เจ้าอาวาสทำท่าน้อยใจ “หากในใจเขาไม่มีเจ้าอยู่เลย จะหาเรื่องเดิมพันจนข้าแพ้ ถูกจิกหัวใช้ให้มาส่งกระดาษกับพู่กันเขียนยันต์ให้เจ้าเช่นนี้หรือ?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย “อาจจะเป็นเพราะเขาอยากใช้ให้ข้าเขียนยันต์ให้เขาก็ได้?”เพราะนางยื่นข้อเสนอจะคลายคำสาปให้เขาแลกกับเงินหนึ่งแสนตำลึง รวมถึงมอบยันต์ให้ตามที่เขาต้องการด้วยนางสงสัยว่าเขาอาจจะเห็นคุณภาพของยันต์ที่นางเขียนขึ้นมา ก็เลยอยากได้ยันต์จากนางไปใช้โดยไม่เสียเงินแต่เขาคิดว่าคุณภาพกระดาษและพู่กันของนางต่ำเกินไป ก็เลยใช้ให้เจ้าอาวาสเอากระดาษยันต์และพู่กันอย่างดีมาให้นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวเจ้าอาวาสได้ยินที่นางกล่าว ก็เริ่มคิดเหมือนกันว่าอาจจะเป็นแบบนั้นเขาจึงเอ่ยด้วยท่าทางลังเล “ไม่หรอกมั้ง!”“ข้ารู้จักท่านอ๋องมาตั้งนานหลายปี ยังไม่เคยเห็นเขาสนใจผู้หญิงคนไหนเท่าเจ้ามาก่อนเลย”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “เพราะว่าเขาไม่เคยพบเจอสตรีคนไหนเก่งกล้าสามารถเท่าข้ามาก่อนน่ะสิ”เจ้าอาวาส “......”เขาถลึงตามองนางทีหนึ่ง นางจึงแบมือยักไหล่ “ข้าพูดผิดตรงไหนล่ะ?”เจ้าอาวาสเอ่ยอย่างท้อใจ “จู่ๆ ข้า
คนเฝ้าประตูเห็นว่านางเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางอารมณ์ดีก็แอบเบ้ปาก เกรงว่านางจะยังไม่รู้กระมังว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับอะไรเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับฮว๋าซื่อเช่นนี้ หลินชูเจิ้งจะต้องระบายความโกรธแค้นกับนางอย่างแน่นอนตอนที่เฟิ่งชูอิ่งเดินไปทางประตูห้อง ก็มีแจกันดอกไม้ใบหนึ่งลอยมาจากด้านใน แจกันใบนั้นตกกระแทกพื้นใกล้เท้าของนาง นางจึงเบี่ยงตัวหลบไปอีกฝั่งผู้ดูแลโจวเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง เห็นนางเดินเข้ามาก็ขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเสียงเย็นว่า “เข้าไปเถอะ นายท่านรออยู่”เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของเขาหมองคล้ำ ดวงตาเว้าลึก ท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนดวงไฟวิญญาณบนไหล่ซ้ายของเขาถูกนางดับไป จนป่านนี้ก็ยังไม่มีไฟติดขึ้นมาวิญญาณร้ายที่ตามติดเขาอยู่ตนนั้น ตอนนี้กำลังค่อยๆ สูบกลืนพลังชีวิตของเขาอยู่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงสิบวันนางรู้ว่าที่ตอนนี้เขายังมีชีวิตรอดอยู่ได้ เป็นเพราะวิญญาณร้ายตนนั้นคิดว่าการปล่อยให้เขาตายมันจะสบายเกินไป เขาควรจะได้รับรู้รสชาติของความทรมานเสียบ้างนางขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วเอ่ยว่า “ผู้ดูแลโจว ดูเหมือนช่วงนี้เจ้าจะไม่ค่อยสุขสบายนักน
เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกจากใจจริงว่าความผิดทั้งหลายแหล่เหล่านี้ โยนให้จิ่งโม่เยี่ยรับผิดชอบไปเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วอย่างที่คิด หลังจากหลินชูเจิ้งได้ยินคำอธิบายของนางก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีนางจึงกล่าวด้วยใบหน้าหวาดกลัว “ท่านลุง สารถีแซ่หลิวคนนั้นคิดจะทำมิดีมิร้ายกับข้า จากนั้นยังลงมือกับท่านป้าอีก เขาช่างชั่วช้าจริงๆ เลย!”หลินชูเจิ้งใช้เหตุผลใคร่ครวญอยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเฟิ่งชูอิ่งจึงกล่าวว่า “ท่านลุง ท่านคิดว่าวันนี้ท่านป้านางรีบร้อนไปไหนหรือเจ้าคะ?“สารถีแซ่หลิวคิดจะทำเรื่องชั่วร้ายกับข้า คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านป้ากระมัง?”หลินชูเจิ้งรีบปฏิเสธทันควัน “เจ้าอย่าพูดจาส่งเดชนะ! ท่านป้าของเจ้าจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร!“เรื่องที่เกิดกับเจ้าในวันนี้ เป็นเพราะความแค้นที่สารถีแซ่หลิวมีต่อเจ้า ไม่เกี่ยวกับท่านป้าของเจ้า”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาคลอเบ้า นางเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “แล้วทำไมเขาถึงอยู่บนรถม้าคันเดียวกับท่านป้าได้ล่ะ? แล้วยังทำเรื่องไม่อายฟ้าไม่อายดินกับท่านป้าต่อหน้าคนตั้งมากมายอีก?”หลินชูเจิ้งหน้ามืดครึ้ม “เจ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ทำไมถึงพูดจาเช่นนี้ได้!”
เฟิ่งชูอิ่งกลับเอ่ยว่า “ท่านลุง เรื่องที่สารถีแซ่หลิวพาคนมาทำมิดีมิร้ายกับข้า ท่านจะต้องสืบหาความจริงให้กระจ่างนะเจ้าคะ“ท่านอ๋องบอกเอาไว้ว่าหากท่านสืบหาความจริงไม่ได้ เขาจะมาสืบเอง”หลินชูเจิ้ง “......”เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วบอกกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “เจ้าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจอยู่แล้ว”หลังได้คำตอบเฟิ่งชูอิ่งถึงได้หมุนตัวเดินกลับออกไปหลินชูเจิ้งมองตามแผ่นหลังของนางแล้วใจหายวาบนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการยัดเยียดนางให้แต่งงานกับอ๋องฉู่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์หลินหว่านถิงกัดฟันเอ่ยว่า “ท่านพ่อ วันนี้นางเป็นคนที่ลงมือทำร้ายท่านแม่อย่างแน่นอน!”หลินชูเจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ “หลักฐานล่ะ?”หลินหว่านถิงพูดไม่ออก หลินชูเจิ้งจึงเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย “พวกเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่านางเป็นคนทำร้ายแม่เจ้า แต่นางกลับมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์”หลินหว่านถิงเอ่ยอย่างเจ็บใจ “ถ้าอย่างนั้นจะปล่อยเอาไว้แบบนี้หรือเจ้าคะ?”หลินชูเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ “แน่นอนว่าไม่จบแค่นี้หรอก”ฮว๋าซื่อสวมหมวกเขียวใบมหึมาให้เขาเช่นนี้ ไม่ว่านางจะถูกคนวางแผนทำร้ายหรือไม่ เขาก็อับอายขา
หลังจากเฟิ่งชูอิ่งเดินเข้ามาในห้องอย่างอารมณ์ดี นางก็ตกใจจนสะดุ้งเฮือกเพราะภายในห้องของนางมีจิ่งโม่เยี่ยในอาภรณ์สีขาวหิมะ กำลังเอนตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักของนาง ขายาวของเขายกพาดบนโต๊ะตัวเล็กข้างๆ ขณะที่ในมือถือจอกชาและยกขึ้นจิบเล็กน้อยกลิ่นหอมของชาฟุ้งทั่วห้อง ไอน้ำลอยขึ้นมาจากถ้วยชาอย่างช้าๆ บดบังใบหน้าส่วนหนึ่งของเขาใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์ของเขาถูกไอน้ำปิดไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ดูลึกลับน่าค้นหายิ่งกว่าเดิมนี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาแล้วตกใจจนหัวใจแทบหลุดจากอก หลังจากใจเต้นกระหน่ำอยู่สักพักก็สงบลงในท้ายที่สุดไอ้บุรุษเฮงซวยคนนี้นิสัยเสียจะตายไป แถมยังทำเรื่องโหดร้ายได้หน้าตาเฉย แต่หน้าตาของเขาก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ รูปร่างก็ดีมากด้วยขอแค่เขาไม่ใช่จอมวายร้ายในนิยาย และไม่ได้เป็นคนอายุสั้น ลำพังแค่หน้าตาของเขาอย่างเดียว นางก็คิดว่าการแต่งงานกับเขามันคือกำไรชัดๆแต่พอนางนึกถึงจุดจบของเขาขึ้นมา นางก็รู้สึกจิตใจด้านชาทันทีนางยิ้มหวานให้เขาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะรินชาใส่ถ้วยให้ตัวเอง เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?”อันที่จริงนางสงสัยมากกว่า ว่าเขาไปเอาน้ำจากไหนม
จิ่งโม่เยี่ยเหล่ตามองนาง แต่นางทำเป็นมองไม่เห็นเขา ก่อนจะหยิบกระดาษยันต์ขึ้นมาเขียนอย่างรวดเร็ววันนี้นางกำจัดพลังงานชั่วร้ายในตัวเขาจนเบาบางลงมากใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที นางก็เขียนยันต์จำนวนสิบแผ่นเสร็จสิ้น จากนั้นจึงยกถ้วยน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจิ่งโม่เยี่ยเอ่ยถามนาง “ยันต์พวกนี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง?”เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ตอบคำถามของเขา เพียงกล่าวว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ท่านอ๋องต้องทำความเข้าใจก่อนเพคะ ตอนนี้ท่านอ๋องกำลังขอให้ข้าช่วยคลายคำสาป รบกวนท่านอ๋องให้ความเคารพข้าบ้าง“ส่วนเรื่องยันต์ ข้าจะมอบเพียงยันต์ที่เกี่ยวข้องกับการแก้คำสาปให้ท่านอ๋องเท่านั้น ยันต์อย่างอื่นไม่นับรวมเพคะ”นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ระบายยิ้มบางๆ “หากท่านอ๋องชื่นชอบยันต์ที่ข้าเขียน ท่านสามารถจ่ายเงินซื้อเพิ่มได้ หนึ่งแผ่นราคาหนึ่งพันตำลึง ไม่รับมัดจำทุกกรณี”จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงก้าวเดินเข้าไปหานางอย่างช้าๆ นางตกใจจนถอยหลังกรูด “ท่านอ๋องคิดจะทำอะไรเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจนาง เขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้า นางก็ต้องก้าวถอยหลังเรื่อยๆ จนกระทั่งไปจนมุมที่กำแพงเขาตัวสูงกว่านางมาก เวลาที่ยืนประจันหน้ากับเขา นางจึงรู้สึกกด
จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา “อยู่ด้วยกันจนผมขาว? บนโลกใบนี้มีใครอยู่ด้วยกันจนผมขาวบ้าง!”เขานึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นมาได้ สายตาจึงดูดุร้ายขึ้นหลายส่วนเฟิ่งชูอิ่งจึงเอ่ยกับเขาว่า “ท่านอ๋องพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะเพคะ บนโลกใบนี้จะไม่มีคนอยู่ร่วมกันยันแก่เฒ่าเลยได้อย่างไร?“คู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองในใต้หล้ามีตั้งมากมาย พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผูกสมัครรักกันไปทั้งชาติ“เพียงแต่คู่สามีภรรยาแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะประคับประคองกัน ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเสมือภาค“คู่รักที่ฝ่ายหนึ่งถูกกดให้ต่ำจนไร้ค่ากว่าฝุ่นผงเช่นนั้น ไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ยาวนานอยู่แล้ว เพราะว่าพวกเขาสามารถทอดทิ้งฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย“คู่สามีภรรยาที่อยู่กันจนแก่เฒ่าได้จริงๆ ทั้งสองคนจะต้องเคียงบ่าเคียงไหล่ ให้ความเคารพฝ่ายตรงข้ามจากใจจริง แล้วก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจเพคะ”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยดูล้ำลึกกว่าเดิม เขาเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าคิดจะอยู่กับข้าจนแก่เฒ่าหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วกล่าว “ตอนนี้ใช่เพคะ แต่หากท่านอ๋องไม่คิดจะเคารพข้าสักนิด ข้าคิดว่าความรักที่ข้ามีให้ท่านสักวันก็คง
เขาลองสับคอเขาหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่สลบสักที หากยังสับต่อไป เขาคงได้กลับมาคิดบัญชีกับนางชุดใหญ่แน่ๆ ดังนั้นนางจึงยิ้มหวานให้จิ่งโม่เยี่ยแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ข้าถูกสับทีเดียวก็นอนหลับไปเลย วันนี้พวกเรามาทำกันเหมือนเดิมเถอะ”นางกล่าวจบก็กระชากแขนของเขาแล้วจับเหวี่ยงข้ามบ่า โยนตัวของเขาลงไปบนเตียงโดยตรงจิ่งโม่เยี่ย “......”จิ่งโม่เยี่ย “!!!!!!”หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยถูกคนวางกับดักใช้กลอุบายมากมาย สถานการณ์จึงไม่ค่อยสู้ดีนักทว่าคนพวกนั้นพออยู่ต่อหน้าของเขา ต่างก็แสดงท่าทางเกรงใจนอบน้อม ไม่มีใครกล้าลงมือกับเขาซึ่งๆ หน้ามาก่อนทว่าสตรีที่ใจกล้าไม่เกรงฟ้าดินคนนี้ กลับกล้าลงมือสับคอเขา แล้วยังกล้าจับเขาทุ่มอีกต่างหาก!สีหน้าของเขาจึงมืดครึ้มเหมือนพายุตั้งเค้าเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของเขาก็รู้สึกสะใจเงียบๆ นางจะทำให้เขาได้รู้เองว่าการถูกคนรังแกโดยไม่อาจโต้ตอบได้มันรสชาติเป็นอย่างไร!นางรู้ว่าถึงเขาจะลงมือโหดเหี้ยมสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำร้ายนางจนถึงขั้นตายแน่นอน เพราะเขาจำเป็นจะต้องใช้นางคลายคำสาปอยู่หลังจากนางโยนเขาลงเตียงแล้ว จึงยื่นมือไปกอดเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เป็น
เฟิ่งชูอิ่งคิดว่านี่คือการมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวทุกคนรู้ว่าสถานที่อย่างอารามเต๋าหรือวัดพุทธเป็นเหมือนสิ่งต้องห้ามสำหรับภูตผีปีศาจ ปกติแล้วพวกมันไม่กล้าเข้าใกล้สถานที่แบบนี้แต่จิ้งจอกสือซานเหนียงไม่ใช่ปีศาจทั่วไป นางเป็นปีศาจที่แม้แต่พลังมังกรก็ยังกล้าดูดกลืนในสถานการณ์เช่นนี้ นางจะหนีไปซ่อนตัวที่อารามเทียนอี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเฟิ่งชูอิ่งจึงกล่าวว่า "แม้ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้จะแข็งแกร่งมาก แต่มันอาจจะใช้ไม่ได้ผลกับจิ้งจอกสือซานเหนียง""ทหารองครักษ์ค้นหาทั่วภูเขาใกล้เคียงแล้วแต่ก็ยังไม่พบ ถ้าอย่างนั้นก็ลองไปค้นหาอารามเทียนอี้ดูเถอะ"จิ่งโม่เยี่ยเห็นด้วยกับความคิดของนาง จึงให้ทหารองครักษ์ไปค้นหาที่อารามเทียนอี้แต่ทหารองครักษ์กลับมาอย่างรวดเร็วและรายงานว่าค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้ถูกเปิดใช้งานแล้ว พวกเขาเข้าไปไม่ได้ทั้งจิ่งโม่เยี่ยและเฟิ่งชูอิ่งเคยเห็นพลังค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้มาแล้ว ตอนนั้นถ้าจิ่งโม่เยี่ยมาช่วยไม่ทันเวลา เฟิ่งชูอิ่งคงโดนยิงจนพรุนเป็นรังผึ้งไปแล้วเฟิ่งชูอิ่งถามด้วยความสงสัยว่า "ปกติค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาของอารามเทียนอี้จะ
จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกจากใจจริงว่าวิชาของเฟิ่งชูอิ่งนั้นลึกลับเกินคาด แถมยังแสดงออกมาในรูปแบบที่เหนือความคาดหมายของเขาอีกด้วยมีนางคอยช่วยเหลือ เขาก็ผ่อนคลายสบายใจขึ้นมากในสถานการณ์เช่นนี้ จิ่งโม่เยี่ยคิดว่าแผนการทั้งสองสามารถดำเนินการพร้อมกันได้ให้หลางซานและฉินจื๋อเจี้ยนไปปราบปรามทหารที่จิ่งสือเยี่ยนส่งมา ส่วนจิ่งโม่เยี่ยจะไปตามหาจิ้งจอกสือซานเหนียงกับเฟิ่งชูอิ่งองครักษ์ที่จิ่งสือเยี่ยนพามาล้วนถูกจิ่งโม่เยี่ยจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเขาถูกส่งตัวไปที่คุกของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดหลังจากเฟิ่งชูอิ่งได้รับข่าวที่จิ่งโม่เยี่ยส่งมา นางก็รีบเดินทางมาพร้อมกับเหมยตงยวนทันทีเมื่อเหมยตงยวนมาถึง เขาก็ร่ายคาถาสำรวจบรรยากาศรอบๆ แล้วพยักหน้าว่า “เป็นสือซานเหนียง”เฟิ่งชูอิ่งยิ้ม “เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรมาตลอด พอมาวันนี้กลับได้พบโดยไม่ต้องออกแรง”“พวกเราตามหาสือซานเหนียงมานานแต่ไม่เห็นวี่แวว ไม่คิดว่าจะได้เบาะแสในเวลาแบบนี้”เหมยตงยวนมองสำรวจไปรอบๆ “ครั้งก่อนนางโดนปู่เยี่ยโหวทำร้ายจนอาการสาหัส ในเวลาสั้นๆ แบบนี้ร่างกายนางคงยังไม่หายดี”“นางปรากฏตัวออกมาในเวลาแบบนี้ คงเพราะอยากจะรักษาอาการบาดเจ็
