เฉี่ยวหลิงไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้วจริงๆนางหันไปมองเด็กสาวตัวน้อยที่นอนหลับอย่างน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ตรงนั้น ด้วยความรู้สึกสงสารเด็กสาวตัวน้อยดูน่ารักมาก แต่เพราะได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าจึงยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ ดูแล้วน่าสงสารยิ่งนักเฟิ่งชูอิ่งมองนางแล้วพูดว่า "ข้าจะไปเรียกท่านพ่อก่อน จะได้รักษาแผลให้นางสักหน่อย"เหมยตงยวนเข้ามาตรวจดูอาการของเด็กสาวตัวน้อยอย่างรวดเร็วเด็กสาวตัวน้อยไม่มีปัญหาอะไรมาก เพียงแต่ขาดสารอาหารเป็นเวลานาน ประกอบกับวันนี้เจอเรื่องกระทบจิตใจมากเกินไปและเสียเลือดไปมาก จึงหมดสติไปเหมยตงยวนทำแผลให้นางแล้วปล่อยให้นางนอนหลับพักผ่อน หลังจากนั้นก็บำรุงร่างกายให้ดีหลังจากเฟิ่งชูอิ่งฟังจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นเด็กสาวตัวน้อยมาก่อน เพียงแต่ฟังคำบรรยายของเสนาบดีฝ่ายซ้าย คิดว่าถึงแม้พ่อแม่นางจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เพื่อนบ้านข้างเคียงก็ยังดูแลนางอยู่บ้างแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางคิดผิดมหันต์เด็กสาวตัวน้อยขาดสารอาหารเป็นเวลานาน แสดงว่าความเป็นอยู่ของนางยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขประกอบกับสิ่งที่เฉี่ยวหลิงเห็นในวันนี้ แสดงว่านางถูกเพื่อนบ้า
เฟิ่งชูอิ่ง “......”ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเลือกใช้วิธีผิด ถ้าตอนนั้นเขาหาวิธีพาเด็กสาวตัวน้อยกลับไปที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายโดยตรง ปัญหานี้อาจจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกนางลูบหัวเด็กสาวตัวน้อยแล้วพูดว่า "เจ้าวิเคราะห์ได้ถูกต้อง"ในเวลานั้นเอง ปู๋เยี่ยโหวก็เดินเข้ามาในห้องทานอาหาร "ชูชู ได้ยินมาว่าจุดอ่อนของเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกเฉี่ยวหลิงพาเข้าจวนแล้วหรือ?"หลังจากพูดจบเขาก็สังเกตเห็นเด็กสาวตัวน้อย "หา เด็กคนนี้เองหรือ? ดูแล้วเป็นเด็กที่ทั้งน่ารักและเรียบร้อยนี่นา!"เขาหมายความว่าเด็กสาวตัวน้อยดูไม่น่ารำคาญชวนไม่สบอารมณ์เหมือนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเด็กสาวตัวน้อยเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขา นางดึงชายแขนเสื้อของเฟิ่งชูอิ่งแล้วพูดว่า "ท่านยังบอกอีกว่าท่านไม่ใช่เทพธิดา!""ท่านเป็นเทพธิดา ส่วนเขาเป็นเทพเซียน!"ในสายตาของนาง ไม่ว่าจะเป็นเฟิ่งชูอิ่งหรือปู๋เยี่ยโหว ต่างก็งดงามเกินความเป็นจริงเหมือนกับภาพวาดเฟิ่งชูอิ่งคลี่รอยยิ้มอย่างจนใจ ขณะที่ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะอย่างชอบใจ "เด็กน้อย เจ้ามีสายตาที่ยอดเยี่ยม! เอาล่ะ อันนี้ข้าให้เจ้า"หลังจากพูดจบเขาก็ยื่นกล่องใบหนึ่งให้เด็กสาวตัวน้อย ข้างใน
เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ไม่ใช่ ข้าเป็นสหายของเขา”เด็กสาวมองเฟิ่งชูอิ่งกับปู๋เยี่ยโหวสลับไปมาหลายรอบ เหมือนจะสื่อว่าอ๋อ ที่แท้พวกท่านก็เป็นแบบนี้กันนี่เอง!เฟิ่งชูอิ่ง “…...”ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ!ปู๋เยี่ยโหวเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เด็กน้อย เจ้าอยากกินอะไรก็บอกมาได้เลยนะ ข้าจะให้ห้องครัวทำให้”เด็กสาวตอบ “ข้าอยากกินขาไก่”ในความคิดของนาง นี่คืออาหารที่ราคาแพงที่สุดแล้วปู๋เยี่ยโหวรีบสั่งห้องครัวให้ทำอาหารทันทีดังนั้น ตอนเที่ยงเด็กสาวก็ได้กินขาไก่ที่นางแทบจะไม่เคยมีโอกาสได้กินถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงให้นางอยู่ที่นี่ แต่นางก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายกับนางเด็กสาวหนีไปไหนไม่ได้ จึงได้แต่อยู่ที่จวนของปู๋เยี่ยโหวไปก่อนตอนที่เฉี่ยวหลิงพาเด็กสาวมา นางไม่ได้เอาเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย แม้จะเอาเสื้อผ้าของเด็กสาวมาด้วย เสื้อผ้าของอีกฝ่ายก็ขาดรุ่งริ่งทั้งหมดเพราะเด็กสาวเข้าใจผิดคิดว่าเขากับเฟิ่งชูอิ่งมีความสัมพันธ์กันในเชิงคนรัก ปู๋เยี่ยโหวจึงรู้สึกว่าเด็กสาวช่างมีสายตาที่เฉียบแหลม เขาจึงค่อนข้างชื่นชอบเด็กสาวคนนี้ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ช่างตัดเย็บในจวนทำเสื้อผ้าให้เด
ถึงแม้ว่าตอนนี้เด็กสาวจะเชื่อใจแค่เฉี่ยวหลิง แต่การที่ยอมเชื่อเฉี่ยวหลิงแล้วย้ายเข้าไปอยู่ในจวนปู๋เยี่ยโหวก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมากเขาได้ยินเฟิ่งชูอิ่งเล่าเรื่องที่เพื่อนบ้านทำกับเด็กสาว ดวงตาของเขาก็สาดประกายเย็นชาด้วยฐานะของเขา การจัดการกับพวกที่รังแกเด็กสาวนั้นง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นคนที่รักษาคำพูด หลังจากที่เด็กสาวย้ายเข้าไปอยู่ในจวนปู๋เยี่ยโหว เขาก็เขียนราชโองการฉบับใหม่ขึ้นมาและประทับตราลงไปเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตะลึงเมื่อเห็นตราประทับบนราชโองการฉบับนั้นนี่แหละที่เรียกว่าของปลอมที่เหมือนของจริงยิ่งไปกว่านั้นเขายังใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่าง เรียกได้ว่าไม่มีที่ติเลยแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของตราลัญจกรก็ยังสมบูรณ์แบบที่สำคัญคือ ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหน ถึงทำให้ราชโองการดูเก่าได้เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ฝีมือของเสนาบดีฝ่ายซ้ายนี่สุดยอดจริงๆ!""ต่อไปไม่ต้องเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้ว ไปตั้งแผงขายของบนสะพานข้ามแม่น้ำ รับรองรวยเละแน่นอน!"เสนาบดีฝ่ายซ้ายลูบเคราแล้วพูดว่า "ก็แค่ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น""ด้วยชื่อเสียงของข้า ไม่ต้องไปตั้งแผ
แม้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะวางแผนและหาทางปกป้องจิ่งโม่เยี่ยไว้มากมาย หาทางเตรียมขุนนางที่เป็นกำลังสนับสนุนไว้ให้หลายคน รวมถึงเขียนพระราชโองการทิ้งไว้ให้ด้วยแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จิ่งโม่เยี่ยต้องการเลยสักนิด สิ่งที่เขาต้องการคือความรักบริสุทธิ์จากคนเป็นพ่อเขาไม่สนใจว่าจะมีอำนาจมากแค่ไหน ไม่สนใจว่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์หรือไม่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเลือกเส้นทางที่เขาไม่อยากเดินมากที่สุดให้กับเขาก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่มีต่อพระสนมสวี่ แต่หลังจากเขาตกหลุมรักเฟิ่งชูอิ่ง เขาจึงเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่ารัก และรู้ซึ้งถึงความขมขื่นของการรักอีกฝ่ายข้างเดียวเพียงแต่คนที่เขาชอบคือเฟิ่งชูอิ่ง เฟิ่งชูอิ่งที่เฉลียวฉลาดและสดใสราวแสงตะวัน ฉะนั้นสิ่งที่เขาเห็นคือความสว่างไสวส่วนคนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรักคือพระสนมสวี่ พระสนมสวี่ผู้โหดเหี้ยมอำมหิต ฉะนั้นสิ่งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมองเห็นจึงเป็นความมืดมนฮ่องเต้พระองค์ก่อนจมดิ่งสู่ความมืดมิด และเลือกวิธีการอันแยบยลมากที่สุดในการจบชีวิตตนเองจิ่งโม่เยี่ยนึกถึงท่าทีของไทเฮาและคำพูดที่ดูเหมือนจะเก็บซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้หลาย
จิ่งโม่เยี่ยหยุดเท้าเล็กน้อย พูดเบาๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก คำปลอบใจสำหรับข้ามันดูเกินความจำเป็นไปสักหน่อย”“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่เดินตามรอยเท้าของเสด็จพ่อ เพราะข้ารู้ว่าเจ้ากับพระสนมสวี่นั้นแตกต่างกัน”“พระองค์ไม่เคยได้รับหัวใจของพระสนมสวี่เลย ถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เหมือนตายทั้งเป็น”“ส่วนข้า เคยได้รับหัวใจของเจ้ามาก่อน เป็นข้าเองที่ทำให้ความเชื่อใจของเจ้าหล่นหายไป ข้ามีชีวิตอยู่ก็เพื่อชดใช้หนี้ก้อนนี้”เขาก้าวยาวๆ และเดินจากไป ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ขวางเขาอีกเพราะนางรู้ว่าหากตนเองไม่อาจทำใจอยู่ร่วมกับเขาได้ การรั้งตัวเขาไว้ในตอนนี้ก็ถือเป็นการทำร้ายเขาอีกทางหนึ่ง ไม่รั้งตัวเขาไว้จะเป็นการดีกว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเมื่อครู่นั้นทำให้นางรู้สึกตกใจ คำพูดของเขาก็ทำให้นางประหลาดใจ นางไม่คิดจริงๆ ว่าเขาจะคิดเช่นนี้ในมุมมองหนึ่ง จิ่งโม่เยี่ยเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในบรรดาคนที่นางเคยพบเจอ แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งสูงส่ง หรือยศถาบรรดาศักดิ์มากเพียงใดก็ตามเฟิ่งชูอิ่งหยิบราชโองการขึ้นมากางดู นางรู้สึกว่าไม่ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะเลือกเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม มันก็เป็น
ครั้งที่แล้วที่เจ้าอาวาสมาหานางที่เรือนรับรอง นางให้ยันต์เขาไปเยอะมากยันต์ของนางขายดิบขายดี ทั้งยังราคาสูงขึ้นกว่าเดิมอีก ทำให้ส่วนแบ่งครั้งนี้เยอะกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้รับคำชม เจ้าอาวาสก็คุยโวด้วยสีหน้าพึงพอใจว่า “ตอนนี้ข้าก็รู้สึกว่าอนาคตของข้าสดใสมากเลยล่ะ”“ไม่พูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยอารามในตอนนี้ก็เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เลย”“ข้าคิดว่าอีกไม่นาน พุทธศาสนาจะเหยียบย่ำลัทธิเต๋าได้แน่”ทันใดนั้นเอง เหมยตงยวนก็เดินเข้ามา “จริงหรือ?”พอเจ้าอาวาสเห็นเหมยตงยวน ก็นึกถึงเรื่องที่เกือบโดนเหมยตงยวนซ้อมที่เรือนรับรองเขารีบพูดว่า “ไม่ ไม่ พุทธศาสนาจะถูกเหยียบย่ำโดยลัทธิเต๋าตลอดไป!”เขารู้สึกว่าตัวเองหลงระเริงเกินไปจริงๆ ถึงได้กล้าพูดแบบนี้ออกมาไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่เขาเรียกเฟิ่งชูอิ่งว่าอาจารย์ แต่เฟิ่งชูอิ่งดันเป็นลูกสาวของเจ้าสำนักลี้ลับเฟิ่งชูอิ่งก็เก่งมากพอแล้ว ฝีมือของเหมยตงยวนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเห็นเหมยตงยวนยังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาก็นึกขึ้นได้และพูดว่า “อาจารย์ของข้าเป็นคนของสำนักลี้ลับ พุทธศาสนาจะด้อยกว่าสำนักลี้ลับตลอดไป”เหมยตงยวนฟังเข
เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางขี้ขลาดของเขา ก็ไม่รู้สึกว่าคำพูดของเขาน่าเชื่อถือเท่าไหร่แต่ก็ยังสามารถลากเขาไปสร้างภาพได้ ในเวลาจำเป็นก็สามารถลากมาเป็นเครื่องมือได้ส่วนเจ้าอาวาสคิดว่า ครั้งที่แล้วเฟิ่งชูอิ่งสามารถบุกทะลวงอารามเทียนอี้ได้ ครั้งนี้ก็น่าจะทำได้เช่นกันแต่ครั้งนี้อารามเทียนอี้ต้องเตรียมพร้อมอย่างแน่นอน หากมีอันตรายจริงๆ เขาก็แค่เผ่นหนีไปเหมือนเดิมก็พอหากนางมีอันตราย มีคนตั้งมากมายรอช่วยเหลือนางอยู่แต่ถ้าเขาตกอยู่ในอันตราย คงไม่มีใครสนใจเขาหรอกพอคิดเช่นนี้ เจ้าอาวาสก็ไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยศิษย์และอาจารย์ต่างก็มีแผนการในใจ ต่างคนต่างคิดแผนการของตัวเองแต่นี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการที่ศิษย์และอาจารย์ จะร่วมมือกันวางแผนต่อกรกับอารามเทียนอี้เหมยตงยวนเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน พักหนึ่งก็ยิ้มร้าย พักหนึ่งก็ส่ายหน้า พักหนึ่งก็พยักหน้า มุมปากของเขาก็กระตุกเบาๆหูของเขาดีอย่างมาก จึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจนความจริงแล้วก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นศิษย์และอาจารย์กันได้ตอนนี้ดูเหมือนว่า พวกเขามีความคิดที่เข้ากันได้ดีเหมยตงยวนไม่ค่อยชอบเจ้า
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท