แต่ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย นางจะให้เฉี่ยวหลิงไปขโมยมาก็คงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่นัยน์ตานางหม่นแสงลงเล็กน้อย สูดหายใจลึกๆ แล้วยืนขึ้น เดินเข้ามาหยุดข้างกายจิ่งโม่เยี่ยแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องอยากขอให้ท่านอ๋องช่วย”จิ่งโม่เยี่ยถาม “เรื่องอะไรล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ก่อนหน้านี้ข้าทำของบางอย่างหล่นหายไว้ที่จวนอ๋อง ของชิ้นนั้นสำคัญกับการรักษาท่านพ่อของข้ามาก ท่านอ๋องช่วยคืนให้ข้าได้ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยคิดว่าหลังจากนาง ‘ตาย’ ไปแล้ว จึงเก็บของทั้งหมดของนางเอาไว้เป็นอย่างดีทว่าตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่ ของพวกนั้นไม่นับว่าสำคัญอะไรเขาจึงเอ่ยว่า “หลางซาน เจ้าส่งคนกลับไปที่จวนอ๋อง นำกล่องไม้ที่อยู่ในห้องของข้าออกมา”หลางซานรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าหลังจากการได้พบกันอีกครั้ง จิ่งโม่เยี่ยก็ดูจะพูดจาเข้าใจง่ายกว่าแต่ก่อนมากนางจึงเอ่ยว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋อง”จิ่งโม่เยี่ยหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความรู้สึกในแววตาของเขา เอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “ไม่ต้องเกรงใจ”ถึงพวกเขาจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ตอนนี้กลับห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีกความรู้สึกในใจของเขายังคงหนัก
ทุกวันนี้ตอนที่นางอยู่ตรงหน้า เขาจะต้องพูดจาระมัดระวังทุกอย่าง ความรู้สึกเช่นนี้ไม่น่าอภิรมย์สักนิดเดียวจิ่งโม่เยี่ยยกมือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ท่าทางราวกับคนหมดสิ้นหนทางหลังจากปู๋เยี่ยโหวประคองเฟิ่งชูอิ่งเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นว่าจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ตามเข้ามาจึงส่งเสียงจิ๊ปาก “อดทนเก่งเหมือนกันนะ”เฟิ่งชูอิ่งตวัดสายตามองเขา “ข้าคิดว่าเจ้าก็น่าตบเหมือนกันนะ”หลังจากปู๋เยี่ยโหวประคองนางนั่งลงแล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้าอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ”เฟิ่งชูอิ่งจึงถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนบอกเขาเรื่องที่ข้ายังไม่ตายหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวส่ายหน้า “ข้าชอบเจ้าจะตายไป แล้วยังอยากแต่งเจ้าเป็นภรรยาด้วย ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ทำไมจะต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกเขาด้วยล่ะ!”เฟิ่งชูอิ่ง “……”นี่มันเป็นการสารภาพความในใจที่ปุปปับอย่างมาก แต่มันก็สมกับเป็นปู๋เยี่ยโหวแล้วล่ะนางถลึงตาใส่เขา เขากลับสงวนท่าทีเกียจคร้านไม่เอาการเอางานในยามปกติ มองนางด้วยสายตาจริงจัง “เรื่องที่ข้าชอบเจ้า ข้าจริงจังมาโดยตลอดนะ!”“พวกเราก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้แล้ว ข้าเป็นคนอย่างไร เจ้าคงรู้ดีแก่ใจ”“ข้ายอมรับว่าข้าดูเหมือนคนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ก่อนหน้
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดีคำพูดถัดมาของเขายิ่งทำให้นางไม่รู้จะพูดอะไรหนักยิ่งกว่าเดิม “ข้ากับจิ่งโม่เยี่ยเป็นบุรุษที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”“สิ่งที่เขามอบให้เจ้าได้ ข้าก็สามารถมอบให้เจ้าได้เช่นกัน สิ่งที่เขาไม่สามารถมอบให้เจ้าได้ แต่ข้ามอบให้เจ้าได้”เฟิ่งชูอิ่งเงียบไปสักพักแล้วเอ่ยว่า “จิ่งโม่เยี่ยนั่งอยู่ข้างนอกนั่น เจ้าทำแบบนี้ไม่กลัวถูกเขาต่อยเอาหรือไง?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มบางๆ “ตั้งแต่ข้ารู้ตัวว่าชอบเจ้า ก็เตรียมใจจะแตกหักกับเขาเรียบร้อยแล้วล่ะ”“เขาคิดจะทุบตีข้า แต่ใช่ว่าข้าจะเป็นฝ่ายแพ้เสียเมื่อไหร่”เขาพูดประโยคนี้ด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจเฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ แล้วหยิบไม้ขนไก่ออกมาฟาดเขา “เจ้าช่างใจกล้าเหลือเกินนะ เดี๋ยวนี้กล้าหยอกล้อข้าเล่นแล้วหรือ!”ปู๋เยี่ยโหว “……”เขาเดาการตอบสนองของนางเอาไว้เล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะตอบสนองเช่นนี้เขากระโดดหลบไปข้างๆ “เรื่องที่ข้าพูดออกไป เจ้าเก็บไปคิดดีๆ ล่ะ! ข้าคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เลวเลยนะ!”ตอนที่เฟิ่งชูอิ่งหยิบไม้ขนไก่ขึ้นมาเตรียมเขวี้ยงใส่เขา เขาก็เผ่นหนีออกไปแล้วพอเขาออกมาข้างนอกก็เจอจิ่งโม่เยี
พอเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา เฟิ่งชูอิ่งก็รู้สึกว่าบางทีการฆ่าจิ่งโม่เยี่ยทิ้งอาจจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดนางหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะวางยันต์พวกนั้นไว้ในจุดที่นางหยิบจับง่ายมากที่สุดจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่หน้าประตู มองต้นไม้ที่ถูกสายลมพัดพาด้านหน้าเรือน เหลือบมองเมฆที่ลอยล่องบนท้องฟ้านัยน์ตาของเขาสงบนิ่ง จิตใจเองก็ค่อยๆ สงบลงเช่นกันผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ เขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปและพบว่าเฟิ่งชูอิ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูนางใช้ไม้เท้าช่วยค้ำยัน ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้เขา “ปล่อยให้ท่านอ๋องต้องคอยนานแล้ว”“วันนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในจวน หากต้อนรับได้ไม่ดีพอ ท่านอ๋องก็อย่าถือสาหาความกันเลย”จิ่งโม่เยี่ยมองนางแวบหนึ่งแล้วหลุบตาลง “ไม่เป็นไร”ก่อนหน้านี้เขาเกลียดการที่นางส่งยิ้มแบบนี้ให้เขามากที่สุด แม้รอยยิ้มของนางจะดูจริงใจอย่างมาก แต่เขารู้ดีว่านั่นเป็นรอยยิ้มจอมปลอมแต่ตอนนี้แค่ได้เห็นหน้านางก็ถือว่าดีมากแล้ว ต่อให้เป็นรอยยิ้มจอมปลอม แต่นั่นก็ยังเป็นรอยยิ้มของนางในช่วงเวลานี้ เขาพลันเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าก่อนหน้านี้ ทำไมนางจึงมักจะโกหกหลอกลวงตนเองบ่อยๆระ
“ก่อนหน้านี้ข้ายอมเพื่อความอยู่รอด เรื่องหลายอย่างข้าจึงยอมอดทน ยอมถอยให้”“แต่ตอนนี้ข้าตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็เลยไม่อยากทนต่อไปอีก”“วันนี้ข้าจะขอบอกกับท่านอ๋องตรงๆ เลยก็แล้วกัน ถึงพวกเราจะเคยกราบไหว้ฟ้าดินมาแล้ว แต่ไม่นับว่าเป็นสามีภรรยาอย่างแน่นอน”“หากท่านอ๋องยังคิดจะบีบบังคับข้าเหมือนเมื่อก่อน ไล่ต้อนให้ข้าทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ถ้างั้นก็คงต้องแตกหักชนิดสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง”จิ่งโม่เยี่ยได้ฟังที่นางพูดก็ไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะเขาคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วแต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังเจ็บปวดมากอยู่ดีเขาถามนาง “เจ้าอยากหย่ากับข้าหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “หากท่านอ๋องคิดว่าการหย่าร้างทำให้เสียศักดิ์ศรีของบุรุษ ท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้าแทนก็ได้”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยสั่นไหวเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าอยากแยกทาง งั้นพวกเราก็หย่าขาดกันเถอะ”เฟิ่งชูอิ่งเตรียมใจฟังการปฏิเสธจากเขาเอาไว้แล้ว แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมตกลงอย่างง่ายดายการที่เขาตอบตกลงง่ายขนาดนี้ ทำให้นางรู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นแผนร้ายบางอย่างนางมองเขาด้วยท่าทางระแว
เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ไม่ได้เปลี่ยนใจ ครั้งก่อนถึงท่านจะมีใจคิดสังหารข้า แต่ความจริงข้าไม่ได้ตายเพราะน้ำมือของท่าน ระหว่างพวกเราจึงไม่มีความแค้นยิ่งใหญ่อะไร”“ท่านเป็นถึงอ๋องผู้สำเร็จราชการของแคว้น มีไอมังกรคุ้มกาย ผลลัพธ์ของการฆ่าท่านมันยิ่งใหญ่มาก”“ดังนั้นหากท่านไม่บีบคั้นข้าจนเกินไป ข้าก็ไม่คิดจะแตกหักกับท่านถึงขั้นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งหรอก”“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ท่านเพิ่งจะตกลงเรื่องการหย่าร้างเลย นับว่ามีความจริงใจอยู่บ้าง ข้าจึงไม่อยากแตกหักกับท่านถึงขั้นนั้น”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยสั่นไหว “ตอนนี้เจ้าตรงไปตรงมาน่าดูเลยนะ”เฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะท่านอ๋องเคยพูดไว้ว่าไม่ชอบฟังคำโกหกของข้ามากที่สุดนี่นา”“ข้าลองคิดๆ ดูแล้ว คิดว่าคงไม่จำเป็นจะต้องโกหกยามอยู่ต่อหน้าท่านอีก”จิ่งโม่เยี่ยเข้าใจความหมายที่ซ่อนในคำพูดของนางก่อนหน้านี้นางโกหกตอนอยู่กับเขาเพราะนางหวาดกลัวเขา เพื่อเอาชีวิตรอดนางจึงต้องพูดในสิ่งที่เขาชื่นชอบ ดังนั้นนางจึงต้องโกหกทว่าตอนนี้ทั้งสองทะเลาะกันจนถึงขั้นนี้แล้ว นางถึงขนาดเตรียมใจจะแตกหักกับเขา ดังนั้นจึงไม่คิดจะโกหกอีกต่อไปจิ่งโม่เยี่
“ถ้าเจ้าอยากได้ชีวิตของข้า ก็มาเอาไปได้ตลอดเวลาเลย”เดิมทีเฟิ่งชูอิ่งยังอยากจะบอกเขาว่า ครั้งนี้ต่อให้เขาจะเอายันต์ทั้งหมดของนางไป แต่หากนางคิดจะฆ่าเขาก็สามารถลงมือได้ตลอดเวลาแต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแสดงท่าทางเช่นนี้ให้นางเห็นนางบอกว่าอยากหย่าขาด เขาก็ยอมตกลงหย่าขาดกับนางนางบอกว่าอยากฆ่าเขา เขาก็ยืนเฉยๆ ปล่อยให้นางลงมือได้ตามใจชอบนางเตรียมใจมาต่อสู้ห้ำหั่นกับเขาแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ได้เตรียมใจว่าเขาจะยอมอยู่เฉยๆ ให้นางลงมือเช่นนี้นัยน์ตาของนางเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ใช่ท่านอ๋อง ไม่มีทางใจร้ายใจดำสังหารคนบริสุทธิ์ได้ลงคอหรอก”“วันนี้ท่านช่วยเหลือท่านพ่อของข้าไว้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ หากท่านไม่บีบคั้นข้า ข้าก็ไม่คิดจะฆ่าท่านหรอก”นางกลางถึงตรงนี้ก็ถอยห่างอีกหนึ่งก้าว “ข้ากับท่านอ๋องไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกันอีกแล้ว นับจากนี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก พวกเราก็ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีเถอะ”ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงสองก้าว แต่ระยะห่างเท่านี้ในสายตาของจิ่งโม่เยี่ย มันกลับห่างไกลราวกับเส้นแบ่งที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ระยะห่างนี้ก็คือตัวแทนความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู
สายตาของจิ่งโม่เยี่ยกวาดมองเนื้อหาที่อยู่บนบนใบหย่า เนื้อหาในใบหย่านั้นค่อนข้างเป็นเพียงรูปแบบทั่วไปเท่านั้น นางไม่ได้เขียนรายละเอียดอะไรมากมายนักเหตุผลในการหย่าร้าง นางก็เขียนอย่างง่ายๆ ว่านิสัยเข้ากันไม่ได้จิ่งโม่เยี่ยก้มมองใบหย่าที่เรียบง่ายและไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกนั้น เขารู้สึกเหมือนมีมีดมาแทงหัวใจเขา แทงซ้ำๆ จนเลือดไหลไม่หยุดเขาไม่พูดอะไร ใช้มือข้างที่บาดเจ็บประทับตราลงบนกระดาษเบาๆเฟิ่งชูอิ่งมองเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าของเขาไม่แสดงสีหน้าอะไรมากมาย แต่ผมสีขาวโพลนกลับทำให้เขาดูซูบเซียวและโทรมลงมากนางเข้าใจและรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมที่เขาต้องเผชิญตั้งแต่เด็ก รู้ว่ามันทำให้เขาเป็นคนดื้อรั้นและนำมาซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันนางเห็นอกเห็นใจเขา เรื่องในคืนแต่งงานไม่ควรโทษว่าเป็นความผิดของเขาทั้งหมด ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะให้อภัยเขา ปลดปล่อยเขาจากความรู้สึกผิด แล้วก็ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระด้วยชีวิตคนเรายาวนานแต่บางครั้งก็แสนสั้น นอกจากความรักหญิงชายแล้ว ก็ยังมีเรื่องอีกมากมายรอให้ทำชีวิตของนาง นางหวงแหนมากชีวิตของนาง นางก็หวังว่ามันจะน่าตื่นเต้นและมีชีวิตชีวามากกว่านี้สักหน่อยจิ่
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท