"ไม่ถึงกับโกรธหรอก" จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือซือคงเซี่ยนถอนหายใจ "ข้ารู้ว่าในใจก็คงไม่เบิกบานนัก เรื่องนี้ ราชวงศ์ของพวกเราผิดต่อเจ้าจริงๆ""ช่างเถอะ" จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดนั้นมันพูดว่าอะไรนะ "ฟ้าผ่าหรือสายฝน..."ซือคงเซี่ยนเอ่ยอย่างจนใจ "ฟ้าผ่าหรือสายฝน...ก็ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณ""อืม ความหมายนั้นนั่นล่ะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "แล้วก็ ให้ใครมาเจอรางวัลพวกนี้แบบข้า ก็ล้วนเป็นความโปรดปรานชั้นสูงทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้บ่นเลยเสียหน่อย"ซือคงเซี่ยนอยากจะถามว่านี่คือใจจริงของนางไหม แต่พอคิดอย่างละเอียด หญิงสาวคนนี้ก็เหมือนไม่เคยพูดอะไรที่อ่อนข้อยอมความ แต่คำพูดที่พูดออกมามากกว่าครึ่งล้วนเป็นความจริงแต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในใจซือคงเซี่ยนก็ยิ่งชัดเจน ในใจนางกับราชวงศ์ มีสิ่งบางๆ กั้นไว้มาโดยตลอด ดังนั้นจึงได้เป็นเช่นนี้...เย็นชาและไม่ใส่ใจ"ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาเสด็จพ่อ" ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "เจ้าจัดการเรื่องในเมืองเสียเรียบร้อย วันนี้...จะมาบอกลาหรือ?"จั๋วซือหรานเอียงตามองซือคงเซี่ยน เหมือนไม่ได้แปลกใจกับการควบคุมความเคลื่อนไหวของซือคงเซี่ยนเลยจั๋วซือหรานเข้าใจดี ความสามารถเห
ยิ่งเข้าใกล้หลังตำหนัก เสียงนกร้องจิ๊บๆ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นพอเดินถึงหลังตำหนัง ก็มองเห็นว่าสวนดอกไม้เล็กของหลังตำหนัก มีคานตั้งขึ้นมาแล้วแขวนกรงทองเอาไว้ส่วนหนึ่ง ด้านในมีนกน้อยขนสวยงามร้องเสียงใสอยู่หลากชนิด กำลังกระโดดไปมาในกรงอย่างคึกคักองค์จักรพรรดิเฒ่ายืนไพล่หลังชื่นชมอยู่ข้างๆ ถือไม้ไผ่แบนยาวตักอาหารใส่เข้าไปบนใบหน้าดูสงบสุขสบายใจ เทียบกับองค์จักรพรรดิเฒ่าที่ดูอ่อนล้าซีดเซียวตอนที่จั๋วซือหรานช่วยออกมาจากวังสวนของราชวงศ์ตอนนั้นอย่างกับคนละคน"คารวะฝ่าบาท" จั๋วซือหรานทำความเคารพจักรพรรดิเฒ่าโบกไม้โบกมือ "เด็กน้อยเสียวจิ่วมาได้เสียที ข้ายังคิดว่าเจ้ายังโกรธจนไม่คิดจะเข้ามาเสียอีก...""ฝ่าบาทกล่าวเกินไปแล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ที่หม่อมฉันมา ก็เพื่อมาจับชีพจรให้ฝ่าบาท ไทเฮาและพระสนมเอก และถือโอกาสบอกลาฝ่าบาทด้วย"แม้เจตนาเดิมขององค์จักรพรรดิเฒ่าคือให้จั๋วซือหรานมีพื้นที่ศักดินาที่ไกลออกไปหน่อย และยังได้ยินข่าวว่าช่วงนี้จั๋วซือหรานจัดการเรื่องในเมืองหลวงหมดแล้ว ทำท่าเหมือนจะตรงไปพรมแดนใต้แล้วแต่พอได้ยินว่าจั๋วซือหรานมาบอกล่า ก็ยังรู้สึกว่าไวเกินไป"ไวขนาดนี้เชียว?" องค์จัก
จั๋วซือหรานปิดกรงนกลง เอ่ยต่อว่า "ชีพจรของฝ่าบาทแข็งแรงมาก""อื๋อ?" องค์จักรพรรดิเฒ่าตกตะลึง "เจ้ามาจับชีพจรข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?"จั๋วซือหรานตาโค้งชูนิ้วขึ้นกระดกนิ้ว ไหมกู่เส้นหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมา "เมื่อครู่ตอนที่เล่นกับนกน้อย ข้าก็จัดการจับดูแล้ว"องค์จักรพรรดิเฒ่าเห็นไหมกู่เส้นนั้น ยังมีความระแวดระวังขึ้นมา หลักๆคือเพราะรู้ว่าวิชากู่ของจั๋วซือหรานอยู่ในระดับสูงจั๋วซือหรานเก็บไหมกู่กลับมา "หม่อมฉันจะจัดตำรับยาบำรุงร่างกายไว้ให้ฝ่าบาทดื่ม ถ้าหากร่างกายไม่สบายแล้วฝ่าบาทไม่ไว้ใจแพทย์จากสถาบันแพทย์หลวงพวกนั้น จามาระให้คนไปที่โรงหมอของหม่อมฉัน พอกับเหยียนเจินเหยียนฉีสองพ่อลูกได้""คนตระกูลเหยียน!" องค์จักรพรรดิเฒ่าเดิมทียังมีใบหน้าอ่อนโยน แต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา "พูดถึงคนตระกูลเหยียน การลงโทษพวกเขาจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้แล้ว!"องค์จักรพรรดิเฒ่ามองจั๋วซือหราน "แล้วเจ้ายังถูกใจท่านอ๋องตระกูลเฟิงคนนั้นอีกไหม แม้เขาตอนนี้จะหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลเหยียน แต่ไม่นานก็คงจบกันแล้ว"จั๋วซือหรานฟังถึงจุดนี้ สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก อันที่จริงความเป็นไปได้นี้ นางเองก็คาดเดาไว้แล้
องค์จักรพรรดิเฒ่าไม่ได้โง่ แน่นอนว่าฟังความหมายของจั๋วซือหรานออกนางให้ท่านแม่อยู่ในเมืองหลวง ก็เท่ากับเอาจุดอ่อนของตนเองไว้ในเมืองหลวง เพื่อให้องค์จักรพรรดิเฒ่าวางใจดังนั้นต่อให้เห็นแก่หน้า องค์จักรพรรดิเฒ่ากับอ๋องสำเร็จราชการแทน ก็ต้องคอยดูแลแม่ของนางอยู่ระดับหนึ่งดังน้้นองค์จักรพรรดิจึงบอกว่ นางเป็นคนฉลาดฉับไว แล้วยังอ่อนโยนจิตใจดีด้วย...พอได้ยินเสด็จพ่อพูดเช่นนี้ ซือคงเซี่ยนเดิมทียังคิดจะพูดอะไร แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง แค่ช่วงถอนหายใจเบาๆองค์จักรพรรดิเฒ่าก็เอียงตามองเขา "เอาล่ะ รู้ว่าเจ้าก็เป็นห่วง รีบไปเถอะ จริงด้วย นางทำถึงขนาดนี้แล้ว ถ้านางมีความต้องการอะไร หากไม่ใช่ปัญหาใหญ่ก็รับปากนางเถอะ""ทราบแล้ว" ซือคงเซี่ยนหลังจากรับคำ ก็ประสานมือบอกลาเสด็จพ่อ เดินตามจั๋วซือหรานไป"ท่านอ๋อง" จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งซือคงเซี่ยนก้มลงมองนาง "เดินช้าขนาดนี้ กำลังรอข้ารึ?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ใช่สิ ข้าจะไปจับชีพจรให้พระสนมเอกกับไทเฮาเองมันจะดูอึดอัดหน่อยๆ น่ะ"ซือคงเซี่ยนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ "หมอชายของสถาบันแพทย์หลวงแต่ก่อนนี้ยังรักษาให้ไทเฮาพระสนมอย่างสบายแท้ๆ เจ้าเป็นแค่หญิงสาวที่ย
จั๋วซือหรานแหงนตามองท่านแม่ผาดหนึ่ง "ท่านแม่อยากพูดอะไร? ทำไมพอจะพูดแล้วหยุดไปล่ะ?""หรานหราน ท่านอ๋องสำเร็จราชการแทนคนนั้นเหมือนจะมีความรู้สึกให้เจ้าใช่ไหม...""อา" จั๋วซือหรานขานรับ "ใช่""แล้วเจ้า..." เซี่ยอวิ๋นเหนียงมองนาง หลักๆ คือ พอคิดว่าลูกสาวตนเองดีขนาดนี้ กลับยังถูกเฟิงเหยียนทรยศทั้งที่มีคนที่ยอดเยี่ยมอย่างอ๋องสำเร็จราชการแทนที่สนใจนางอยู่แท้ๆ...จั๋วซือหรานฟังความหมายของเซี่ยอวิ๋นเหนียงออก นางยิ้มๆ "ท่านแม่ ต่อให้ข้าไม่ได้หลงเฟิงเหยียนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าหาชายคนไหนเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้เสียหน่อย"เซี่ยอวิ๋นเหนียงรู้ว่าลูกสาวฟังความกังวลในคำพูดนางออกเซี่ยอวิ๋นเหนียงถอนใจเบาๆ "ข้าก็แค่กังวล""ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย" จั๋วซือหรานนำสองมือกดบนบ่าเซี่ยอวิ๋นเหนียง "ท่านแม่ ข้าสบายดี ไม่มีอะไรหรอก"เซี่ยอวิ๋นเหนียงวางใจต่อตัวนางมาตลอด อันที่จริงก็ฟังออกว่า ลูกสาวเข้าวังครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อจับชีพจรให้พวกองค์จักรพรรดิเท่านั้นในขั้นตอนนี้ จะต้องเอาแม่คนนี้ไปฝากฝังไว้แล้ว ให้ช่วงที่นางต้องออกเดินทางไกล ไม่ต้องมาเป็นห่วงอันตรายของแม่ไม่ว่าจะตอนไหน สำหรับลูกสาวคนนี้ เซี
จวนตระกูลเฟิงเพราะช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจาก 'นังบ้า' นั่นวันวันเอาแต่มาสังหารคนที่จวนพลังคนคุ้มกันจวนตระกูลเฟิง จึงเพิ่มขึ้นมาไม่ใช่แค่เท่าตัวแต่หญิงสาวคนนั้นยังคงมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่อให้ถูกคนคุ้มกันพบตัวก็ไม่เกี่ยวอะไร ไม่ได้ทำให้การมาที่นี่ทุกวันของนางล่าช้าลงและในช่วงนี้ก็ถือว่าหยุดลงไปบ้าง พลังคนคุ้มกันของจวนตระกูลเฟิงจึงค่อยๆ กลับไปเป็นระดับธรรมดาแบบก่อนหน้าใครเองก็ไม่รู้ ว่าคืนนี้ คนที่ทำให้พวกเขาวุ่นวายใจมาตลอด จะลอบเข้ามาในจวนตระกูลเฟิงอีกครั้งเรือนแห่งหนึ่งที่แม้จะดูไม่ใหญ่นัก แต่มองแล้วก็สงบสงบเงียบงดงามร่างดำปราดเปรียวร่างหนึ่งอยู่บนสันหลังคา มองพระจันทร์สว่างบนฟ้าสูงริมฝีปากขยับเล็กน้อย เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง หากอยู่ใกล้เข้าไปหน่อย น่าจะได้ยินเสียงหึ่งๆ ประโยคหนึ่งจากปากนาง...พระจันทร์ที่ทั้งโตทั้งกลมแบบนี้ ไม่ถือเป็นคืนมืดมิดลมแรงเลยแฮะนางอยู่บนหลังคา มองเรือนที่อยู่ด้านล่างในเรือน ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เหมือนกำลังดื่มสุราชมจันทร์แต่ดวงตากลับปิดอยู่ เหมือนว่าหลับไปนานแล้วขวดสุราที่หว่างนิ้ว สุราหยดจากปากขวดไปบนพื้น สุราหย
จั๋วซือหรานเดินขึ้นหน้ามาหลายก้าว กระโจนลงมาจากหลังคาอย่างแผ่วเบา"เจ้าเองก็กล้านัก มองข้าเป็นคนตระกูลเฟิงที่เจ้าจัดการไปก่อนหน้านี้หรือ" เสียงเขายังคงราบเรียบ ไม่มีอุณหภูมิใด ฟังแล้วมีความน่าเกรงขามอันสูงส่งอยู่จั๋วซือหรานยังคงมีท่าทีคล้ายๆ กับก่อนหน้านี้ ยิ้มจางๆ เอ่ยขึ้นว่า "ไม่ใช่เสียหน่อย แต่ว่า ก็ไม่ได้จัดการยากกว่าพวกเขานักหรอก""พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน""ถ้าข้าคิดจะทุ่มสุดกำลังให้พังกันไปข้างล่ะก็ ต่อให้ข้าจะจบไม่สวย แต่ถ้าจะเอาท่านไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร" จั๋วซือหรานตอนที่พูดคำนี้ มุมปากยกโค้งขึ้น อุณหภูมิค่อยๆ ลดลงมาแล้วนางจ้องเขา ถามขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "จะลองดูไหมล่ะ?"นางจ้องเขม็งจั๋วซือหราน หลังจากมองไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า "ทำไมหรือ เจ้าเข้ามากลางดึก นั่งยองอยู่บนหลังคาข้าตั้งนานสองนาน แค่เพื่อจะมาทุ่มสำกำลังให้พังไปข้างอย่างนั้นเรอะ?"พอสิ้นเสียงเขา ก็เห็นว่าจั๋วซือหรานเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีแล้วบนหน้านางเริ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มตาหยี แม้รอยยิ้มนี้จะดูไม่ค่อยจริงใจนักก็ตามเพียงแต่ว่า นางก็เอ่ยเรียกเขาขึ้นว่า "ลุงเฟิง ที่ข้ามาครั้งนี้ มีเรื่องอยากให้ชี้แน
จั๋วซือหรานเห็นขั้นตอนสีหน้าขรึมลงของเฟิงอวี้อย่างชัดเจน ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้สีหน้าเขายังมีความอบอุ่นที่ไม่ใส่ใจแยแสอยู่บ้างล่ะก็ตอนนี้ กระทั่งความอบอุ่นสักนิดก็ไม่เหลืออยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นสีหน้ากับสายตาเขาตอนนี้ กระทั่งจั๋วซือหรานก็ยังรู้สึกว่า...อันตรายในความเป็นจริง หลังจากที่นางข้ามมาอยู่ในโลกแปลกหน้านี้ ก็ไม่ค่อยจะรู้สึกถึงความอันตรายแบบนี้เท่าไรนักดังนั้นตอนนี้จู่ๆ สัมผัสความรู้สึกนี้ได้ขึ้นมา บนหน้าแม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด แต่ในใจก็ญังสั่นสะเทือนขึ้นมาบ้างเหมือนกันสิ่งนี้ทำให้จั๋วซือหรานรู้สึกว่า บางทีเฟิงอวี้ที่ตนเองพบมาก่อนหน้านี้ เป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้นส่วนตัวจริงของเขา อันที่ซ่อนอยู่ลึกเอามากๆมือจั๋วซือหรานกำแน่นเล็กน้อย นิ้วกดไปบนแหวนเสวียนเหยียน เตรียมการรับมือต่างๆ เอาไว้แล้วถ้าหากเฟิงอวี้จะทำอะไรจริง อย่างน้อยนางก็ยังมีปฏิกิริยาได้ทันทีดวงตาจ้องเขม็งไปที่เฟิงอวี้ คอยจับการตอบสนองของสีหน้าเขาตลอดเวลากระทั่งยังไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วจั๋วซือหรานในที่สุดก็เจอกับการตอบสนองของเฟิงอวี้ พอจะถอนใจโล่งออกมาได้ เฟิงอวี้
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั