พูดถึงตรงนี้ปู๋เยี่ยโหวก็ยื่นนิ้วห้านิ้วมาทางจิ่งโม่เยี่ย “แค้นอะไรกันนักหนา! ไล่ตามมาตั้งห้าถนน!”เขาไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนทำ แต่ความหมายนั้นชัดเจนมากเขารู้ดีว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยถึงทำแบบนี้กับเขา ก็เพราะวันนี้เฟิ่งชูอิ่งขึ้นศาล จิ่งโม่เยี่ยก็เลยอยากแสดงตัวต่อหน้าเฟิ่งชูอิ่ง เลยแกล้งกักตัวเขาไว้ถ้าไม่ใช่วันนี้ฮองเฮาเกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เสียเวลาไป จิ่งโม่เยี่ยคงจะพาเฟิ่งชูอิ่งหนีไปแล้วจิ่งโม่เยี่ยพูดเสียงเรียบว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเวรกรรมที่เจ้าก่อไว้เอง อย่าโทษคนอื่น”ปู๋เยี่ยโหวแค่นเสียงใส่เขาอย่างแรง ไม่สนใจเขาและหันไปพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ไปเถอะ ชูชู ไปที่จวนของข้ากัน!”“ข้าเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้เจ้าเยอะแยะ ของเล่นก็มีเพียบ รับรองว่าเจ้าจะอยู่สบาย กินอิ่มแน่นอน”เฟิ่งชูอิ่งตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง”นางไม่แม้แต่จะมองจิ่งโม่เยี่ยแม้แต่ครั้งเดียวก็เดินตามปู๋เยี่ยโหวไปทันทีในตอนนั้น จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เฟิ่งชูอิ่งสนิทกับปู๋เยี่ยโหวมากกว่าเขามากนางอยู่ที่จวนนอกเมืองมานาน ย่อมต้องมีความรู้สึกดีๆ ให้กับปู๋เยี่ยโหวบ้างในตอนนั้น จิ่งโม่เยี่ยอยากจะปรี่เข้าไ
จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เขาสำนึกได้ว่าตนเองพูดผิดไป จึงพูดต่อว่า “ความรู้สึกที่ปู๋เยี่ยโหวมีต่อพระชายา แม้แต่คนตาบอดยังมองออก”“ท่านอ๋องให้ปู๋เยี่ยโหวพาพระชายาไปด้วย เขาคงไม่ประสงค์ดีแน่”จิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปช่วยไปพานางกลับมาเป็นอย่างไร”ฉินจื๋อเจี้ยน “...…”เรื่องที่แม้แต่จิ่งโม่เยี่ยยังทำไม่ได้ เขายิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่เขาจึงก้มหน้าด้วยความหดหู่ “ข้าน้อยผิดไปแล้ว”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าเขาหวังดี เพียงแต่ใจร้อนเกินไป จึงพูดว่า “สักวันข้าจะพานางกลับจวนอ๋องให้ได้”ฉินจื๋อเจี้ยนคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะพาเฟิ่งชูอิ่งกลับมา จึงเตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อย แถมยังให้ห้องครัวทำอาหารที่นางชอบมากมายเขาดูหดหู่และผิดหวังยิ่งกว่าจิ่งโม่เยี่ยเสียอีกอารมณ์ของจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่ดีเช่นกัน หลังจากสั่งการเรื่องที่ต้องทำในคืนนี้เสร็จ เขาก็ยืนเหม่ออยู่หน้าโรงเก็บฟืนที่ถูกไฟไหม้ตั้งแต่เฟิ่งชูอิ่งเกิดเรื่อง เขาก็ไม่ได้ให้ใครมาทำความสะอาดที่นี่ ตอนนี้ยังคงเป็นสภาพที่ถูกไฟไหม้อยู่ทุกครั้งที่ถูกเฟิ่งชูอิ่งปฏิเสธ เขาก็จะมาอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่เขามองซากปรักหักพัง
เหมยตงยวนมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ในใจเขาอีกฝ่ายก็เหมือนญาติคนหนึ่งส่วนเฟิ่งชูอิ่ง ถึงแม้จะไม่มีความสัมพันธ์รักใคร่แบบชายหญิง แต่ก็มีความเป็นสหายต่อกันก่อนหน้านี้ปู๋เยี่ยโหวสถานการณ์ย่ำแย่มาก ชื่อเสียงก็เหลวแหลก เขาแทบจะไม่มีเพื่อนในเมืองหลวงตอนนี้เขามีญาติและสหายแล้ว ปีใหม่ครั้งนี้ก็เลยค่อนข้างจะไม่ธรรมดาดังนั้นตอนนี้เขาจึงอารมณ์ดีมาก เขาสามารถฉลองปีใหม่เหมือนคนปกติได้เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางตื่นเต้นของเขาก็อดขำไม่ได้ ปู๋เยี่ยโหวแบบนี้ดูเหมือนเด็กที่ตั้งตารอปีใหม่เลยนี่เป็นปีใหม่ครั้งแรกของนางหลังจากมาที่โลกใบนี้ นางก็ตั้งตารอเช่นกันปู๋เยี่ยโหวได้เตรียมตัวสำหรับปีใหม่มาสักพักแล้ว จวนตากอากาศได้เตรียมวัตถุดิบมากมายไว้แล้วเขาเป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า พ่อครัวแม่ครัวในจวนตากอากาศต่างก็มีฝีมือดีเยี่ยมพอตกเย็น เขาก็สั่งให้พ่อครัวทำอาหารมากมายเฟิ่งชูอิ่งถึงแม้จะเล่นสนุกอยู่ในคุก แต่อาหารที่นั่นย่อมแย่กว่าอยู่บ้างนางก็ถือว่ากินแบบเรียบง่ายมาหลายวัน พอได้กินอาหารอร่อยๆ ตอนนี้ก็รู้สึกสบายทั้งกายสบายทั้งใจแต่ความสุขของนางอยู่ได้ไม่นานก็ถูกคนทำลายลงพูดให้ถูกคือไ
ปู๋เยี่ยโหวทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “เจ้าก็เป็นถึงองค์ชาย กินข้าวให้เรียบร้อยหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งเปิดตาทิพย์ให้เขา เขาจึงมองเห็นจิ่งสือเฟิงได้ตอนแรกที่ปู๋เยี่ยโหวเห็นเฉี่ยวหลิงก็ตกใจมากทีเดียว แต่หลังจากที่เขาเห็นวิญญาณร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ด้วยกันนานขึ้น ตอนนี้เขาก็เริ่มชินชาแล้วจิ่งสือเฟิงกวาดอาหารบนจานจนหมดเกลี้ยง แล้วมองไปที่ปู๋เยี่ยโหวพร้อมพูดว่า “เจ้าลองไม่กินอะไรสักหลายเดือนดูสิ”“ถ้าเจ้าทำได้แบบนั้น ข้าจะเรียกเจ้าว่าพ่อเลยก็ได้”ปู๋เยี่ยโหวทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “เจ้ายังกล้าแช่งข้าในบ้านของข้าอีกนะ เชื่อไหมว่าข้าจะไล่ตะเพิดเจ้าออกไป”จิ่งสือเฟิงหดคอไม่กล้าเถียง แต่กลับจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งตาแป๋วปู๋เยี่ยโหวเห็นแบบนี้ก็ทนดูไม่ได้จริงๆตอนที่จิ่งสือเฟิงยังมีชีวิตอยู่ เขาทั้งรักษาหน้าตาและหยิ่งยโส แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ ดูแล้วก็น่าสงสารอยู่บ้างเฟิ่งชูอิ่งกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย พอเห็นท่าทางของจิ่งสือเฟิงก็กินไม่ลง จึงเซ่นอาหารให้เขาเพิ่มอีกหลายอย่างจิ่งสือเฟิงดีใจมาก เขาชมเฟิ่งชูอิ่งว่า “แม่นางเฟิงช่างเป็นคนสวยและใจดี เป็นคนดีจริงๆ!”เฟิ่งชูอิ่งอดไม่ได้ท
เพราะตอนนี้จิ่งสือเฟิงไม่เหลืออะไรแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องต่อสู้ เขาสู้ไม่ได้แม้แต่ผีดุร้ายไร้ประโยชน์ที่อยู่ข้างๆ เฉี่ยวหลิง นับประสาอะไรกับเหมยตงยวนและเฉี่ยวหลิงเขาสูดจมูกเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์จริงๆเฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "พอได้แล้ว อย่าทำหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากให้ข้าเห็น""กินเสร็จก็ไปไกลๆ อย่ามารบกวนข้ากินอาหาร"จิ่งสือเฟิงรีบพูดว่า "ขออีกสามอย่างได้ไหม?"เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางมองเขาอย่างเย็นชา เขาหดคอแล้วพูดว่า "สองอย่างก็ได้!"เฉี่ยวหลิงเดินเข้ามา จับหูเขาแล้วลากออกไป ครั้งนี้แม้แต่อาหารในมือเขาก็รักษาไว้ไม่ได้ตอนที่เขากำลังถูกลากออกไป เขายังคงตะโกนว่า "อาหาร! อาหารของข้า!"เฟิ่งชูอิ่งแทบไม่อยากมองเขา!ปู๋เยี่ยโหวอดหัวเราะไม่ได้ "เขาก็มีวันนี้เหมือนกัน!"ตอนที่จิ่งสือเฟิงยังมีชีวิตอยู่ เขาอาศัยความเป็นโอรสฮองเฮา ทำตัวเย่อหยิ่งมาก ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาตอนนั้น เขาจึงได้กินอาหารชั้นเลิศแทบทุกวันแล้วดูตอนนี้สิ หลังจากตายไปแล้ว แม้แต่อาหารธรรมดาก็ยังกินไม่ได้เฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยความรู้สึกว่า "เขาก็สมควรโดนแล้วล่ะ"หลังจากพูดจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟิ่งชูอิ่งจึงเอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง คือข้าไม่ได้สนใจเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่สนใจเลยว่าเจ้าจะสกปรกหรือไม่”ปู๋เยี่ยโหว “......”เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าพูดความจริงเลยดีกว่า ข้าให้โอกาสเจ้าพูดใหม่”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเสียงดัง “ข้าพูดถูกทุกอย่าง!”ปู๋เยี่ยโหวครางเสียงเบาๆ “เจ้าพูดผิด เจ้าต้องดื่มสามจอก”วันนี้เฟิ่งชูอิ่งอารมณ์ดี จึงเอ่ยว่า “ได้ ดื่มก็ดื่ม”เหมยตงยวนมองดูพวกเขาหยอกล้อกันอยู่ข้างๆ โดยไม่เข้าไปยุ่งเฟิ่งชูอิ่งอยู่ในคุกมาหลายวัน คุกทั้งชื้นและเย็น การดื่มเหล้าในตอนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของนางเขามองออกถึงความรู้สึกของปู๋เยี่ยโหวที่มีต่อเฟิ่งชูอิ่ง และทั้งสองคนก็มีความเข้าใจกันอย่างมากเขาแค่ต้องคอยดูอยู่ข้างๆ ไม่ให้ปู๋เยี่ยโหวเอาเปรียบเฟิ่งชูอิ่งก็พอเฟิ่งชูอิ่งคิดว่านางดื่มเก่ง เพราะก่อนที่นางจะข้ามมิติเวลามา นางสามารถดื่มได้เป็นพันจอกโดยไม่เมาแต่หลังจากที่นางดื่มไปหนึ่งจอกในวันนี้ นางก็รู้ว่าตนเองคิดผิดนางมองไปที่ปู๋เยี่ยโหวซึ่งเห็นเป็นภาพซ้อนเบื้องหน้า นางจึงสะบัดหัวเบาๆ แล้วขยี้ตานางพูดด้วยความสับส
หลังจากมหาราชครูกลับเข้าจวน จวนมหาราชครูก็ถูกกองกำลังทหารล้อมไว้หมด แม้กระทั่งยุงตัวเดียวก็บินออกไปไม่ได้เมื่อมหาราชครูกลับถึงจวน เขาก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก แผนการที่วางไว้เป็นอย่างดีกลับมีปัญหาเกิดขึ้นหากเรื่องนี้จัดการไม่ดี จวนมหาราชครูอาจจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงมหาราชครูรู้สึกไม่ยินยอมถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นฎีกาที่พระสนมสวี่ส่งให้จิ่งโม่เยี่ย แต่เขาก็รู้เรื่องบางเรื่องที่คนในจวนมหาราชครูทำโดยอาศัยชื่อเสียงของเขาก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่เป็นเรื่องของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญ ถึงตายไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะของจวนมหาราชครูแต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาคิดผิดเมื่อมีคนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ ชีวิตและความตายของพวกเขาก็สามารถสั่นคลอนจวนมหาราชครูได้ในฐานะผู้นำความศรัทธาของเหล่านักปราชญ์ มหาราชครูรู้ดีว่าหากเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี จะสร้างความเสียหายได้มากเพียงใดในตอนนี้ เขาวางแผนอะไรต่อไปไม่ทันแล้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เป็นช่วงหยุดราชการเพื่อฉลองวันปีใหม่ เหล่าลูกศิษย์ของเขาส่วนใหญ่ก็กลับจวนไปฉลองปีใหม่แล้ว จึงไม่มีใคร
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน