวนใจไม่อยู่กับตัว “เจ้าไม่ได้พักผ่อนหรือ”“เปล่า ๆ ” ฮั่วชิงหยวน รีบโบกมือซ้ำ ๆ ด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองจั๋วซือหราน ดังนั้นเขาจึงพูดว่า "ก็... แม่นางจิ่วดูดีนะ ”จั๋วซือหรานเลิกคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่านางเข้าใจว่า ทำไมฮั่วชิงหยวนถึงมึนงงมาครู่หนึ่งแล้วนางโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย "เมื่อผู้คนเมีความสุข พวกเขาก็ดูดีตามธรรมชาติ ไม่พูดเรื่องนี้ก่อน คุณชายห้าฮั่วมาหาข้า มีธุระอันใดหรือ"“ แม่นางจิ่วยังจำข้อตกลงระหว่างเราสองคนได้ไหมขอรับ เรื่องที่ข้าเลี้ยงเจ้าดื่มชา” ฮั่วชิงหยวนถามจั๋วซือหรานมีความทรงจำที่ดีมาก และเวลาผ่านไปไม่นาน เธอจำได้ว่านางได้ตกลงกับฮั่วชิงหยวนที่ด้านนอกของหน่วยสืบสวนพิเศษ
ฝูซูถาม “วันนี้คุณหนูไม่ออกไปข้างนอกหรือขอรับ”“จ้ะ วันนี้ไม่ออกไปแล้ว” จั๋วซือหรานพยักหน้า นางคิดแล้วยิ้ม “เพื่อไม่ให้คนอื่นว่าจะแข่งพรุ่งนี้แล้ว ข้ายังไม่ตั้งใจเตรียมตัว วัน ๆ เดินเล่นที่ข้างออก และไม่ไว้หน้าตระกูลเหยียน ”ฝูซูสับสนเล็กน้อยและถามว่า "ทำไมเราต้องเคารพตระกูลเหยียนด้วย พวกเขารังแกคุณหนูเช่นนั้น...""นั่นคือสิ่งที่ฉันพูด" จั๋วซือหราน คิดอยู่ครู่หนึ่ง "แต่คู่แข่งอาจเป็นเหยียนฉี เขาเป็นคนดี และเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอ๋อง ดังนั้นถือว่าเราไว้หน้าให้ท่านอ๋องละกัน"“ถ้าอย่างนั้น ข้าหน้าใหญ่ดี” เสียงต่ำและเย็นชาดังขึ้นนอกประตู เสียงนั้นช่างมีเสน่ห์และไพเราะอย่างมากเสีนงนั้นมีความโดดเด่นอย่างมาก จั๋วซือหรานรู้ทันทีว่าเป็นเขาเมื่อได้ยินเสียงนั้น นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ทำไมท่านอ๋องถึงมาที่นี่"ทันทีที่นางพูดจบ มีร่างสูงหนนึ่งร่างเดินเข้ามา“ข้าอยากรอใครสักคนมารายงานเจ้า แต่จวนของเจ้าค่อนข้างน่าสนใจ” ชายคนนั้นสวมชุดสีดำและดูเรียบร้อย เขาตรง “ไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่ดูแลแขกที่ประตู จากทางเข้าหลักไปยังห้องโถงหน้า ข้าไม่เห็นคนรับใช้สักคนเลย”“อ้าว” จั๋วซือหรานตอบ นาง
จั๋วซือหรานสังเกตสายตาของเขา และในขณะที่นางคิดเรื่องนี้พอดี นางเลยถาม " ท่านอ๋องรู้จักสวนพักผ่อนหลิ่วพ่านหรือไม่ ข้าจำได้ว่านั่นเป็นวังพักร้อนของราชวงศ์ใช่ไหม"ในความทรงจำของชะตาของเจ้าของร่างเดิม มีหลายเรื่องไม่ชัดเจนอย่างมาก และโชคชะตาของนางก็ถูกเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงจากการมาถึงของนาง ทุกเรื่องเสมือนทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกตอนนี้จั๋วซือหรานอาจรู้รายละเอียดสำคัญของบางเรื่องเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ บางอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากนางไม่ได้เดินตามชะตากรรมอันน่าเศร้าดั้งเดิมของเจ้าของร่างเดิมสรุปคือในชะตากรรมของเจ้าของร่างเดิมไม่มีความทรงจำใด ๆ ที่เกี่ยวกับสวนพักผ่อนหลิ่วพ่านดังนั้นจั๋วซือหรานจึงพึ่งพาได้เพียงแค่การคาดเดา แต่ตอนนี้เมื่อ เฟิงเหยียนอยู่ที่นี่ นางสามารถถามเขาได้พอดีเฟิงเหยียนเหลือบมองนางแล้วพูดว่า "สวนแห่งหนึ่งของราชวงศ์ ช่วงไม่กี่ปีผ่านมา องค์ชายห้าใช้สวนนี้เป็นหลัก"เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ จั๋วซือหรานรู้ทันที นางเลิกคิ้วขึ้น "เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับคำตอบของท่านอ๋อง "เฟิงเหยียนก้าวเท้าและว่าจะจากไปจั๋วเสียวจิ่ว ผู้ที่สามารถสร้างความวุ่นว
“คุณหนู คุณหนูคงไม่ได้...หรอกนะ” ฝูซูถามอย่างระมัดระวัง“อ่อ” จั๋วซือหรานตอบ “ควรไปก็ต้องไป”ฝูซูไม่เข้าใจ เขาจับหัว เขารู้สึกสับสนอย่างมาก เขาถาม"ทำไมขอรับ"“รู้ล่วงหน้าว่านี่คือกับดัก หากข้าไปก็หลีกเลี่ยงได้พอสมควร พวกเขาอยากทำร้ายข้าหรือ เช่นนั้น ข้าจะวางแผนรับมือตามแผนการของพวกเขา ไม่ทราบนะ ว่าใครจะทำร้ายใครก่อน”จั๋วซือหรานยิ้มและพูดว่า "ท้ายที่สุดแล้ว มีโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไม่มากนัก อีกอย่างข้าถูกเชิญไปงาน หลังจากข้าทำสิ่งเลวร้ายเสร็จแล้ว ข้าก็ยังบริสุทธิ์อยู่"หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ฝูซูกระพริบตา จากนั้นก็กระพริบตาอีกครั้ง จากนั้นส่ายหัวอย่างจริงใจแล้วพูดว่า "ข้าฟังไม่เข้าใจ"“หมายความว่า หนามยอกเอาหนามบ่ง เจ้าไปเข้าใจเองละกัน” จั๋วซือหรานยืดตัวฝูซูรีบถาม “คุณหนู คุณหนูจะไปไหนขอรับ”“ไปนอนต่อ”......ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ตระกูลเหยียนต้องแข่งขันกับจั๋วซือหราน เนื่องจากข่าวออกมาเร็วพอ ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงรู้เรื่องนี้กันหมดเดิมทีถนนที่ศูนย์การแพทย์ตั้งอยู่จะอยู่ในย่านที่เงียบสงบกว่าของย่านธุรกิจ แต่ปัจจุบันกลับคึกคักมากไม่ต้องพูดถึงเหล่าตระกูลขุนนางเลย แม้แต่ชาวบ้านธรร
ทันทีที่จั๋วซือหรานเดินเข้าไปในศูนย์การแพทย์ของตระกูลเหยียน เดิมทีนางคิดว่านางจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ตระกูลเหยียนมีคนจำนวนมากเพียงลำพังโดยไม่คาดคิด คนแรกที่นางเห็นเมื่อเดินเข้าไปในศูนย์การแพทย์ของตระกูลเหยียนคือใบหน้าที่สวมหน้ากากเปลวไฟสีดำแปลก ๆและข้างกายของชายผู้นี้มีชายร่างสูงสวมหน้ากากของตราตันติ่ง"...ทำไมพวกท่านถึงมาที่นี่เจ้าคะ" จั๋วซือหรานไม่คาดคิดจริง ๆ ว่า ซือหลี่ตันติ่งและ ซือหลี่ฝายเทียนจะปรากฏตัวที่นี่ ดังนั้นหลังจากแสดงความประหลาดใจ นางก็รีบทักทาย "สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านซือหลี่ทั้งสอง"เสียงของซือหลี่ตันติ่งนั้นสงบและเที่ยงธรรมเช่นเคย“เนื่องจากการแข่งขันระหว่างเจ้าและตระกูลเหยียนได้รับการตัดสินโดยหน่วยสืบสวนพิเศษ เช่นนั้นคนของหน่วยสืบสวนพิเศษมาชม เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”จั๋วซือหรานไม่ได้พูดอะไรในทันที นางมองไปที่ซือหลี่ตันติ่งสักครู่โดยโค้งริมฝีปากและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ท่านพูดสมเหตุสมผล ข้าแค่... ข้ารู้สึกภาคภูมิใจ "อันที่จริงจั๋วซือหรานตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า การที่ท่านทั้งสองนี้มาที่นี่เป็นเรื่องที่ดีมิเช่นนั้น หากตระกูลเหยียนอยากทำอะไรชั่ว ๆ เพราะพวกเขามีคน
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั