เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยอย่างปวดใจ “ถ้ารอให้เสียเปรียบก็สายไปแล้วน่ะสิ!”เฉี่ยวหลิง “......มีเหตุผล!”นางดูยันต์ไม่เป็น แต่หลังจากเห็นเฟิ่งชูอิ่งเขียนยันต์บ่อยๆ เข้า นางก็พอจะรู้ประเภทของแต่ละยันต์นางเป็นวิญญาณ ของพวกนั้นนางสัมผัสไม่ได้ ก็เลยช่วยอะไรไม่ได้ จึงตัดสินใจไปถูพื้นแทนจิ่งโม่เยี่ยฆ่าคนตายในห้องของนาง คราบเลือดก็เลยเลอะเต็มไปหมดหากว่าตามปกติแล้ว ห้องใครมีคนตายมากมายขนาดนี้ คงจะกลัวจนไม่กล้าอยู่กันแล้วแต่เรื่องนี้ไม่มีผลกับเฟิ่งชูอิ่ง พวกบ่าวชายที่ตายไปแล้ววิญญาณยังวนเวียนอยู่ในห้อง เฟิ่งชูอิ่งจึงบอกให้เฉี่ยวหลิงจับพวกเขามาช่วยทำความสะอาดในมุมมองของเฟิ่งชูอิ่ง การทำงานบ้านของเฉี่ยวหลิงก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยหนักไม่น้อย มีตัวทุ่นแรงดผล่มาทั้งที จะไม่ใช้ได้อย่างไรล่ะไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ห้องนี้สกปรกเพราะพวกเขาอีกต่างหากเฉี่ยวหลิงชี้นิ้วสั่งให้พวกเขาทำความสะอาดอย่างเป็นธรรมชาติตอนแรกพวกเขาไม่เต็มใจทำ พากันบ่นนั่นบ่นนี่ เฟิ่งชูอิ่งจึงบอกว่า “เฉี่ยวหลิง ต่อยพวกเขาเลย!”พวกเขาเป็นวิญญาณที่เพิ่งตาย จะไปสู้แรงของเฉี่ยวหลิงได้อย่างไร พอถูกต่อยเข้าสักพัก พวกเขาก็พากันเชื่อฟังอย่างดี พากัน
เฟิ่งชูอิ่งมองผู้ชายที่กำลังนอนน้ำลายยืดอยู่ตรงหน้า พลางคิดว่าสมองเขามีปัญหาแน่!ตั้งแต่เขามาถึงก็ใช้สายตาราวกับเจ็บปวดใจมองนาง ปากก็บ่นว่า “ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้?”“เจ้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าจะรอข้ากลับมา เผลอแปปเดียวเจ้าก็ไปหมั้นหมายกับชายอื่นแล้ว“เจ้าหมั้นหมายกับชายอื่นก็ยังพอทน แต่เจ้าดันรังแกท่านแม่ของข้าเช่นนี้อีก!“เจ้าทำตัวแบบนี้ ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน!“เจ้ารีบตามข้าไปพบท่านแม่เดี๋ยวนี้ ไปคุกเข่าขอขมาต่อหน้านาง แล้วข้าจะยอมให้อภัยแก่เจ้า ตำแหน่งอนุภรรยาข้าจะยังเก็บเอาไว้ให้เจ้า”เฟิ่งชูอิ่งนั่งนึกอยู่ครึ่งค่อนวันถึงได้นึกออกว่าไอ้เวรนี่เป็นใครเขาคือบุตรชายคนโตของหลินชูเจิ้ง---หลินอีฉุน แล้วก็น่าจะเป็นคนที่ดีกับร่างเดิมมากที่สุดแล้วในจวนสกุลหลินแต่สาเหตุที่เขาทำดีกับร่างเดิม เพราะต้องการทำเรื่องหน้าไม่อายเขาสั่งให้ร่างเดิมเชื่อฟังเขาทุกอย่าง เชื่อทุกสิ่งที่เขาพูดเขาทำให้ร่างเดิมยามเชื่อฟังพ่อแม่ของเขาแต่โดยดี แล้วยังช่วยดูแลคนในบ้านแทนเขาอีกต่างหากเขาเรียกร้องให้ร่างเดิมมอบกิจการทั้งหลายให้จวนสกุลหลิน บอกว่านางเป็นส่วนหนึ่งของจวนสกุลหลิน ดังนั้นควรจะทุ่มเทกายใจให้
“ข้าไม่ได้สมองมีปัญหานะ ถึงจะทิ้งตำแหน่งพระชายาไปเป็นอนุภรรยาของเจ้าน่ะ?”“เจ้าไสหัวออกไปเลยนะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก ไม่งั้นข้าจะทุบตีเจ้าทุกครั้งที่เห็นเลย”นางกล่าวจบก็ใช้เท้าขยี้ใบหน้าของเขาไปมา เขาเจ็บไม่น้อย แต่กลับเปล่งเสียงไม่ได้สักคำหลินหว่านถิงพุ่งตัวมาจากด้านข้าง “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าบ้าหรือไง! เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายข้าหรือ!”เฟิ่งชูอิ่งมองนางแวบหนึ่ง ยกมือตบใบหน้าหลินหว่านถิงแล้วเอ่ยว่า “ใช่ นอกจากข้าจะตีพี่ชายเจ้าแล้ว ข้าก็ตีเจ้าด้วย เจ้าจะทำไมล่ะ?”หลินหว่านถิงโกรธแทบบ้า คิดจะลงมือกับนางบ้าง แต่ช่วงนี้เฟิ่งชูอิ่งเหมือนคนคุ้มคลั่งเสียสติเกินไปเฟิ่งชูอิ่งจับหลินอีฉุนทุ่มลงพื้นได้ หลินหว่านถิงไม่คิดว่านางจะสู้ได้ดีกว่าหลินอีฉุนหรอกนะนางคิดจะเรียกให้คนมาช่วยจัดการเฟิ่งชูอิ่ง เฟิ่งชูอิ่งก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “เมื่อคืนพวกเจ้าเข้ามาจับชู้กัน ท่านอ๋องทรงโกรธมากเลย“หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว ท่านอ๋องก็รู้ว่าพวกเจ้าทำตัวไม่ดีกับข้า“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องจะมาเชือดพวกเจ้าทุกคนบ่าวไพร่พวกนั้นได้ยินปุ๊บ พวกเขาก็พากันถอยห่างไปหลายก้าวทันทีหลินหว่านถิง “.....
เขาเอ่ยหน้ามืดครึ้ม “นังสารเลวคนนี้น่าโมโหนัก!”เขาคิดมาเสมอว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นของตายของเขา แต่เพราะตอนนี้เขายังไม่ได้แต่งงาน กลัวว่าที่ภรรยาจะไม่พอใจ ก็เลยยังไม่ได้แตะต้องเฟิ่งชูอิ่งเขาวางแผนไว้อย่างดีแล้ว หลังจากแต่งงานเรียบร้อย เขาจะรับนางเป็นอนุภรรยาดังนั้นในจวนสกุลหลิน เขาจึงเป็นคนเดียวที่คัดค้านเรื่องการส่งนางไปแต่งงานกับอ๋องฉู่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนเองสามารถควบคุมเฟิ่งชูอิ่งได้อย่างสมบูรณ์ คิดว่าไหนๆ นางก็จะตายแล้ว ก่อนตายเขาก็ควรจะได้นอนกับนางเสียก่อนครั้งนี้เขาเดินทางมาจากสำนักศึกษา ยังคิดอยู่เลยว่าจะกล่อมให้เฟิ่งชูอิ่งยอมตกเป็นของตัวเองอย่างไรดีเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ทันทีที่เจอหน้ากับเฟิ่งชูอิ่ง นางก็จะลงมือทุบตีเขาทันที!หลินหว่านถิงถอนหายใจแล้วเอ่ย “พี่ชาย ท่านตัดใจจากนางเสียเถอะ”ยิ่งนางพูดแบบนั้น หลินอีฉุนก็ยิ่งหงุดหงิด เขาจะต้องนอนกับเฟิ่งชูอิ่งให้จงได้บ่าวไพร่ในเรือนที่มามุงดูเห็นเช่นนั้นก็พากันตกตะลึงในใจเฟิ่งชูอิ่งกล้าลงมือกระทั่งกับหลินอีฉุน แล้วพวกเขาจะไปเหลืออะไรล่ะถึงพวกเขาจะรู้สึกว่านางบ้าอยู่นิดหน่อย จะต้องถูกเจ้านายในจวนสกุลหลินจัดการอย่างโหดเหี้ยมแน่ แต่พว
เฟิ่งชูอิ่ง “......”การแสดงแบบที่เฉี่ยวหลิงทำให้ดู คาดว่าคงมีเพียงไม่กี่คนที่ทนรับไหวจากนั้นเฉี่ยวหลิงก็กล่าวปิดจบว่า “จิตของนางอ่อนมากเกินไป ห่างชั้นกับคุณหนูแบบเทียบไม่ติด เล่นกับนางไม่สนุกสักนิด”เฟิ่งชูอิ่ง “......เจ้ากล่าวสรุปได้ดีมาก แต่ครั้งหน้าอย่าคิดเองเออเองแบบนั้นอีกนะ เจ้าเอาข้าไปเทียบกับหลินหว่านถิง ก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้ากำลังดูถูกข้าหรอก”เฉี่ยวหลิงแลบลิ้นนางกล่าวอย่างเสียดายว่า “วันนี้ข้าเตรียมการแสดงไว้ให้นางชุดใหญ่เลยนะ แต่ข้าเพิ่งจะแสดงให้นางดูแค่อย่างเดียว นางก็ไม่ไหวเสียแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยแสดงอย่างอื่นให้นางดู”เฉี่ยวหลิงเบิกตาโตแล้วเอ่ยถาม “ครั้งหน้า? หลังจากนี้ข้ายังหลอกนางได้อยู่หรือ?”“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “คืนนี้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้นแหละ หลังจากนี้เจ้าสามารถไปพูดคุยเปิดอกกับนางได้ทุกวันเลย“อย่างไรเสียนางก็อยู่ถัดจากห้องของพวกเราไปนิดเดียว การไปชวนนางสนทนาไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร“อีกอย่าง เราไม่ควรปล่อยให้นางนอนหลับสบาย หากตอนกลางคืนนางนอนหลับสบายมากเกินไป เดี๋ยวก็หาเรื่องวางแผนมาทำร้ายข้าอีก
เฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะช่วยเหลือเช่นกัน จึงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร หากข้าตาย ท่านอ๋องมีชีวิตอยู่ต่อได้สักสามเดือน เดี๋ยวก็ตายตามข้ามาเอง“ข้าจะรอท่านอ๋องอยู่ที่ข้างสะพานไน่เหอ[footnoteRef:1] ตอนที่พวกเราแยกย้ายไปเกิดใหม่จะได้กลับมาเคียงคู่กันอีกครั้ง” [1: สะพานสำหรับข้ามแม่น้ำลืมเลือนที่วิญญาณต้องเดินผ่านเพื่อไปเกิดใหม่ ] จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองนางอย่างเย็นชา นางจึงคลี่ยิ้มบางๆ “ถึงข้ากับท่านอ๋องจะเกิดไม่พร้อมกัน แต่พวกเราสามารถตายพร้อมกันได้นะเพคะ“เรื่องแบบนี้แค่คิดก็รู้สึกถึงความหวานซึ้งแล้วเพคะ ข้าดีใจที่สุดเลย...โอ๊ย ท่านอ๋องตีข้าทำไมเพคะ!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยเคาะหัวนางไปทีหนึ่งก็เอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่เลิกพูดจาไร้สาระอีก ไม่ต้องรอให้คนในวังฆ่าหรอก ตายตั้งแต่อยู่บนรถม้าเลยก็ได้” เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีก เพียงนั่งเอามือกุมศีรษะอยู่ตรงมุมรถม้า พยายามทำตัวเหมือนอากาศธาตุให้ได้มากที่สุด อย่างไรเสียจิ่งโม่เยี่ยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนบ้า นางกลัวเขาจะเสียสติกะทันหันแล้วฆ่านางจริงๆ จิ่งโม่เยี่ยใช้หางตาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เขาเบื่อเกินกว่าจะสนใจนาง จึงหยิบตำราเล่มหนึ
ดูเหมือนตั้งแต่เขารู้จักเฟิ่งชูอิ่งมา นางก็ทำลายสถิติครั้งแรกในชีวิตของเขาแบบนับครั้งไม่ถ้วนเขามองนางอย่างเย็นชา นางจึงกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “เมื่อครู่นี้เป็นเพราะท่านอ๋องช่วยรับไว้ มิเช่นนั้นข้าจะต้องล้มแน่เลยเพคะ“ท่านอ๋องทรงดีมากจริงๆ เพคะ ไม่เสียแรงที่ข้าหลงรักปักใจท่านมาตลอด”นางคิดมาอย่างรอบคอบ ตรงนี้คือหน้าประตูวังหลวง จิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางกล้าลงมือสังหารนางตรงนี้แน่นอนในเมื่อตอนนี้ไม่มีทางตาย เช่นนั้นนางก็จะเอาคืนเขาต่อ อย่างไรเสียมันก็เป็นบทที่ต้องแสดงอยู่แล้ว ทำไมนางจะหาผลประโยชน์ใส่ตัวบ้างไม่ได้ล่ะจิ่งโม่เยี่ยเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามากที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมา แต๊ะอั๋งสักหน่อยก็ไม่เสียหายในนิยายบอกว่าเขาป่วยหนักจนร่างกายซูบผอม แต่ตอนที่นางแอบลูบคลำแผงอกเขาเมื่อกี้ กล้ามเนื้อของเขาเป็นมัดๆ ชัดเจน จับแล้วเพลินมือมากทีเดียวได้กำไรแล้วล่ะจิ่งโม่เยี่ยมองนางแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังหาเรื่องตายอยู่นะ!”เฟิ่งชูอิ่งจึงโผเข้าหาแผงอกเขาอีกครั้งแล้วลูบๆ คลำๆ กล้ามของอีกฝ่าย “ข้างนอกลมแรงยิ่งนัก พัดจนข้าหนาวไปหมดแล้ว ท่านอ๋องช่วยบังให้หน่อยสิเพคะ!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาคิดว่าตัวเอง
เขามีคิ้วคมดุจกระบี่ ดวงตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว ผิวออกจะคล้ำเล็กน้อย ตอนที่หันมาเห็นพวกเขาก็คลี่ยิ้มบางๆ รอยยิ้มของเขาเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์เสียอีก ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นอันแรงกล้าเขายิ้มแล้วเอ่ยเรียกว่า “พี่สาม!”จิ่งโม่เยี่ยถูกจัดอันดับรวมกับสมาชิกราชวงศ์ทั้งหมด เขาอยู่ลำดับที่สามหลังจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคต ฮ่องเต้เจาหยวนจึงประกาศว่าจะดูแลจิ่งโม่เยี่ยเหมือนบุตรชายในอุทรของตัวเอง เพื่อแสดงภาพลักษณ์ใจกว้างและความสนิทชิดเชื้อ ดังนั้นเขาจึงถูกจัดลำดับร่วมกับองค์ชายทั้งหมดตามอายุ อายุของเขาอยู่ในลำดับที่สาม ดังนั้นองค์ชายทั้งหมดจึงเรียกเขาว่าพี่สามจิ่งโม่เยี่ยปรายตามองเขาแล้วผงกศีรษะเพียงเล็กน้อย ก่อนจะพาเฟิ่งชูอิ่งเดินตรงเข้าไปข้างในจิ่งสือเยี่ยนมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้ “เจ้าคือเฟิ่งชูอิ่ง ว่าที่พระชายาของพี่สามสินะ?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “เพคะ มิทราบว่าท่านคือใครหรือ?”จิ่งสือเยี่ยนหันมายิ้มอวดฟันขาวให้นาง “ข้าคือองค์ชายห้าจิ่งสือเยี่ยน”เฟิ่งชูอิ่งก้มหน้าด้วยท่าทางมีมารยาท “ถวายบังคมองค์ชายห้า....”นางกล่าวจบก็คล้ายจะได้สติคืนมา เบิกตากว้างแล้วเอ่ยถ
เพียงแต่เขาดูแข็งแกร่งเกินไป แล้วยังมีวิชาเต๋าที่แกร่งกล้าคอยค้ำจุนเอาไว้ เขาไม่ยอมแสดงด้านที่อ่อนแอให้นางเห็น นางก็เลยไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนนางรู้ว่าความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดในใจของเขาคือเฟิ่งชิงหลิง ตอนนี้พอรู้ว่าเฟิ่งชิงหลิงวิญญาณแหลกสลายไปแล้ว ปณิธานดังกล่าวก็เลือนหายไปด้วยที่เขาทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะความปรารถนานั้น ตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ นางมองดูแสงดาวที่สลายไปของเหมยตงยวนอย่างเหม่อลอย แล้วถอนหายใจยาวนางเป็นปีศาจจิ้งจอก คิดว่าตัวเองเข้าใจด้านมืดของจิตใจมนุษย์แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่า ความรักที่ซ่อนเร้นไว้ มักจะถูกคนอื่นประเมินค่าต่ำไปสิ่งที่นางคิดว่าเป็นความเฉยชา กลับเต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้งที่สุดในโลกความปรารถนาเดิมของนางคือการฆ่าเหมยตงยวน แต่ตอนนี้เหมยตงยวนตายไปแล้ว นางกลับรู้สึกเสียใจอย่างมากระหว่างที่ทั้งสองจมอยู่ในความโศกเศร้า ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนแอบเข้ามาใกล้กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะรับรู้ถึงความผิดปกติที่คืบคลานเข้ามา ก็สายเกินไปเสียแล้ว มีฝ่ามือสับลงที่สันคอของนางอย่างแรงนางหันก
เฟิ่งชูอิ่งรีบหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งแปะลงบนตัวเหมยตงยวน เพื่อระงับโทสะและพลังอำนาจด้านมืดที่พลุ่งพล่านออกมาจากตัวเขานางร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง “ท่านพ่อ!”แต่เหมยตงยวนไม่ได้หันมองนาง เพียงพึมพำว่า “ข้าเป็นคนฆ่าเฟิ่งชิงหลิง ข้าเป็นคนทำให้นางต้องตาย!”“ตอนนั้นทำไมข้าต้องออกไปทำภารกิจด้วย ข้าควรจะฆ่าเจ้าสำนักให้เร็วกว่านี้”เดิมทีจิ้งจอกสือซานเหนียงมั่นใจว่าเฟิ่งชิงหลิงถูกเขาฆ่าตาย แต่เมื่อเห็นสภาพเขาเช่นนี้ก็รู้ว่าตนเองคิดผิดเพราะเฟิ่งชิงหลิงวิญญาณสลายไปแล้ว เหมยตงยวนก็ตายไปแล้วเช่นกันในสถานการณ์เช่นนี้ เหมยตงยวนไม่จำเป็นต้องหลอกนางอีกจิ้งจอกสือซานเหนียงฝึกฝนอย่างหนักตลอดหลายปีมานี้ก็เพื่อฆ่าเหมยตงยวน แต่ตอนนี้นางกลับพบว่า ความเกลียดชังที่นางมีต่อเหมยตงยวนมานานหลายปีกลับสูญเปล่าตอนนี้นางรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปนางพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ในเมื่อเจ้ามีคุณหนูอยู่ในใจ ทำไมตอนนั้นถึงไม่แสดงออกให้ชัดเจนกว่านี้?”“คุณหนูเคยคิดว่าเจ้าไม่เคยรักนางสักนิด ซ้ำยังคิดว่าเจ้าเกลียดชังนางด้วย”ตอนที่เฟิ่งชิงหลิงยังมีชีวิตอยู่ นางคิดมาตลอดว่าสาเหตุที่เหมยตงยวนบุกเข้าไปในดินแ
“เจ้าสำนักมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง สามารถเปลี่ยนร่างเป็นคนอื่นได้ตามใจชอบ”“ข้าถูกเขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักข้าดีที่สุด ดังนั้นการที่เขาจะเปลี่ยนร่างเป็นข้าจึงเป็นเรื่องง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งเฟิ่งชูอิ่งและจิ้งจอกสือซานเหนียงก็ตกตะลึงเหมยตงยวนกำมือแน่น “ข้าคือผู้ที่เขาเลือกเฟ้นอย่างดีให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป”“เขาคิดว่าการจะเป็นเจ้าสำนักได้ต้องตัดเยื่อใยไร้ความรัก เมื่อเฟิ่งชิงหลิงตาย ข้าก็จะไม่มีพันธะใดๆ ในโลกนี้อีก ตอนนั้นข้าถึงจะคู่ควรกับตำแหน่งเจ้าสำนักลี้ลับ”“แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยทะเลาะกับเขาอย่างรุนแรงเรื่องของชิงหลิง เขาจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก”“แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้!”ก่อนออกไปทำภารกิจ เขาแอบไปเยี่ยมเฟิ่งชิงหลิง พบว่าอาการของนางดีขึ้นมากแล้วด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงวางใจออกไปทำภารกิจด้านนอกแต่เมื่อเขาย้อนกลับมาอีกครั้ง นางก็จากไปแล้วเหมยตงยวนเคยติดใจสงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เพราะเขาสืบไม่พบเบาะแสใดใดยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเฟิ่งชิงหลิงเสียชีวิตแล้ว เขาก็หาดวงวิญญาณของนางไม่พบ จึงคิดไปว่านางคงไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไปใน
เหมยตงเหยวนรีบเถียงว่า “ข้าเคยวางยาพิษนางตอนไหนกัน?”จิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะเยาะ “เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีก เจ้านี่มันเลวถึงแก่นจริงๆ!”สิ้นเสียง นางก็เหวี่ยงดาบในมือรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมเฟิ่งชูอิ่งทนดูไม่ได้ จึงหาโอกาสแปะยันต์ตรึงกายาใส่จิ้งจอกสือซานเหนียงจิ้งจอกสือซานเหนียงขยับเขยื้อนไม่ได้ นางจึงเอ่ยด้วยความเดือดดาล “แกะยันต์ออกไป ข้าจะฆ่าไอ้คนทรยศนี่เพื่อแก้แค้นให้คุณหนู!”เฟิ่งชูอิ่งนวดขมับ “ถ้าเจ้าสงบพอจะพูดคุยกันอย่างมีสติได้เมื่อไหร่ ข้าจะปล่อยเจ้าเอง”“หากพ่อข้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ คงไม่ลำบากตามหาแม่ข้าจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็คงใช้กระบี่ปลิดชีพเจ้าไปนานแล้ว”จิ้งจอกสือซานเหนียงโมโหจนหอบหายใจรุนแรง ก่อนจะกัดฟันตอบว่า “ก็ได้ ข้าอยากจะฟังเหมือนกันว่าเขาจะแก้ตัวอย่างไร!”ในใจของเหมยตงยวนเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง เขาเอ่ยถามว่า “เจ้าบอกว่าข้าวางยาพิษชิงหลิง มีหลักฐานหรือไม่? อยู่ดีๆ ข้าจะวางยาพิษนางเพื่ออะไรกันล่ะ?”จิ้งจอกสือซานเหนียงเบ้ปากใส่ “เจ้ายังกล้าถามเช่นนี้อีก หน้าด้านจริงๆ!”“ตอนแรกที่คุณหนูล้มป่วย เจ้าเป็นคนส่งยามาให้นางกินทุกวัน ซึ่งตอนนั้นอาการของคุณหนูก็ดีขึ้น
ก่อนหน้านี้นางได้ยินข่าวว่าเหมยตงยวนถูกฆ่าตายแล้ว นางรู้สึกสะใจมาก แต่ก็ยังรู้สึกว่าแค่นี้มันยังไม่พอคนอย่างเหมยตงยวนสมควรวิญญาณแตกสลายไม่ได้ผุดได้เกิด!เพียงแต่นางรู้ดีว่าเหมยตงยวนนั้นเก่งกาจมาก ถึงแม้เขาจะตายไปแล้วก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ดังนั้นนางจึงยิ่งฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อเพิ่มพลังปีศาจของตัวเองให้แกร่งกล้า นางถึงขั้นยอมใช้วิธีการที่ผิดบาป เมื่อครู่นี้นางได้ยินพวกนักพรตพูดว่าเหมยตงยวนใช้กระบี่เพียงเล่มเดียวสังหารเจ้าอาราม และใช้พลังของตนเองเพียงอย่างเดียว ขวางคนของอารามเทียนอี้ทั้งหมดไว้ได้จิ้งจอกสือซานเหนียงยอมรับว่านางไม่มีความสามารถเช่นนี้ เหมยตงยวนคนนี้แข็งแกร่งกว่าในความทรงจำของนางมากการจะฆ่าเหมยตงยวนนั้นยากกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้เฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้ว "พ่อข้าจะวางยาพิษฆ่าแม่ข้าได้อย่างไร?"จิ้งจอกสือซานเหนียงมองเฟิ่งชูอิ่งแล้วบอกว่า "นอกจากเจ้าจะพบกับเหมยตงยวนแล้ว ยังหลงเชื่อคำพูดของเขาด้วยสินะ”"ตอนแรกคุณหนูไม่มีทางตายได้หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะดื่มยาพิษที่เขาส่งมาให้ นางจะถูกพิษเล่นงานจนตายได้อย่างไร”"หลังจากคุณหนูตายไปแล้ว วิญญาณของนางก็น่าจะกลับไปยังปรโลก หรือเร่รอน
ตอนนี้ผิวน้ำเปื้อนไปด้วยเลือด ปลากินคนก็ยิ่งคลั่งหนัก พากันแหวกว่ายไปรวมตัวตรงจุดที่มีเลือดผุดขึ้นมากระดาษยันต์ไฟในมือของเฟิ่งชูอิ่งมอดดับลง พวกเขามองไม่เห็นสถานการณ์บนผิวน้ำอีกต่อไปแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ความน่าจะเป็นที่จิ่งสือเยี่ยนจะรอดชีวิตนั้นมีน้อยมากเนื่องจากจิ่งสือเยี่ยนเป็นพระเอกของเรื่อง เป็นผู้มีบุญญาธิการอย่างแท้จริง ตอนนี้ยังไม่เห็นศพของเขา เฟิ่งชูอิ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะตายจริงหรือไม่เพราะจิ่งสือเยี่ยนตอนที่ถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงดูดพลังไปเกือบหมด ยังสามารถหนีออกมาจากเงื้อมมือของนางได้ แล้วยังดวงดีบังเอิญไปเจอทางออกลับอีกเส้นด้วยโชคชะตาของเขาช่างแข็งแกร่งจริงๆเพื่อความปลอดภัย นางรู้สึกว่าพวกเขาควรจะต้องป้องกันไว้ก่อน “ถ้าจิ่งสือเยี่ยนยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องหาวิธีติดต่อกับคนของเขาอย่างแน่นอน”จิ่งโม่เยี่ยพยักหน้า “ข้าจะส่งคนไปดักเขาที่ทางออกของแม่น้ำใต้ดิน”“ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ต้องเห็นคน ตายแล้วต้องเห็นศพ”เฟิ่งชูอิ่งเห็นด้วยกับวิธีการของเขาเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างการไปดักฆ่าจิ่งสือเยี่ยน ไม่จำเป็นต้องให้เฟิ่งชูอิ่งเข้าร่วมด้วยหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยออกมาจา
เฟิ่งชูอิ่งดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “อย่ากระโดดลงไป ในแม่น้ำใต้ดินนี้มีปลากินคน ถ้าเขากระโดดลงไปแบบนี้จะต้องถูกปลากินคนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแน่นอน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองนาง คิดว่านางกำลังพูดไร้สาระ หรืออาจจะกำลังใช้เล่ห์กลทางจิตวิทยา หลอกให้จิ่งสือเยี่ยนเสียขวัญนางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปที่ริมแม่น้ำ ดึงแผ่นไม้กั้นน้ำที่อยู่ริมฝั่งออกมาแผ่นหนึ่งเมื่อแผ่นไม้กั้นน้ำเปิดออก ก็มีปลาสีดำนับไม่ถ้วนพากันแหวกว่ายออกมาปลาเหล่านั้นมีลักษณะหัวโต ฟันแหลมคม ดูท่าทางดุร้ายมากจิ่งโม่เยี่ย “......”เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีปลากินคน?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ชิงหยวนบอกข้า”ชิงหยวนทำหน้ามึนงงแล้วพูดว่า “เอ๊ะ? ข้าบอกเจ้าหรือ? ข้าบอกเจ้าตอนไหนกัน?”“แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้เลย!”เขาก้มลงมองแผนที่เส้นทางลับ แต่บนแผนที่ก็ไม่ได้บอกว่าที่นี่มีปลากินคนอยู่ด้วย!เฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าดูแผนที่ที่เจ้าวาดอย่างละเอียด แล้วก็ศึกษาภูมิศาสตร์ของอารามเทียนอี้”“โดยพื้นฐานแล้ว ทางลับทั้งหมดและภูมิศาสตร์ของอารามเทียนอี้อยู่ในรูปแบบของสัญลักษณ์บ่อน้ำ( )”“สัญลักษณ์บ
เดิมทีจิ่งโม่เยี่ยตั้งใจจะตามไปทางเรือ แต่เมื่อขึ้นไปบนเรือแล้วก็พบว่าก้นเรือรั่ว มีคนใช้กระบี่งัดก้นเรือจนเป็นรูขนาดใหญ่เขาไปดูอีกสองลำ ปรากฏว่าเป็นแบบเดียวกันหมดเฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้ว “จิ่งสือเยี่ยนทำอะไรก็รอบคอบเหมือนเดิมเลย”“เขาไม่เพียงแต่รอบคอบ แต่ยังเด็ดขาดมากด้วย”เรือพัง พวกเขาก็ไม่มีทางตามไปได้อีกในใจนางนึกชื่นชม สมกับเป็นพระเอกของนิยายต้นฉบับ มีโชคทางวาสนาหนุนหลัง สถานการณ์แบบนี้ยังหนีไปได้อีก สุดยอดจริงๆจิ่งโม่เยี่ยคำนวณระยะทางในใจ “เราขวางจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้แล้ว ครั้งนี้คงต้องสู้กันหนักแน่”เพียงแค่จิ่งสือเยี่ยนรวมพลกับกองกำลังของเขาได้ เขาก็จะมีทหารนับแสนในทันทีในสถานการณ์เช่นนี้ จิ่งโม่เยี่ยต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆเขานึกถึงคำทำนายที่เฟิ่งชูอิ่งเคยทำนายให้เขา เขาคิดว่านางทำนายได้แม่นยำมากจริงๆเฟิ่งชูอิ่งกัดริมฝีปากเบาๆ “สถานการณ์แบบนี้ เราทำได้แค่หาทางขวางเขาไว้ก่อน”“ถ้ามีโอกาสฆ่าเขาก่อนจะรวมพลกับกองกำลังได้ ก็ต้องลงมืออย่างเด็ดขาด”จิ่งโม่เยี่ยก็คิดเหมือนกับนางถึงแม้ว่าตอนนี้โอกาสที่จะตามเขาไปทันจะมีน้อย แต่พวกเขาก็ต้องลองดู จะไม่ยอมแพ้แบบนี้โดยเด็ดข
ชิงหยวนตอบว่า “ทางลับเส้นนี้เป็นความลับสุดยอดของอาราม ปกติจะไม่เปิดใช้งาน”“ข้าก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่”“ตามที่ข้าเห็นในแผนผัง น่าจะอยู่แถวนั้น”พูดจบ เขาก็ชี้ไปทางมุมหนึ่งอันที่จริงแล้วตอนอยู่ในทางลับ ทิศทางที่เขาชี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก เพราะมันมีทางหลักเพียงเส้นเดียวถ้ำของจิ้งจอกสือซานเหนียง เดิมทีถูกออกแบบโดยผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักลี้ลับ มีไว้สำหรับเก็บเสบียงอาหารเพียงแต่เนื่องจากเวลาผ่านไปนาน ทางเข้าเล็กๆ แห่งนั้นก็ถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงทำกลไกบางอย่าง ดังนั้นคนของอารามเทียนอี้จึงไม่มีใครเดินผ่านไปทางนั้นเมื่อชิงหยวนพูดเรื่องนี้ออกมา ทุกคนก็รู้สึกว่าคนของสำนักลี้ลับช่างรักตัวกลัวตายจริงๆ สร้างทางลับยังต้องทำอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยากขนาดนี้พวกเขาเดินไปตามทิศทางที่ชิงหยวนบอก แต่ก็ไม่พบทางลับตามที่เล่าลือกัน เฟิ่งชูอิ่งมองไปที่เขา “เจ้าจำผิดหรือเปล่า”ชิงหยวนดูไม่ค่อยแน่ใจ “ไม่น่าจะผิดนะ”พูดจบ เขาก็ดึงปิ่นไม้บนหัวออกมาแล้ววาดแผนที่ทางลับลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วาดทางแยกในตำแหน่งที่สอดคล้องกันเขายังไม่ได้วาดทางแยกเสร็จ ก็วาดสถานที่ที่ทาง