สีหน้าของเฟิ่งชูอิ่งก็เปลี่ยนไปเช่นกัน หากเขาจะปิดเมือง ตอนนี้นางจะกลับออกไปได้อย่างไร?ในใจนางรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าการตัดสินใจของจิ่งโม่เยี่ยเป็นเพราะเรื่องส่วนตัว หรือเพราะคำฟ้องนั้นมีอานุภาพร้ายแรงกันแน่?เดิมทีนางก็อยู่ข้างๆ เขาอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เลยขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีกหน่อย เหลือบมองเนื้อหาข้างบนเอกสาร จากนั้นนางก็ขยับไปยืนด้านข้างเหมือนเดิมเอาเถอะ ช่วงเวลานี้เขาปิดเมืองตรวจสอบ ถือว่าจำเป็นอย่างยิ่งเพียงแต่นางแย่แล้วล่ะ ตอนนี้แม้แต่ออกไปข้างนอกก็ออกไปไม่ได้มหาราชครูและฮองเฮาเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปมหาราชครูกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “พระสนมสวี่เพ้อเจ้อ นางไม่ถูกกับฮองเฮามาโดยตลอด เกรงว่าจะใส่ร้ายป้ายสี!”แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับไม่มั่นใจนักเพราะเขารู้ดีว่าตลอดหลายปีมานี้ เขาได้ทำอะไรลงไปบ้างเขาก็ไม่รู้ว่าคำฟ้องของพระสนมสวี่เขียนอะไรไว้เขาอยากจะแย่งคำฟ้องนั้นมา แต่คำฟ้องอยู่ในมือของจิ่งโม่เยี่ย เขาไม่คิดว่าตนเองจะมีความสามารถเช่นนั้นจิ่งโม่เยี่ยกล่าวกับมหาราชครูว่า “ใส่ร้ายป้ายสีหรือไม่ ตรวจสอบดูก็รู้”“ข้าให้ความเคารพมหาราชครูมาโดยตลอ
ฮองเฮาอยากจะกลับไปฉีกหน้าพระสนมสวี่ใจจะขาด แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้พระสนมสวี่เห็นท่าทางฮองเฮาก็หัวเราะชอบใจ คิดว่าจิ่งโม่เยี่ยก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างหลังจากฮองเฮาและมหาราชครูเดินไปไกลแล้ว พระสนมสวี่ก็พูดกับจิ่งโม่เยี่ยว่า "ถ้าเจ้าฆ่าเฟิ่งชูอิ่งนังตัวร้ายนี่ได้ ต่อไปข้าก็ยังเป็นแม่ของเจ้าเหมือนเดิม"จิ่งโม่เยี่ยได้ยินก็หัวเราะ "เจ้ากล้าพูดแบบนี้กับข้าได้อย่างไร?""ตอนข้ายังเด็ก เจ้าพูดแบบนี้อาจจะทำให้ข้าหวั่นไหวได้บ้าง แต่ตอนนี้ข้าฟังแล้วรู้สึกขำมากกว่า"พระสนมสวี่มองไปที่จิ่งโม่เยี่ย เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ค่อยแต่จ้องมองนางอย่างที่นางจำได้อีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาเติบโตเป็นหนุ่มรูปงามสง่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางได้มองจิ่งโม่เยี่ยอย่างจริงจัง และเพิ่งสังเกตว่าเขามีเค้าโครงหน้าเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อนมากขึ้นแต่จิตวิญญาณในดวงตากลับคล้ายนางอยู่บ้าง ทำให้ดูมีอารมณ์ความรู้สึกที่ลึกซึ้งอยู่บ้างนางเพิ่งค้นพบว่าจิ่งโม่เยี่ยไม่เพียงแต่สุขภาพแข็งแรงกว่าองค์ชายสิบสามเท่านั้น แต่ความสามารถและรูปร่างหน้าตาก็ดีกว่ามากด้วยไม่ว่าจะด้านไหน จิ่งโม่เยี่ยก็เหนือกว่าองค์ชายสิบสามอยู่มากนางรู
เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของพระสนมสวี่แบบนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดเสียงดังว่า “หากวันใดพระสนมสวี่เปลี่ยนใจ ก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”พอพระสนมสวี่ได้ยินคำนี้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าเฟิ่งชูอิ่งรู้เรื่องระหว่างนางกับเทียนซือนางแค่นเสียงฮึดฮัด ไม่หันหลังกลับไปมองเฟิ่งชูอิ่งนานๆ ทีอยากทำความดี พระสนมสวี่กลับไม่ให้โอกาสนาง นางก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้างณ เวลานี้ ผู้คนในจวนผู้ว่าราชการก็เริ่มสลายตัวไปเสนาบดีฝ่ายซ้ายเดินมาข้างๆ เฟิ่งชูอิ่งแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าช่วยเหลือเจ้าแล้วนะ”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ข้อขอให้ท่านช่วยหรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขารู้สึกว่านิสัยแบบนี้ของนางไม่เป็นที่ชื่นชอบจริงๆเขามองนางแล้วพูดว่า “การเป็นคนต้องรู้จักตอบแทนกัน เจ้าไม่ได้ขอให้ช่วยก็จริง แต่ข้าช่วยเจ้าเอง เจ้าก็ช่วยข้าสักครั้งได้หรือไม่?”เฟิ่งชูอิ่งกำลังจะพูด จิ่งโม่เยี่ยก็คว้ามือของนางไว้แล้วพูดว่า “ในเมืองหลวงอันตราย เจ้ากลับจวนกับข้าก่อนเถอะ”“ส่วนเรื่องของเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร รออีกสักพักค่อยจัดการก็ได้”ตอนที่เฟิ่งชูอิ่งหลอกเสนาบดีฝ่ายซ้าย จิ่งโม่เยี่ยบังเอิญอยู่ที่นั่นพอ
ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาในใจนางในชั่วพริบตานั้น นางจึงตัดสินใจพูดความจริงออกมา “ท่านอ๋อง ตั้งแต่วินาทีที่ท่านผลักข้าตกลงมาจากกำแพง ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็จบลงแล้ว”“ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดจาคลุมเครือเช่นนี้กับข้า ข้าไม่หลงกลหรอก”ผู้ว่าราชการแห่งเมืองหลวงที่กำลังจะออกไปได้ยินประโยคนี้ก็หูผึ่งขึ้นมาทันทีเขาทั้งกลัวที่จะได้ยินและอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเขารู้สึกว่าวันนี้เขาได้ยินความลับมากพอแล้ว คงไม่เป็นไรที่จะได้ยินเพิ่มอีกสักหน่อย...สายตาของจิ่งโม่เยี่ยหรี่ลงเล็กน้อย เขาก็พอจะเข้าใจนิสัยของนาง นางดูเหมือนจะร่าเริงแจ่มใสทุกวัน แต่จริงๆ แล้วนางมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมากเมื่อนางตัดสินใจอะไรแล้ว นางก็จะไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆเขาพูดเบาๆ ว่า “ข้ารู้ แต่ข้าอยากขอโอกาสจากเจ้า ให้เราเริ่มต้นใหม่”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มจางๆ “การเริ่มต้นใหม่อาจจะใช้ได้กับคนอื่น แต่ใช้ไม่ได้กับข้า”“สำหรับข้าแล้ว คนที่เคยทำร้าย ข้าสามารถปล่อยวางได้ แต่จะไม่ให้อภัย”“ดังนั้นต่อไปท่านอ๋องไม่ต้องเสียเวลากับข้าอีก ข้าไม่คู่ควรให้ท่านอ๋องเสียเวลาด้วยหรอก”นางออกแรงอีกครั้งเพื่อจะดึงมือออกจากมือข
พูดถึงตรงนี้ปู๋เยี่ยโหวก็ยื่นนิ้วห้านิ้วมาทางจิ่งโม่เยี่ย “แค้นอะไรกันนักหนา! ไล่ตามมาตั้งห้าถนน!”เขาไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนทำ แต่ความหมายนั้นชัดเจนมากเขารู้ดีว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยถึงทำแบบนี้กับเขา ก็เพราะวันนี้เฟิ่งชูอิ่งขึ้นศาล จิ่งโม่เยี่ยก็เลยอยากแสดงตัวต่อหน้าเฟิ่งชูอิ่ง เลยแกล้งกักตัวเขาไว้ถ้าไม่ใช่วันนี้ฮองเฮาเกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เสียเวลาไป จิ่งโม่เยี่ยคงจะพาเฟิ่งชูอิ่งหนีไปแล้วจิ่งโม่เยี่ยพูดเสียงเรียบว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเวรกรรมที่เจ้าก่อไว้เอง อย่าโทษคนอื่น”ปู๋เยี่ยโหวแค่นเสียงใส่เขาอย่างแรง ไม่สนใจเขาและหันไปพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ไปเถอะ ชูชู ไปที่จวนของข้ากัน!”“ข้าเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้เจ้าเยอะแยะ ของเล่นก็มีเพียบ รับรองว่าเจ้าจะอยู่สบาย กินอิ่มแน่นอน”เฟิ่งชูอิ่งตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง”นางไม่แม้แต่จะมองจิ่งโม่เยี่ยแม้แต่ครั้งเดียวก็เดินตามปู๋เยี่ยโหวไปทันทีในตอนนั้น จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เฟิ่งชูอิ่งสนิทกับปู๋เยี่ยโหวมากกว่าเขามากนางอยู่ที่จวนนอกเมืองมานาน ย่อมต้องมีความรู้สึกดีๆ ให้กับปู๋เยี่ยโหวบ้างในตอนนั้น จิ่งโม่เยี่ยอยากจะปรี่เข้าไ
จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เขาสำนึกได้ว่าตนเองพูดผิดไป จึงพูดต่อว่า “ความรู้สึกที่ปู๋เยี่ยโหวมีต่อพระชายา แม้แต่คนตาบอดยังมองออก”“ท่านอ๋องให้ปู๋เยี่ยโหวพาพระชายาไปด้วย เขาคงไม่ประสงค์ดีแน่”จิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปช่วยไปพานางกลับมาเป็นอย่างไร”ฉินจื๋อเจี้ยน “...…”เรื่องที่แม้แต่จิ่งโม่เยี่ยยังทำไม่ได้ เขายิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่เขาจึงก้มหน้าด้วยความหดหู่ “ข้าน้อยผิดไปแล้ว”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าเขาหวังดี เพียงแต่ใจร้อนเกินไป จึงพูดว่า “สักวันข้าจะพานางกลับจวนอ๋องให้ได้”ฉินจื๋อเจี้ยนคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะพาเฟิ่งชูอิ่งกลับมา จึงเตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อย แถมยังให้ห้องครัวทำอาหารที่นางชอบมากมายเขาดูหดหู่และผิดหวังยิ่งกว่าจิ่งโม่เยี่ยเสียอีกอารมณ์ของจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่ดีเช่นกัน หลังจากสั่งการเรื่องที่ต้องทำในคืนนี้เสร็จ เขาก็ยืนเหม่ออยู่หน้าโรงเก็บฟืนที่ถูกไฟไหม้ตั้งแต่เฟิ่งชูอิ่งเกิดเรื่อง เขาก็ไม่ได้ให้ใครมาทำความสะอาดที่นี่ ตอนนี้ยังคงเป็นสภาพที่ถูกไฟไหม้อยู่ทุกครั้งที่ถูกเฟิ่งชูอิ่งปฏิเสธ เขาก็จะมาอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่เขามองซากปรักหักพัง
เหมยตงยวนมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ในใจเขาอีกฝ่ายก็เหมือนญาติคนหนึ่งส่วนเฟิ่งชูอิ่ง ถึงแม้จะไม่มีความสัมพันธ์รักใคร่แบบชายหญิง แต่ก็มีความเป็นสหายต่อกันก่อนหน้านี้ปู๋เยี่ยโหวสถานการณ์ย่ำแย่มาก ชื่อเสียงก็เหลวแหลก เขาแทบจะไม่มีเพื่อนในเมืองหลวงตอนนี้เขามีญาติและสหายแล้ว ปีใหม่ครั้งนี้ก็เลยค่อนข้างจะไม่ธรรมดาดังนั้นตอนนี้เขาจึงอารมณ์ดีมาก เขาสามารถฉลองปีใหม่เหมือนคนปกติได้เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางตื่นเต้นของเขาก็อดขำไม่ได้ ปู๋เยี่ยโหวแบบนี้ดูเหมือนเด็กที่ตั้งตารอปีใหม่เลยนี่เป็นปีใหม่ครั้งแรกของนางหลังจากมาที่โลกใบนี้ นางก็ตั้งตารอเช่นกันปู๋เยี่ยโหวได้เตรียมตัวสำหรับปีใหม่มาสักพักแล้ว จวนตากอากาศได้เตรียมวัตถุดิบมากมายไว้แล้วเขาเป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า พ่อครัวแม่ครัวในจวนตากอากาศต่างก็มีฝีมือดีเยี่ยมพอตกเย็น เขาก็สั่งให้พ่อครัวทำอาหารมากมายเฟิ่งชูอิ่งถึงแม้จะเล่นสนุกอยู่ในคุก แต่อาหารที่นั่นย่อมแย่กว่าอยู่บ้างนางก็ถือว่ากินแบบเรียบง่ายมาหลายวัน พอได้กินอาหารอร่อยๆ ตอนนี้ก็รู้สึกสบายทั้งกายสบายทั้งใจแต่ความสุขของนางอยู่ได้ไม่นานก็ถูกคนทำลายลงพูดให้ถูกคือไ
ปู๋เยี่ยโหวทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “เจ้าก็เป็นถึงองค์ชาย กินข้าวให้เรียบร้อยหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งเปิดตาทิพย์ให้เขา เขาจึงมองเห็นจิ่งสือเฟิงได้ตอนแรกที่ปู๋เยี่ยโหวเห็นเฉี่ยวหลิงก็ตกใจมากทีเดียว แต่หลังจากที่เขาเห็นวิญญาณร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ด้วยกันนานขึ้น ตอนนี้เขาก็เริ่มชินชาแล้วจิ่งสือเฟิงกวาดอาหารบนจานจนหมดเกลี้ยง แล้วมองไปที่ปู๋เยี่ยโหวพร้อมพูดว่า “เจ้าลองไม่กินอะไรสักหลายเดือนดูสิ”“ถ้าเจ้าทำได้แบบนั้น ข้าจะเรียกเจ้าว่าพ่อเลยก็ได้”ปู๋เยี่ยโหวทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “เจ้ายังกล้าแช่งข้าในบ้านของข้าอีกนะ เชื่อไหมว่าข้าจะไล่ตะเพิดเจ้าออกไป”จิ่งสือเฟิงหดคอไม่กล้าเถียง แต่กลับจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งตาแป๋วปู๋เยี่ยโหวเห็นแบบนี้ก็ทนดูไม่ได้จริงๆตอนที่จิ่งสือเฟิงยังมีชีวิตอยู่ เขาทั้งรักษาหน้าตาและหยิ่งยโส แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ ดูแล้วก็น่าสงสารอยู่บ้างเฟิ่งชูอิ่งกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย พอเห็นท่าทางของจิ่งสือเฟิงก็กินไม่ลง จึงเซ่นอาหารให้เขาเพิ่มอีกหลายอย่างจิ่งสือเฟิงดีใจมาก เขาชมเฟิ่งชูอิ่งว่า “แม่นางเฟิงช่างเป็นคนสวยและใจดี เป็นคนดีจริงๆ!”เฟิ่งชูอิ่งอดไม่ได้ท