ทันทีที่หลางซานเห็นจิ่งโม่เยี่ยก็รีบตรงเข้ามาสอบถามว่า “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก พวกเราแค่เจอปีศาจจิ้งจอกเท่านั้นเอง”หลางซาน “......”เรื่องปีศาจแต่ก่อนมีอยู่แค่ในนิทานปรัมปราและตำนานพื้นบ้าน ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้พวกเขาจะได้พบเจอกับของจริงหลางซานมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยสีหน้าแปลกๆ จิ่งโม่เยี่ยจึงถามว่า “มองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม?”หลางซานทำท่าเหมือนอยากพูดแต่ก็ไม่กล้า จิ่งโม่เยี่ยจึงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง หลางซานจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ ท่านอ๋องควบคุมตัวเองได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”จิ่งโม่เยี่ย “......”นี่มันคำถามอะไรกัน?หลางซานสบตากับแววตาดุดันของเขา แล้วแข็งใจกล่าวต่อว่า “ข้า... ข้าน้อยได้ยินมาว่าปีศาจจิ้งจอกเก่งกาจเรื่องมารยาสตรีมากที่สุด”“ไม่มีผู้ชายคนไหนที่เจอปีศาจจิ้งจอกแล้วจะรอดกลับมาได้ ท่านอ๋องเพิ่งจะปรับความเข้าใจกับพระชายา ถ้าหากว่า...”เขายังพูดไม่จบ จิ่งโม่เยี่ยก็เอามือวางบนด้ามกระบี่ เขาจึงรีบเปลี่ยนคำพูดแบบทันควัน “แต่ท่านอ๋องไม่ใช่บุรุษธรรมดา”“หัวใจของท่านอ๋องมีไว้เพื่อพระชายาเท่านั้น ไม่มีใครแทนที่ได้”“อย่าว่าแต่ปีศาจจิ
จิ้งจอกสือซานเหนียงเป็นปีศาจไม่ใช่มนุษย์ นางจึงไม่ได้ใส่ใจศีลธรรมมากมายนัก ไม่รู้สึกว่าการที่นางดูดพลังมังกรจากคนอื่นเป็นเรื่องผิดแล้วนางก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวฮ่องเต้ของพวกมนุษย์แม้แต่น้อยก็แค่ผู้ชายที่มีตาสองข้างปากหนึ่งปาก ถอดเสื้อผ้าจับโยนลงบนเตียงก็เหมือนกันหมดนิสัยนางค่อนข้างจะบิดเบี้ยว ก่อนจะเปิดฉากสู้กับจิ่งโม่เยี่ย นางไม่ได้มุ่งมั่นว่าจะต้องจับเขามานอนด้วยให้ได้แต่ถ้ามีโอกาสได้ก็ต้องคว้าเอาไว้ เพราะสำหรับนางเขาคือยาบำรุงชั้นดีหลังจากสู้กับจิ่งโม่เยี่ยแล้ว นางก็รู้สึกว่าต้องได้ผู้ชายคนนี้มาครอบครองให้ได้!ดังนั้นตอนที่นางลงมือจึงยิ่งบ้าคลั่ง อยากจะกดจิ่งโม่เยี่ยลงใต้ร่างแล้วสูบพลังให้สาสมใจทันทีนางเพิ่มพลังขึ้นจนถึงขีดสุด พุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเพราะนางบำเพ็ญเพียรมานานหลายปี ในตอนที่บันดาลโทสะ วิชาหลากหลายแขนงก็ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันต่อให้จิ่งโม่เยี่ยจะเก่งกาจขนาดไหน พอต้องเจอกับการโจมตีที่ไม่ใช่ทางกายภาพ เขาไม่มีทางรับมือได้อยู่แล้วไม่นานเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงใช้ผ้าแพรขาวมัดจนขยับเขยื้อนไม่ได้จิ้งจอกสือซานเหนียงหอบหายใจขณะเอา
พอทหารองครักษ์คนนั้นพูดจบ หมอกขาวก็ยิ่งรวมตัวกันรวดเร็วยิ่งขึ้นจิ่งโม่เยี่ยขมวดคิ้ว เพราะเขารู้ว่าคำพูดของทหารองครักษ์เป็นความจริงเขาจ้องมองหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างเย็นชา ร่างกายนิ่งสงบเหมือนภูเขาหมอกขาวกลืนกินทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เขา ทำให้ทุกคนหายวับไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องโวยวายหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยอยู่กับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิชาของพวกศาสตร์ลี้ลับทั้งหลายในความคิดของเขา แม้ว่านี่จะไม่ใช่วิชาของสำนักลี้ลับ แต่มันก็อาจจะคล้ายคลึงกันหลายส่วนเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาจากรอบๆ ผู้ชายทั่วไปได้ยินแล้วคงเผลอหลงใหล แต่เขาฟังแล้วรู้สึกรำคาญ เพราะนั่นไม่ใช่เสียงของเฟิ่งชูอิ่งในใจของจิ่งโม่เยี่ย ผู้หญิงในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือเฟิ่งชูอิ่ง และอีกประเภทหนึ่งคือผู้หญิงคนอื่นเขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อทำให้เฟิ่งชูอิ่งยอมตกลงปลงใจแต่งงานกับเขาตอนนี้ดันมีปีศาจที่ไหนไม่รู้มาเกี้ยวพาเขาแบบนี้ ถ้าเฟิ่งชูอิ่งรู้เรื่องนี้เข้า คงจะต้องโกรธมากแน่ๆจิ่งโม่เยี่ยมองไม่เห็นอะไรเลยในม่านหมอกหนา เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพับแล้วมัดปิดตาตัวเองพริบตา
พลังหยาง พลังมังกรและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่นางต้องการ นางต้องได้ทั้งหมดนั่นมาครอง!ตอนแรกจิ่งสือเยี่ยนโดนวิชาของเฟิ่งชูอิ่งเล่นงานจนอาการย่ำแย่อยู่แล้ว มาตอนนี้ยังถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงสูบพลังอีก ทำให้โชคชะตาของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็วพลังมังกรสามารถคุ้มครองป้องกันร่างกาย ไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้ได้แต่ตราบใดที่ปีศาจไม่มีจิตสังหาร พลังมังกรก็จะไม่สนใจและปล่อยผ่านไปจิ่งสือเยี่ยนโดนจิ้งจอกสือซานเหนียงเล่นงานจนเกือบหมดแรงนอนเหี่ยวแห้งตายแต่จิ้งจอกสือซานเหนียงเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจ "เจ้าดูเหมือนจะร้ายกาจ แต่กลับได้แค่นี้เอง?"จิ่งสือเยี่ยน “......”จิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!”เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกผู้หญิงดูถูกเรื่องความสามารถทางด้านนั้น!เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ตอนนี้เจ้าคงสาสมใจแล้ว ปล่อยข้าไปได้หรือยัง?"เขาร้อนใจอย่างมาก หากยังไม่รีบไปตอนนี้อีก เกรงว่าจะถูกจิ่งโม่เยี่ยตามมาทันจิ้งจอกสือซานเหนียงตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า "ข้าเคยบอกตอนไหนว่าทำครั้งเดียวแล้วจะปล่อยเจ้าไป?"จิ่งสือเยี่ยนเบิกตากว้างจ้องมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขา
ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่จิ้งจอกสือซานเหนียงพลาดท่าเสียทีในการยั่วยวนผู้ชายตลอดหลายปีมานี้ ก็คงเป็นตอนที่นางได้เจอกับปู๋เยี่ยโหว และเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นทันทีที่สบตากับจิ่งสือเยี่ยน นางก็มั่นใจได้ทันทีว่า ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่พวกหื่นกามจนขึ้นสมอง แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนเจ้าชู้อยู่บ้างไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาเขาก็รู้แล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะคิกคัก นางเอื้อมมือไปคล้องคอเขา “ค่ำคืนนี้ช่างวิเศษจริงๆ”จิ่งสือเยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็แทงกระบี่เข้าใส่จิ้งจอกสือซานเหนียงแบบไม่บอกกล่าวแต่การโจมตีของเขากลับพลาดเป้า สาวงามในอ้อมแขนก็หายวับไปในทันทีสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลาดการโจมตีครั้งแรก การจะลงมือครั้งต่อไปย่อมยากขึ้นจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะเยาะ “ข้าว่าแล้วเชียว ผู้ชายที่ยิ้มหน้าระรื่นได้แบบเจ้าไม่ใช่คนดีอะไรเลย”“ปากก็พูดจาไพเราะอ่อนหวาน แต่การกระทำกลับโหดเหี้ยมสิ้นดี!”“กับผู้ชายแบบนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”ทันทีที่นางพูดจบ จิ่งสือเยี่ยนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างพันอยู่ที่ขา ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง สิ่งนั้นก็ลากเขาลงไปกองกับพื
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่รู้สึกได้ว่าการหนีออกจากเมืองหลวงในวันนี้ เรียกได้ว่าทุกอย่างเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เขาก็ยิ่งไม่รู้เลยจิ่งสือเยี่ยนมีวรยุทธ์ไม่เลว ไม่ขาดแคลนทั้งความกล้าหาญและกลยุทธ์แต่ในขณะนี้ หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งเกาะ มีบางสิ่งกำลังหลุดออกจากการควบคุมจิ่งสือเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักกระบี่ออกมา ตะโกนเสียงดังว่า “ใครกำลังเล่นตลกอยู่?”ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่หลังจากได้รู้จักกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็เริ่มเชื่ออีกครั้งเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนที่มีวิชาอาคมสูงส่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเห็นมาปฏิกิริยาแรกของเขาคือคนที่ซุ่มโจมตีเขาในวันนี้ อาจเป็นเฟิ่งชูอิ่งก็ได้ แต่ไม่นานเขาก็ปัดความคิดนี้ทิ้งเพราะถ้าเฟิ่งชูอิ่งลงมือจริง นางจะให้วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างกายนางจัดการโดยตรง จะไม่ปิดบังอำพรางเช่นนี้จิ่งสือเยี่ยนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะถูกสิ่งสกปรกบางอย่างตามรังควานจิ่งสือเยี่ยนพูดเสียงดังว่า “เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้”เสียงที่ตอบกล
จิ่งสือเยี่ยนคิดว่าการเดินทางผ่านหมู่บ้านอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก จึงเลือกที่จะเดินทางผ่านป่าแทนแต่แล้วม้าของเขาก็ติดกับดักอีกครั้ง ครั้งนี้ม้าเกิดอาการตื่นตระหนกม้าที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาจากองครักษ์นั้นดีดดิ้นเหมือนกำลังคุ้มคลั่ง จนเขากระเด็นตกจากหลังม้าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเท่าไหร่ ตอนที่ถูกม้าเหวี่ยงออกไป ร่างของเขาฟาดเข้ากับต้นไม้อย่างแรงมีเสียงดัง “โครม!” ก่อนจิ่งสือเยี่ยนจะกลิ้งลงมาจากต้นไม้ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนเอวจะหัก ปวดจนทนแทบไม่ไหวองครักษ์ของเขาช่วยพยุงเขาขึ้นมาและดึงม้าที่ตื่นตระหนกกลับมาจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็ไม่ได้เป็นอะไร มีแค่ม้าของเขาเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองค่อนข้างโชคร้ายคืนนี้การเดินทางไม่คืบหน้าไปไหน แล้วเขายังต้องตกม้าถึงสองครั้ง เจอเรื่องแบบนี้แม้แต่พระอิฐพระปูนก็ยังโมโห นับประสาอะไรกับจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธแต่การตกม้าครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เขาเคล็ดเอวด้วยจึงไม่สามารถขี่ม้าได้อีกสักพักเ