ก่อนเฟิ่งชูอิ่งจะทะลุมิติมา น้องสาวของนางเคยบอกว่าจิ่งโม่เยี่ยทำตัวเป็นศัตรูกับพระเอก เพราะว่าเขาหลงรักนางเอกของเรื่อง ก็เลยเป็นบ้าอาละวาดเพราะนางเอกจิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งชอบพูดจาไร้สาระเป็นเรื่องปกติ จึงคิดว่าคำพูดที่ออกจากปากของนางไม่ควรเก็บมาใส่ใจ นางก็แค่พยายามประจบเอาใจเขาเท่านั้นสำหรับเขาแล้ว สตรีที่สามารถทำให้เขาจดจำได้ นอกจากมารดาของเขาแล้ว ก็มีแต่นางนี่แหละคนในดวงใจอะไรนั่น มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วเขาจับประเด็นสำคัญได้หนึ่งอย่าง “แกล้งตาย?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “ใช่เพคะ อย่างไรเสียว่าที่พระชายาของท่านอ๋องก็ตายไปตั้งเยอะแล้ว เพิ่มข้าอีกสักคนจะเป็นไรไป“หลังจากข้าแกล้งตายและออกจากเมืองหลวงแล้ว จะต้องอยู่ให้ห่างจากท่านอ๋องที่สุด หลังจากนี้ไปจะไม่โผล่มาให้เห็นหน้าหรือทำให้อารมณ์ของท่านอ๋องขุ่นมัว”สีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดใดทั้งนั้น เขาถามว่า “เจ้าตั้งใจจะแกล้งตายแล้วหนีออกจากเมืองตอนไหนล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ท่านลุงของข้าฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังเป็นเด็กไม่รู้ความ ฮุบสมบัติที่บิดามารดาของข้าทิ้งไว้ให้ไปหมดเลย“หลังจากข้าทวงสมบัติทั้งหมดของข้าคืนจากจวนสกุลหลินได
นางเหลือบไปเห็นเนินดินที่มีร่องรอยถูกขุด เมื่อกี้นี้ยังไม่มีรอยพวกนี้เลยนะก่อนหน้านี้นางแค่เดินไปล้างกระบี่ที่ลำธารใกล้ๆ มันใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เองแล้วนางยังไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอะไรเลย คนของจิ่งโม่เยี่ยกลับขุดหลุมฝังพวกชายฉกรรจ์หมดแล้ว?ที่สำคัญ นางแทบไม่รู้ไม่เห็นเลยว่าคนของจิ่งโม่เยี่ยลงมือตอนไหน!จิ่งโม่เยี่ยเห็นสายตาตื่นตระหนกของนางจึงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ “ทำไมล่ะ? เจ้าเองก็อยากลองถูกฝังทั้งเป็นดูบ้างหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งส่ายหน้ารัวๆ “ขอบพระทัย แต่ไม่อยากลองเพคะ!”หากคนอื่นเป็นคนพูดก็คงคิดว่าแค่หยอกเย้านางเล่นเท่านั้น แต่หากเขาเป็นคนพูดต้องทำจริงแน่!จิ่งโม่เยี่ยใช้หางตาเหลือบมองนางแล้วกล่าวว่า “ไม่อยากลองก็ตามมา”เฟิ่งชูอิ่งรีบกอดกระบี่แล้ววิ่งตามเขาไปอย่างว่องไว นางไม่อยากถูกฝังทั้งเป็นอยู่ที่นี่หรอกตอนที่นางเดินผ่านสารถีแซ่หลิว ก็ขยับมือสร้างมุทราคราหนึ่ง เขาก็หยุดยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับคนเหม่อลอยทันทีจิ่งโม่เยี่ยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจสาเหตุที่เขากลบฝังพวกชายฉกรรจ์ทั้งหมดนั่นทั้งเป็น เพราะว่าเขารังเกียจเดียดฉันท์การกระทำต่ำช
นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ระแวดระวังทันที “ยันต์ที่ข้าใช้กับชายฉกรรจ์พวกนั้นเป็นยันต์ตรึงกายา แต่ยันต์ที่ท่านอ๋องใช้กับเจ้าอาวาสเป็นยันต์อสนีบาตเพคะ”ตอนนี้นางรู้สึกดีใจอยู่อย่างหนึ่ง ถึงแม้ร่างกายนี้จะเหมาะสมกับการเรียนวิชาเต๋ามาก แต่อย่างไรเสียก็ยังมีเวลาเรียนจำกัดอยู่ นางจึงยังเขียนยันต์ปัญจอสนีไม่ได้ เขียนได้เพียงยันต์อสนีบาตธรรมดาหากเมื่อครู่นี้เจ้าอาวาสโดนแปะยันต์ปัญจอสนี เกรงว่าเขาจะถูกสายฟ้าฟาดจนกลับไปยังปรโลกแล้วจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือไปประคองเจ้าอาวาสแล้วถามนาง “ทำไมเจ้าถึงเอายันต์อสนีบาตให้ข้าล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ “ท่านอ๋องบอกให้ข้าส่งยันต์ให้หนึ่งแผ่น ไม่ได้เจาะจงนี่เพคะว่าเป็นยันต์อะไร“ข้าก็เลยล้วงหยิบแบบส่งเดช ยันต์อสนีบาตดันอยู่บนสุด ข้าก็เลยส่งยันต์แผ่นนั้นให้ท่านอ๋องไป“ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าท่านอ๋องจะเอาไปใช้แปะศีรษะของเจ้าอาวาสเช่นนั้น!”จิ่งโม่เยี่ยถลึงตาโตจ้องมองเฟิ่งชูอิ่ง นางก็เลยถลึงตาโตจ้องเขากลับไปเจ้าอาวาสถูกฟ้าผ่าจนสติสัมปชัญญะหลุดลอย หลังได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองก็รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาจับใจ ตัวเองไม่เกี่ยวข้องอะไรแท้ๆ ดันต้องรับกรรมเสียอย
ยันต์ที่เฟิ่งชูอิ่งเขียนออกมา จะต้องเป็นยันต์ระดับสูงสุดที่เขาเคยพบเจอมาแน่ๆเขาจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งตาค้าง ถามนางว่า “ยันต์ใบนี้ยกให้ข้าได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนนางถูกเขาเอาทรัพย์สินเงินทองส่วนหนึ่งไป จึงถามกลับว่า “เจ้ายินดีจ่ายเงินซื้อไหม?”เจ้าอาวาส “......”ดวงตากลมโตประสานกับดวงตาเรียวเล็กเจ้าอาวาสถาม “เจ้าคิดเงินเท่าไหร่?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “หนึ่งร้อยตำลึงคงไม่มากไปสินะ?”เจ้าอาวาสรีบหันไปสั่งพระที่อยู่ด้านหลัง “ไปหยิบเงินมาหนึ่งพันตำลึง”หลังจากนำเงินมาแล้วก็กล่าวกับเฟิ่งชูอิ่งอย่างยิ้มแย้ม “หนึ่งพันตำลึงเงิน เจ้าช่วยเขียนยันต์ให้ข้าอีกเก้าแผ่นได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาใช้เท้าเตะเจ้าอาวาสหนึ่งที “ข้ามาหาเจ้าเพื่อให้ช่วยกันหาทางแก้คำสาป ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาซื้อขายยันต์กัน”เจ้าอาวาสรีบเอ่ยว่า “เรื่องคำสาปเดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ข้าจะซื้อยันต์ก่อน เจ้าไม่รู้หรอกว่ายันต์พวกนี้มันหายากขนาดไหน!”เขาก็เขียนยันต์ได้เหมือนกัน แต่โอกาสสำเร็จมีไม่มากนัก อีกอย่างเขาก็ถนัดพวกยันต์คุ้มครองด้วยยันต์ที่ใช้โจมตีแบบนี้เป็นของที่หายากมาก ยันต์ป
ต่อให้เป็นจิ่งโม่เยี่ย ก็ยังคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะดำเนินมาทางนี้ได้เขาเอ่ยหน้ามืดครึ้ม “พวกเจ้าคุยกันจบหรือยัง?”เจ้าอาวาสตอบอย่างมีความสุข “คุยจบแล้ว คุยจบแล้ว ทีนี้พวกเราจะปรึกษากันเรื่องคำสาปของท่านอ๋องแล้ว”จิ่งโม่เยี่ยมองท่าทางระริกระรี้ของเขาแล้วรู้สึกอยากจะถีบให้กระเด็นเหลือเกินเจ้าอาวาสเห็นเขาสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงตระหนักได้ว่าวันนี้ตัวเองเผลอลืมตัวไปหน่อยเขาจึงกระแอมไอแล้วบอกกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “คำสาปของท่านอ๋องร้ายแรงมากเลยล่ะ“ขนาดท่านอ๋องเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าโดนคำสาปตั้งแต่ตอนไหน และใครเป็นคนลงมือสาปแช่งเขา“คำสาปนี้โหดเหี้ยมอย่างมาก นอกจากจะช่วงชิงชีวิตคนเดียว ยังทำให้โชคชะตาของคนผู้นั้นถูกช่วงชิงไปตลอดเวลาด้วย“อีกทั้งคำสาปชนิดนี้ยังจะสลักความหวาดกลัวและความปรารถนาลงในจิตใจคน ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นพวกโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ไม่มีทางนอนหลับได้ หากหลับก็ต้องเผชิญหน้ากับฝันร้าย”ก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งเคยสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาของจิ่งโม่เยี่ย จึงเดาว่าเขาน่าจะมีปัญหากับการนอนหลับ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการที่เขาหลับยากขนาดนี้จะเป็นผลจากคำสาปนางเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นท่านอ๋องรู้ตัวตอน
เจ้าอาวาสรีบถามว่า “แล้วคำสาปชนิดนี้เจ้าแก้ไขได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “หากคิดจะแก้คำสาป ก็ต้องหาของต้องสาปให้เจอก่อน ขอแค่ทำลายของต้องสาปชิ้นนั้นได้ก็พอแล้ว”เจ้าอาวาสถามต่อ “แล้วเจ้าพอจะมีวิธีหาของต้องสาปชิ้นนั้นไหม?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดสักพัก “หากไปค้นหาตรงๆ ก็คงไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ไม่มีทางหาเจอแน่นอน“ท่านอ๋อง ท่านพอจะมีคนที่สงสัยอยู่บ้างไหม?”จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเฉยชา “ในเมืองหลวงแห่งนี้ คนที่อยากจะฆ่าข้ามีเยอะจนนับไม่ถูกเชียวล่ะ“ส่วนคนที่ข้าสงสัย ก่อนหน้านี้เคยลองตรวจสอบดูแล้ว อีกฝ่ายเก็บซ่อนได้มิดชิดมาก ก็เลยไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”เฟิ่งชูอิ่งไม่คิดสงสัยความสามารถของเขาสักนิด หากเขานำกำลังพลออกตามหา การจะใช้คำว่าพลิกแผ่นดินหาก็ไม่เกินจริงเลยหากหาขนาดนั้นก็ยังหาไม่เจอ ก็แปลว่ากำลังมุ่งเป้าไปผิดทาง หรือไม่ก็อีกฝ่ายเตรียมการป้องกันมาอย่างดีแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็เป็นเรื่องที่ตึงมือทั้งนั้นเจ้าอาวาสถอนหายใจยาวเหยียด “ตั้งแต่พบว่าท่านอ๋องถูกคำสาปก็ผ่านมาห้าปีแล้ว“หากเป็นสถานการณ์ปกติ คนทั่วไปที่ถูกคำสาปเช่นนี้กัดกิน เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้นานสุดแค่สามปี โชคชะตาก็ถูกสูบจน
เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “วิธีการของข้าคือให้ท่านอ๋องปลดปล่อยพลังงานชั่วร้ายออกมาทั้งหมด“อย่างไรเสียคนรอบตัวท่านอ๋องก็มีเพียงไทเฮาที่ทรงรักท่านอ๋องจากใจจริง คนที่เหลือล้วนหวังจะทำร้ายท่านอ๋องทั้งนั้น“ตอนท่านอ๋องไปพบไทเฮาก็พกเครื่องรางที่ช่วยสะกดพลังชั่วร้ายเอาไว้ ในยามปกติหากไม่ชอบขี้หน้าใคร ท่านก็ไปเดินเล่นในบ้านของคนผู้นั้นทุกวัน“พวกเขาบอกว่าท่านอ๋องเป็นดาวหายนะมิใช่หรือ ถ้างั้นท่านอ๋องก็เล่นงานคนที่ขัดหูขัดตาให้ตายไปเลยสิ”เจ้าอาวาส “!!!!!!”จิ่งโม่เยี่ย “......”พวกเขาตระหนักจากใจจริงว่าวิธีการคิดของเฟิ่งชูอิ่งผิดแผกมาก เป็นมุมมองที่พวกเขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยแต่พอลองคิดทบทวนดูดีๆ กลับรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อยเจ้าอาวาสเบนหน้าไปทางจิ่งโม่เยี่ย เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เพียงถอดสร้อยประคำออกจากมือพริบตาที่เขาถอดสร้อยประคำเส้นนั้นออก เจ้าอาวาสกับเฟิ่งชูอิ่งก็เปิดเนตรทิพย์พร้อมกัน พวกเขาจึงมองเห็นพลังงานชั่วร้ายที่ถูกระบายออกมาจากร่างของเขาเจ้าอาวาสก่นด่าขณะถอยหลังหนี “เวรเอ๊ย ทำไมเจ้าถึงถอดสร้อยประคำโดยไม่พูดไม่จาสักคำ!“เจ้าอยากจะทำให้ใครตายก็ไปหาคนนั้นสิ ทำไมต้องมาเล่นงานข้าด้ว
เพราะความเป็นจริงแล้วตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จะได้ผลหรือไม่ก็พิสูจน์ไม่ได้อีกเฟิ่งชูอิ่งจึงตอบหน้าตายว่า “ดังนั้นข้าถึงได้บอกไงเพคะ ว่าท่านอ๋องกล้าลงมือโหดเหี้ยมกับตัวเองแค่ไหน“ยิ่งท่านลงมือกับตัวเองโหดเหี้ยมเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็จะยิ่งลงมือกับตัวเองโหดเหี้ยมเท่านั้น“ด้วยเหตุนี้เอง บนร่างของคนผู้นั้นจะต้องหลงเหลือบาดแผลอยู่อย่างแน่นอน ท่านอ๋องแค่ส่งคนไปสืบเป้าหมายที่สงสัย ก็จะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร”จิ่งโม่เยี่ย “......”เจ้าอาวาสที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสริม “วิชานี้ข้าเคยได้ยินมาก่อนนะ ตามหลักการแล้วมันสามารถทำได้จริง“เพราะว่าคนที่ทำร้ายท่านอ๋องกำลังใช้โชคชะตาที่ขโมยไปจากตัวของท่านอ๋อง ดังนั้นหากมองในมุมกลับกันแล้ว มันสามารถทำได้จริงๆ”เขากล่าวจบก็หันไปถามเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้าใช้วิชานี้ได้จริงๆ หรือ?”นางพยักหน้าหงึกๆ เจ้าอาวาสจึงเอ่ยด้วยท่าทางตื่นเต้น “ท่านอ๋อง ลองดูหน่อยสิ! เผื่อมันใช้ได้ผลจริงๆ ไง?“อีกอย่างต่อให้มันใช้ไม่ได้ผล ด้วยความสามารถของท่านแล้ว อย่างไรก็ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวหรอก”จิ่งโม่เยี่ยเอียงศีรษะมองคนทั้งสอง ทั้งสองคนก็หันมองเขาด้วยสีหน้าคาดหวังเขามองออกว่าทั้งส
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท