ฮ่องเต้เจาหยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตรัสกับขันทีว่า “ไปเอาพู่กันกับหมึกมา ข้าจะเขียนราชโองการสละราชสมบัติ!”ขันทีปาดน้ำตาที่หางตา แล้วขานรับเบาๆ ก่อนจะไปหยิบของที่จำเป็นสำหรับการเขียนราชโองการฮ่องเต้เจาหยวนทรงยึดติดและหวงแหนอำนาจมาโดยตลอด หากพระวรกายไม่ถึงขีดจำกัดจริงๆ คงจะไม่ยอมแต่งตั้งองค์รัชทายาทเฟิ่งชูอิ่งตัดสินใจอยู่ที่เมืองหลวงชั่วคราวเนื่องจากเรื่องของเฉี่ยวหลิง หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับจิ่งโม่เยี่ยแล้ว ในใจของนางก็มีแผนคร่าวๆ รอเอาไว้เดิมทีจิ่งโม่เยี่ยมายังจวนโหว เพียงแค่คิดจะกินข้าวแล้วก็กลับไป แต่เพราะเฟิ่งชูอิ่งตกลงที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงไม่อยากกลับไปแล้วเขาไม่ได้ถามเฟิ่งชูอิ่งซ้ำอีกว่านางจะยอมให้โอกาสเขาอีกครั้งหรือไม่ เพราะเขารู้ว่าบางครั้งเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบสำหรับเขาแล้ว การที่นางไม่ได้ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่แค่ได้ลงมือทำอะไรบางอย่างไปพร้อมกับนาง เขาก็มีความสุขมากแล้วปีใหม่นี้ คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงไม่ได้ใช้ช่วงเวลาอย่างมีความสุขนักจนกระทั่งวันส่งท้ายปี บนท้องถนนก็ไม่มีบรรยากาศคึก
การลอบสังหารแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในเมืองหลวง ทำให้สถานการณ์โดยรวมดูเลวร้ายมากจวนตระกูลซูทางตะวันตกของเมืองซูโหย่วเหลียงถามผู้ดูแลข้างกายว่า “ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”ผู้ดูแลตอบ “เลวร้ายมาก ขุนนางหลายคนไม่พอใจท่านอ๋องจิ่งโม่เยี่ยมาก”ซูโหย่วเหลียงพยักหน้าเบาๆ “ทำได้ดี โหมข่าวเรื่องนี้ให้ใหญ่โตขึ้นไปอีก”ผู้ดูแลพูดด้วยความกังวล “แต่อ๋องจิ้นเพิ่งส่งคนมาบอกให้เราอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”ซูโหย่วเหลียงพูดอย่างดูถูก “เขามักจะระมัดระวังเกินไป เรื่องแบบนี้ฟังเขาไม่ได้หรอก”“โอกาสดีแบบนี้ เราต้องไม่ปล่อยให้หลุดมือ”“ตอนนี้เขาพูดแบบนี้กับข้า ภายหลังก็จะขอบคุณข้าเอง เพราะอำนาจต้องแย่งชิงมา ความมั่งคั่งย่อมมีความเสี่ยง”ตอนนี้ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด มีเพียงองค์ชายจิ่งสือเยี่ยนเท่านั้นที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในสายตาของเขาหากจิ่งสือเยี่ยนแย่งอำนาจจากจิ่งโม่เยี่ยมาได้ในครั้งนี้ บัลลังก์ก็จะตกเป็นของจิ่งสือเยี่ยนและถ้าจิ่งสือเยี่ยนได้ขึ้นครองราชย์ เขาก็จะเป็นผู้ที่สร้างคุณงามความดีมากที่สุดเขายังเป็นลุงแท้ๆ ของจิ่งสือเยี่ยนด้วย ต่อไปต้องได้เป็นขุนนางผู้มีอำนาจล้นฟ้าแน่นอนเมื่อนึกถึงภาพนั้น
ฉินจื๋อเจี้ยนล่วงรู้แผนการของจิ่งโม่เยี่ยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วเดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้ถึงเวลาลงมือได้แล้ว แต่จิ่งโม่เยี่ยกลับให้เขารออีกหน่อย ทำให้เขากังวลอยู่บ้างแต่เขาก็เชื่อในการตัดสินใจของจิ่งโม่เยี่ย ถ้าจิ่งโม่เยี่ยบอกว่ายังลงมือไม่ได้ ก็คงต้องรอไปก่อนเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินความเคลื่อนไหวในเมืองหลวง ก็เพียงแต่ยิ้มรับเขาไม่สนใจเรื่องแย่งชิงอำนาจ ตอนนี้เขาคิดเพียงแต่จะหาวิธีเอาใจสาวน้อยคนนั้นมาที่จวนเสนาบดีให้ได้ครั้งที่แล้วหลังจากออกมาจากจวนผู้ว่าราชการ เขาได้ไปหาสาวน้อยคนนั้นอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่สาวน้อยไม่สนใจเขาเลยคคนรับใช้เดินเข้ามรายงานว่า “เสนาบดีฝ่ายซ้าย มีขุนนางหลายท่านมาขอพบที่หน้าประตูขอรับ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายปฏิเสธทันที “ไม่พบ”คนรับใช้มีสีหน้าลำบากใจ “แต่ว่า…”ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของท่านรองผู้ว่าตู้ดังขึ้น “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ครั้งนี้ท่านต้องออกมาจัดการให้ความเป็นธรรม!”“อ๋องผู้สำเร็จราชการทำเกินกว่าเหตุ ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง นับเป็นภัยต่อแผ่นดิน!”เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินดังนั้นจึงถามว่า “เจ้าให้ข้าจัดการให้ความเป็นธรรม เจ้าอยากให้ข้าจัดการอย่าง
พ่อครัวปาดน้ำตาพลางพูดว่า “นิดหน่อยขอรับ”จิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “งั้นเจ้าถอยไป ข้าจะเคี่ยวเอง”“เจ้าคอยดูอยู่ข้างๆ ถ้ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง เจ้าก็คอยชี้แนะข้า”พ่อครัวตกใจแทบจะคุกเข่าลง ให้ความกล้าเขาสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าชี้จุดผิดของจิ่งโม่เยี่ยยู่ดีจิ่งโม่เยี่ยยังพูดต่ออีกว่า “เจ้าต้องบอกข้านะ ถ้าน้ำแกงไก่ที่ข้าเคี่ยวไม่อร่อย เจ้าต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว!”พ่อครัวคุกเข่าลงกับพื้นทันทีจิ่งโม่เยี่ย “......”เขาก็ไม่ได้พูดอะไร พ่อครัวคนนี้ขี้ขลาดเกินไปหน่อยแล้วฉินจื๋อเจี้ยนเดินเข้ามาจากข้างนอกแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ขข้างนอกโวยวายกันหนักมาก พวกเขาต่างก็เรียกร้องให้ท่านออกไป”สีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยไม่เปลี่ยนแปลง “พวกเขาอยากเจอข้า ข้าก็ต้องไปเจอพวกเขาหรือ? พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”ฉินจื๋อเจี้ยน “......”เอาเถอะ นี่แสดงว่ายังไม่ถึงเวลาเหมาะสม จิ่งโม่เยี่ยยังคงถ่วงเวลาพวกคนข้างนอกต่อขณะที่พ่อครัวก็อยากให้จิ่งโม่เยี่ยออกไปจากครัวเร็วๆ อย่ามาสร้างความเดือดร้อนในครัวของเขาอีกเลยจิ่งโม่เยี่ยไม่มีพรสวรรค์ในการทำอาหารเลยสักนิด เขาอยู่ในครัวก็เหมือนกับหายนะเดินได
จิ่งโม่เยี่ยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงด่าทอรอบข้าง เขาถือว่าอีกฝ่ายกำลังผายลมใส่เขาสำหรับพวกโง่เง่าแบบนี้ เขาคร้านจะอธิบายด้วยซ้ำเขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ไร้มนุษยธรรม? พวกเจ้าคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำนี้”“หากข้าไร้มนุษยธรรมจริง ๆ พวกเจ้าคงตายไปนานแล้ว”เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับได้ยินอย่างชัดเจน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปหลายครั้งมีคนโกรธจัดและเอ่ยว่า “ถึงแม้ท่านจะเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ ท่านก็ไม่สามารถทำตัวอวดดีเช่นนี้ได้!”“ท่านไม่เพียงแต่ปิดล้อมจวนของมหาราชครู แต่ยังเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ในเมืองหลวงอีกด้วย จริยธรรมบกพร่อง ไม่คู่ควรเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ!”“นักปราชญ์ยอมตายได้ แต่ไม่ยอมถูกเหยียดหยาม ถ้าท่านมีความสามารถก็ฆ่าพวกเราให้หมดเลยสิ!”จิ่งโม่เยี่ยพูดกับทุกคนว่า “หมายความว่าวันนี้ พวกเจ้ามาหาที่ตายหรือ?”“งั้นเอาแบบนี้ ใครในหมู่พวกเจ้าอยากตายก็ก้าวออกมาได้เลย ข้าจะทำให้สมปรารถนาเอง”เมื่อพูดอย่างนี้ ก็ไม่มีใครยอมก้าวออกมาจิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เมื่อครู่พวกเจ้าไม่ใช่ว่าอยากตายกันหรอกหรือ? ทำไม? ตอนนี้กลัวแล้วหรือ?”การที่ทุกคนมาสร้างความ
“ถ้าหากเป็นของปลอม ก็สามารถมาสอบถามข้าได้ทุกเมื่อ”เหล่าขุนนางต่างตกตะลึงกับหลักฐานเหล่านั้น พวกเขาเพียงแค่เหลือบมองก็รู้ว่ามันเป็นของจริงหากท่านมหาราชครูทำเรื่องเช่นนี้จริง ๆ เขาก็ไม่เพียงแต่เป็นคนเลวทราม แต่ยังเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างแท้จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความเคารพที่ทุกคนมีต่อเขาก็เป็นเพียงเรื่องตลก!การที่พวกเขาออกมาปกป้องมหาราชครูในครั้งนี้ จึงดูโง่เขลาสิ้นดีแต่คนที่สามารถเป็นขุนนางในราชสำนักได้ ต่างก็คิดว่าตัวเองฉลาด จึงไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองโง่ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเริ่มไม่พอใจมหาราชครูขึ้นมาสามส่วนในใจจิ่งโม่เยี่ยเข้าใจนิสัยของขุนนางในเมืองหลวงเป็นอย่างดี เขาจึงไม่พูดอะไรมาก ปล่อยให้พวกเขาดูเอกสารหลักฐานกันไปเขาวางแผนมานานหลายวัน ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลแล้วมิเช่นนั้น คนเหล่านี้อาจคิดว่าเขารังแกได้ง่าย ๆครึ่งชั่วยามต่อมา มหาราชครูก็ถูกเชิญตัวมาเมื่อเขามาถึง ทุกคนก็ตกตะลึงไปทันทีเพราะเขาเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าซีดเซียว ผมหงอกขาวไปกว่าครึ่งศีรษะ ดูเหมือนแก่ลงไปสิบกว่าปีจิ่งโม่เยี่ยเห็นสภาพของเขาก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาแค่สั่งให้คนล้อ
หลังจากที่มหาราชครูพูดจบ เขาก็คิดว่าทุกคนจะต้องเข้าข้างเขาและประณามจิ่งโม่เยี่ยแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทุกคนกลับมองเขาด้วยสายตาแปลกๆมหาราชครูไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมองเขาแบบนั้นจิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ข้าไม่เคยคิดที่จะตัดรากถอนโคนพวกเจ้าเลย และก็ไม่เคยคิดที่จะใช้อำนาจลงโทษเป็นการส่วนตัวด้วย”“วันนี้ที่เชิญมหาราชครูมา ก็ไม่ได้ต้องการจะไต่สวนคดีเป็นการส่วนตัว แต่ต้องการให้มหาราชครูมาดูบางสิ่ง”พูดจบ เขาก็ให้คนนำม้วนเอกสารเหล่านั้นมาวางไว้ตรงหน้ามหาราชครูหลังจากที่มหาราชครูเห็นสิ่งเหล่านั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก และพยายามที่จะทำลายสิ่งเหล่านั้นเขาคิดว่าพระสนมสวี่คงจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับจวนมหาราชครู แต่กลับไม่คิดว่านางจะรู้มากขนาดนี้สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้มหาราชครูเสียชื่อเสียงได้!จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ห้ามมหาราชครู เพียงเอ่ยว่า “ข้าให้คนคัดลอกสิ่งเหล่านี้ไว้หลายชุดแล้ว ต่อให้มหาราชครูฉีกชุดนี้ไปก็ไม่เป็นไร”มหาราชครู “......”มหาราชครู “!!!!!”เขาไม่คิดจริงๆ ว่าจิ่งโม่เยี่ยจะทำเรื่องพวกนี้ได้มากมายภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้มีคนอดไม่ไ
จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเรียบว่า “ถึงแม้ข้าจะเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ แต่ข้าก็ไม่ได้ดูแลเรื่องการไต่สวนลงทัณฑ์”“เรื่องการพิจารณาคดี ควรให้ผู้เชี่ยวชาญมาทำดีกว่า จะได้ไม่มีใครกล่าวหาว่าข้าลำเอียง”“เอาล่ะ ไปเชิญขุนนางผู้ดูแลกระทรวงยุติธรรมทั้งสามมา”คำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา ทำให้คนที่ยังแคลงใจในตัวเขาคลายความสงสัยจนหมดสิ้นการพิจารณาคดีร่วมกันของทั้งสามกระทรวงแบบนี้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ท่านมหาราชครูมองเห็นผู้คนที่กำลังซุบซิบนินทาตัวเองรอบด้าน ก็รู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไปดวงตาของเขามืดลงเหมือนจะหมดสติ แต่จิ่งโม่เยี่ยก็เข้ามาประคองไว้ได้ทันจิ่งโม่เยี่ยหันไปบอกหมอหลวงที่รออยู่ข้างๆ ว่า “ท่านมหาราชครูอายุมากแล้ว ทนรับความกดดันไม่ไหว”“เจ้าดูแลเขาหน่อย อย่าให้เขาเป็นลมหรือหัวใจวายตายเพราะความอับอาย”หมอหลวงมองท่านมหาราชครูแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ”คนที่ซูโหย่วเหลียงส่งมาปะปนอยู่ในกลุ่มคน พอเห็นภาพนี้ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้วเดิมทีพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ส่งเสียงดังที่สุดในฝูงชน ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยเปิดเผยหลักฐานมัดตัวของท่านมหาราชครู พวกเขาก็ถึงกับอึ้งไปเลยซูโหย่วเ
เฟิ่งชูอิ่งคิดว่านี่คือการมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวทุกคนรู้ว่าสถานที่อย่างอารามเต๋าหรือวัดพุทธเป็นเหมือนสิ่งต้องห้ามสำหรับภูตผีปีศาจ ปกติแล้วพวกมันไม่กล้าเข้าใกล้สถานที่แบบนี้แต่จิ้งจอกสือซานเหนียงไม่ใช่ปีศาจทั่วไป นางเป็นปีศาจที่แม้แต่พลังมังกรก็ยังกล้าดูดกลืนในสถานการณ์เช่นนี้ นางจะหนีไปซ่อนตัวที่อารามเทียนอี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเฟิ่งชูอิ่งจึงกล่าวว่า "แม้ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้จะแข็งแกร่งมาก แต่มันอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับจิ้งจอกสือซานเหนียง""ทหารองครักษ์ค้นหาทั่วภูเขาใกล้เคียงแล้วแต่ก็ยังไม่พบ ถ้าอย่างนั้นก็ลองไปค้นหาอารามเทียนอี้ดูเถอะ"จิ่งโม่เยี่ยเห็นด้วยกับความคิดของนาง จึงให้ทหารองครักษ์ไปค้นหาที่อารามเทียนอี้แต่ทหารองครักษ์กลับมาอย่างรวดเร็วและรายงานว่าค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้ถูกเปิดใช้งานแล้ว พวกเขาเข้าไปไม่ได้ทั้งจิ่งโม่เยี่ยและเฟิ่งชูอิ่งเคยเห็นพลังค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้มาแล้ว ตอนนั้นถ้าจิ่งโม่เยี่ยมาช่วยไม่ทันเวลา เฟิ่งชูอิ่งคงโดนยิงจนพรุนเป็นรังผึ้งไปแล้วเฟิ่งชูอิ่งถามด้วยความสงสัยว่า "ปกติค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้จะ
จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกจากใจจริงว่าวิชาของเฟิ่งชูอิ่งนั้นลึกลับเกินคาด แถมยังแสดงออกมาในรูปแบบที่เหนือความคาดหมายของเขาอีกด้วยมีนางคอยช่วยเหลือ เขาก็ผ่อนคลายสบายใจขึ้นมากในสถานการณ์เช่นนี้ จิ่งโม่เยี่ยคิดว่าแผนการทั้งสองสามารถดำเนินการพร้อมกันได้ให้หลางซานและฉินจื๋อเจี้ยนไปปราบปรามทหารที่จิ่งสือเยี่ยนส่งมา ส่วนจิ่งโม่เยี่ยจะไปตามหาจิ้งจอกสือซานเหนียงกับเฟิ่งชูอิ่งองครักษ์ที่จิ่งสือเยี่ยนพามาล้วนถูกจิ่งโม่เยี่ยจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเขาถูกส่งตัวไปที่คุกของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดหลังจากเฟิ่งชูอิ่งได้รับข่าวที่จิ่งโม่เยี่ยส่งมา นางก็รีบเดินทางมาพร้อมกับเหมยตงยวนทันทีเมื่อเหมยตงยวนมาถึง เขาก็ร่ายคาถาสำรวจบรรยากาศรอบๆ แล้วพยักหน้าว่า “เป็นสือซานเหนียง”เฟิ่งชูอิ่งยิ้ม “เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรมาตลอด พอมาวันนี้กลับได้พบโดยไม่ต้องออกแรง”“พวกเราตามหาสือซานเหนียงมานานแต่ไม่เห็นวี่แวว ไม่คิดว่าจะได้เบาะแสในเวลาแบบนี้”เหมยตงยวนมองสำรวจไปรอบๆ “ครั้งก่อนนางโดนปู่เยี่ยโหวทำร้ายจนอาการสาหัส ในเวลาสั้นๆ แบบนี้ร่างกายนางคงยังไม่หายดี”“นางปรากฏตัวออกมาในเวลาแบบนี้ คงเพราะอยากจะรักษาอาการบาดเจ็
ทันทีที่หลางซานเห็นจิ่งโม่เยี่ยก็รีบตรงเข้ามาสอบถามว่า “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก พวกเราแค่เจอปีศาจจิ้งจอกเท่านั้นเอง”หลางซาน “......”เรื่องปีศาจแต่ก่อนมีอยู่แค่ในนิทานปรัมปราและตำนานพื้นบ้าน ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้พวกเขาจะได้พบเจอกับของจริงหลางซานมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยสีหน้าแปลกๆ จิ่งโม่เยี่ยจึงถามว่า “มองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม?”หลางซานทำท่าเหมือนอยากพูดแต่ก็ไม่กล้า จิ่งโม่เยี่ยจึงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง หลางซานจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ ท่านอ๋องควบคุมตัวเองได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”จิ่งโม่เยี่ย “......”นี่มันคำถามอะไรกัน?หลางซานสบตากับแววตาดุดันของเขา แล้วแข็งใจกล่าวต่อว่า “ข้า... ข้าน้อยได้ยินมาว่าปีศาจจิ้งจอกเก่งกาจเรื่องมารยาสตรีมากที่สุด”“ไม่มีผู้ชายคนไหนที่เจอปีศาจจิ้งจอกแล้วจะรอดกลับมาได้ ท่านอ๋องเพิ่งจะปรับความเข้าใจกับพระชายา ถ้าหากว่า...”เขายังพูดไม่จบ จิ่งโม่เยี่ยก็เอามือวางบนด้ามกระบี่ เขาจึงรีบเปลี่ยนคำพูดแบบทันควัน “แต่ท่านอ๋องไม่ใช่บุรุษธรรมดา”“หัวใจของท่านอ๋องมีไว้เพื่อพระชายาเท่านั้น ไม่มีใครแทนที่ได้”“อย่าว่าแต่ปีศาจจิ
จิ้งจอกสือซานเหนียงเป็นปีศาจไม่ใช่มนุษย์ นางจึงไม่ได้ใส่ใจศีลธรรมมากมายนัก ไม่รู้สึกว่าการที่นางดูดพลังมังกรจากคนอื่นเป็นเรื่องผิดแล้วนางก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวฮ่องเต้ของพวกมนุษย์แม้แต่น้อยก็แค่ผู้ชายที่มีตาสองข้างปากหนึ่งปาก ถอดเสื้อผ้าจับโยนลงบนเตียงก็เหมือนกันหมดนิสัยนางค่อนข้างจะบิดเบี้ยว ก่อนจะเปิดฉากสู้กับจิ่งโม่เยี่ย นางไม่ได้มุ่งมั่นว่าจะต้องจับเขามานอนด้วยให้ได้แต่ถ้ามีโอกาสได้ก็ต้องคว้าเอาไว้ เพราะสำหรับนางเขาคือยาบำรุงชั้นดีหลังจากสู้กับจิ่งโม่เยี่ยแล้ว นางก็รู้สึกว่าต้องได้ผู้ชายคนนี้มาครอบครองให้ได้!ดังนั้นตอนที่นางลงมือจึงยิ่งบ้าคลั่ง อยากจะกดจิ่งโม่เยี่ยลงใต้ร่างแล้วสูบพลังให้สาสมใจทันทีนางเพิ่มพลังขึ้นจนถึงขีดสุด พุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเพราะนางบำเพ็ญเพียรมานานหลายปี ในตอนที่บันดาลโทสะ วิชาหลากหลายแขนงก็ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันต่อให้จิ่งโม่เยี่ยจะเก่งกาจขนาดไหน พอต้องเจอกับการโจมตีที่ไม่ใช่ทางกายภาพ เขาไม่มีทางรับมือได้อยู่แล้วไม่นานเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงใช้ผ้าแพรขาวมัดจนขยับเขยื้อนไม่ได้จิ้งจอกสือซานเหนียงหอบหายใจขณะเอา
พอทหารองครักษ์คนนั้นพูดจบ หมอกขาวก็ยิ่งรวมตัวกันรวดเร็วยิ่งขึ้นจิ่งโม่เยี่ยขมวดคิ้ว เพราะเขารู้ว่าคำพูดของทหารองครักษ์เป็นความจริงเขาจ้องมองหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างเย็นชา ร่างกายนิ่งสงบเหมือนภูเขาหมอกขาวกลืนกินทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เขา ทำให้ทุกคนหายวับไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องโวยวายหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยอยู่กับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิชาของพวกศาสตร์ลี้ลับทั้งหลายในความคิดของเขา แม้ว่านี่จะไม่ใช่วิชาของสำนักลี้ลับ แต่มันก็อาจจะคล้ายคลึงกันหลายส่วนเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาจากรอบๆ ผู้ชายทั่วไปได้ยินแล้วคงเผลอหลงใหล แต่เขาฟังแล้วรู้สึกรำคาญ เพราะนั่นไม่ใช่เสียงของเฟิ่งชูอิ่งในใจของจิ่งโม่เยี่ย ผู้หญิงในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือเฟิ่งชูอิ่ง และอีกประเภทหนึ่งคือผู้หญิงคนอื่นเขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อทำให้เฟิ่งชูอิ่งยอมตกลงปลงใจแต่งงานกับเขาตอนนี้ดันมีปีศาจที่ไหนไม่รู้มาเกี้ยวพาเขาแบบนี้ ถ้าเฟิ่งชูอิ่งรู้เรื่องนี้เข้า คงจะต้องโกรธมากแน่ๆจิ่งโม่เยี่ยมองไม่เห็นอะไรเลยในม่านหมอกหนา เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพับแล้วมัดปิดตาตัวเองพริบตา
พลังหยาง พลังมังกรและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่นางต้องการ นางต้องได้ทั้งหมดนั่นมาครอง!ตอนแรกจิ่งสือเยี่ยนโดนวิชาของเฟิ่งชูอิ่งเล่นงานจนอาการย่ำแย่อยู่แล้ว มาตอนนี้ยังถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงสูบพลังอีก ทำให้โชคชะตาของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็วพลังมังกรสามารถคุ้มครองป้องกันร่างกาย ไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้ได้แต่ตราบใดที่ปีศาจไม่มีจิตสังหาร พลังมังกรก็จะไม่สนใจและปล่อยผ่านไปจิ่งสือเยี่ยนโดนจิ้งจอกสือซานเหนียงเล่นงานจนเกือบหมดแรงนอนเหี่ยวแห้งตายแต่จิ้งจอกสือซานเหนียงเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจ "เจ้าดูเหมือนจะร้ายกาจ แต่กลับได้แค่นี้เอง?"จิ่งสือเยี่ยน “......”จิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!”เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกผู้หญิงดูถูกเรื่องความสามารถทางด้านนั้น!เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ตอนนี้เจ้าคงสาสมใจแล้ว ปล่อยข้าไปได้หรือยัง?"เขาร้อนใจอย่างมาก หากยังไม่รีบไปตอนนี้อีก เกรงว่าจะถูกจิ่งโม่เยี่ยตามมาทันจิ้งจอกสือซานเหนียงตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า "ข้าเคยบอกตอนไหนว่าทำครั้งเดียวแล้วจะปล่อยเจ้าไป?"จิ่งสือเยี่ยนเบิกตากว้างจ้องมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขา
ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่จิ้งจอกสือซานเหนียงพลาดท่าเสียทีในการยั่วยวนผู้ชายตลอดหลายปีมานี้ ก็คงเป็นตอนที่นางได้เจอกับปู๋เยี่ยโหว และเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นทันทีที่สบตากับจิ่งสือเยี่ยน นางก็มั่นใจได้ทันทีว่า ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่พวกหื่นกามจนขึ้นสมอง แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนเจ้าชู้อยู่บ้างไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาเขาก็รู้แล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะคิกคัก นางเอื้อมมือไปคล้องคอเขา “ค่ำคืนนี้ช่างวิเศษจริงๆ”จิ่งสือเยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็แทงกระบี่เข้าใส่จิ้งจอกสือซานเหนียงแบบไม่บอกกล่าวแต่การโจมตีของเขากลับพลาดเป้า สาวงามในอ้อมแขนก็หายวับไปในทันทีสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลาดการโจมตีครั้งแรก การจะลงมือครั้งต่อไปย่อมยากขึ้นจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะเยาะ “ข้าว่าแล้วเชียว ผู้ชายที่ยิ้มหน้าระรื่นได้แบบเจ้าไม่ใช่คนดีอะไรเลย”“ปากก็พูดจาไพเราะอ่อนหวาน แต่การกระทำกลับโหดเหี้ยมสิ้นดี!”“กับผู้ชายแบบนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”ทันทีที่นางพูดจบ จิ่งสือเยี่ยนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างพันอยู่ที่ขา ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง สิ่งนั้นก็ลากเขาลงไปกองกับพื
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่รู้สึกได้ว่าการหนีออกจากเมืองหลวงในวันนี้ เรียกได้ว่าทุกอย่างเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เขาก็ยิ่งไม่รู้เลยจิ่งสือเยี่ยนมีวรยุทธ์ไม่เลว ไม่ขาดแคลนทั้งความกล้าหาญและกลยุทธ์แต่ในขณะนี้ หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งเกาะ มีบางสิ่งกำลังหลุดออกจากการควบคุมจิ่งสือเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักกระบี่ออกมา ตะโกนเสียงดังว่า “ใครกำลังเล่นตลกอยู่?”ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่หลังจากได้รู้จักกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็เริ่มเชื่ออีกครั้งเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนที่มีวิชาอาคมสูงส่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเห็นมาปฏิกิริยาแรกของเขาคือคนที่ซุ่มโจมตีเขาในวันนี้ อาจเป็นเฟิ่งชูอิ่งก็ได้ แต่ไม่นานเขาก็ปัดความคิดนี้ทิ้งเพราะถ้าเฟิ่งชูอิ่งลงมือจริง นางจะให้วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างกายนางจัดการโดยตรง จะไม่ปิดบังอำพรางเช่นนี้จิ่งสือเยี่ยนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะถูกสิ่งสกปรกบางอย่างตามรังควานจิ่งสือเยี่ยนพูดเสียงดังว่า “เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้”เสียงที่ตอบกล
จิ่งสือเยี่ยนคิดว่าการเดินทางผ่านหมู่บ้านอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก จึงเลือกที่จะเดินทางผ่านป่าแทนแต่แล้วม้าของเขาก็ติดกับดักอีกครั้ง ครั้งนี้ม้าเกิดอาการตื่นตระหนกม้าที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาจากองครักษ์นั้นดีดดิ้นเหมือนกำลังคุ้มคลั่ง จนเขากระเด็นตกจากหลังม้าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเท่าไหร่ ตอนที่ถูกม้าเหวี่ยงออกไป ร่างของเขาฟาดเข้ากับต้นไม้อย่างแรงมีเสียงดัง “โครม!” ก่อนจิ่งสือเยี่ยนจะกลิ้งลงมาจากต้นไม้ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนเอวจะหัก ปวดจนทนแทบไม่ไหวองครักษ์ของเขาช่วยพยุงเขาขึ้นมาและดึงม้าที่ตื่นตระหนกกลับมาจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็ไม่ได้เป็นอะไร มีแค่ม้าของเขาเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองค่อนข้างโชคร้ายคืนนี้การเดินทางไม่คืบหน้าไปไหน แล้วเขายังต้องตกม้าถึงสองครั้ง เจอเรื่องแบบนี้แม้แต่พระอิฐพระปูนก็ยังโมโห นับประสาอะไรกับจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธแต่การตกม้าครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เขาเคล็ดเอวด้วยจึงไม่สามารถขี่ม้าได้อีกสักพักเ