เจ้าอาวาสรีบถามว่า “แล้วคำสาปชนิดนี้เจ้าแก้ไขได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “หากคิดจะแก้คำสาป ก็ต้องหาของต้องสาปให้เจอก่อน ขอแค่ทำลายของต้องสาปชิ้นนั้นได้ก็พอแล้ว”เจ้าอาวาสถามต่อ “แล้วเจ้าพอจะมีวิธีหาของต้องสาปชิ้นนั้นไหม?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดสักพัก “หากไปค้นหาตรงๆ ก็คงไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ไม่มีทางหาเจอแน่นอน“ท่านอ๋อง ท่านพอจะมีคนที่สงสัยอยู่บ้างไหม?”จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเฉยชา “ในเมืองหลวงแห่งนี้ คนที่อยากจะฆ่าข้ามีเยอะจนนับไม่ถูกเชียวล่ะ“ส่วนคนที่ข้าสงสัย ก่อนหน้านี้เคยลองตรวจสอบดูแล้ว อีกฝ่ายเก็บซ่อนได้มิดชิดมาก ก็เลยไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”เฟิ่งชูอิ่งไม่คิดสงสัยความสามารถของเขาสักนิด หากเขานำกำลังพลออกตามหา การจะใช้คำว่าพลิกแผ่นดินหาก็ไม่เกินจริงเลยหากหาขนาดนั้นก็ยังหาไม่เจอ ก็แปลว่ากำลังมุ่งเป้าไปผิดทาง หรือไม่ก็อีกฝ่ายเตรียมการป้องกันมาอย่างดีแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็เป็นเรื่องที่ตึงมือทั้งนั้นเจ้าอาวาสถอนหายใจยาวเหยียด “ตั้งแต่พบว่าท่านอ๋องถูกคำสาปก็ผ่านมาห้าปีแล้ว“หากเป็นสถานการณ์ปกติ คนทั่วไปที่ถูกคำสาปเช่นนี้กัดกิน เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้นานสุดแค่สามปี โชคชะตาก็ถูกสูบจน
เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “วิธีการของข้าคือให้ท่านอ๋องปลดปล่อยพลังงานชั่วร้ายออกมาทั้งหมด“อย่างไรเสียคนรอบตัวท่านอ๋องก็มีเพียงไทเฮาที่ทรงรักท่านอ๋องจากใจจริง คนที่เหลือล้วนหวังจะทำร้ายท่านอ๋องทั้งนั้น“ตอนท่านอ๋องไปพบไทเฮาก็พกเครื่องรางที่ช่วยสะกดพลังชั่วร้ายเอาไว้ ในยามปกติหากไม่ชอบขี้หน้าใคร ท่านก็ไปเดินเล่นในบ้านของคนผู้นั้นทุกวัน“พวกเขาบอกว่าท่านอ๋องเป็นดาวหายนะมิใช่หรือ ถ้างั้นท่านอ๋องก็เล่นงานคนที่ขัดหูขัดตาให้ตายไปเลยสิ”เจ้าอาวาส “!!!!!!”จิ่งโม่เยี่ย “......”พวกเขาตระหนักจากใจจริงว่าวิธีการคิดของเฟิ่งชูอิ่งผิดแผกมาก เป็นมุมมองที่พวกเขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยแต่พอลองคิดทบทวนดูดีๆ กลับรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อยเจ้าอาวาสเบนหน้าไปทางจิ่งโม่เยี่ย เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เพียงถอดสร้อยประคำออกจากมือพริบตาที่เขาถอดสร้อยประคำเส้นนั้นออก เจ้าอาวาสกับเฟิ่งชูอิ่งก็เปิดเนตรทิพย์พร้อมกัน พวกเขาจึงมองเห็นพลังงานชั่วร้ายที่ถูกระบายออกมาจากร่างของเขาเจ้าอาวาสก่นด่าขณะถอยหลังหนี “เวรเอ๊ย ทำไมเจ้าถึงถอดสร้อยประคำโดยไม่พูดไม่จาสักคำ!“เจ้าอยากจะทำให้ใครตายก็ไปหาคนนั้นสิ ทำไมต้องมาเล่นงานข้าด้ว
เพราะความเป็นจริงแล้วตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จะได้ผลหรือไม่ก็พิสูจน์ไม่ได้อีกเฟิ่งชูอิ่งจึงตอบหน้าตายว่า “ดังนั้นข้าถึงได้บอกไงเพคะ ว่าท่านอ๋องกล้าลงมือโหดเหี้ยมกับตัวเองแค่ไหน“ยิ่งท่านลงมือกับตัวเองโหดเหี้ยมเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็จะยิ่งลงมือกับตัวเองโหดเหี้ยมเท่านั้น“ด้วยเหตุนี้เอง บนร่างของคนผู้นั้นจะต้องหลงเหลือบาดแผลอยู่อย่างแน่นอน ท่านอ๋องแค่ส่งคนไปสืบเป้าหมายที่สงสัย ก็จะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร”จิ่งโม่เยี่ย “......”เจ้าอาวาสที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสริม “วิชานี้ข้าเคยได้ยินมาก่อนนะ ตามหลักการแล้วมันสามารถทำได้จริง“เพราะว่าคนที่ทำร้ายท่านอ๋องกำลังใช้โชคชะตาที่ขโมยไปจากตัวของท่านอ๋อง ดังนั้นหากมองในมุมกลับกันแล้ว มันสามารถทำได้จริงๆ”เขากล่าวจบก็หันไปถามเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้าใช้วิชานี้ได้จริงๆ หรือ?”นางพยักหน้าหงึกๆ เจ้าอาวาสจึงเอ่ยด้วยท่าทางตื่นเต้น “ท่านอ๋อง ลองดูหน่อยสิ! เผื่อมันใช้ได้ผลจริงๆ ไง?“อีกอย่างต่อให้มันใช้ไม่ได้ผล ด้วยความสามารถของท่านแล้ว อย่างไรก็ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวหรอก”จิ่งโม่เยี่ยเอียงศีรษะมองคนทั้งสอง ทั้งสองคนก็หันมองเขาด้วยสีหน้าคาดหวังเขามองออกว่าทั้งส
เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยน่าจะป่วย ป่วยหนักมากเสียด้วย!มีคนปกติที่ไหนจะขอยันต์จากคนอื่นทีละหนึ่งร้อยแผ่นบ้าง? เขาคิดว่านางใช้เครื่องพิมพ์ทำหรือไง?นางสูดหายใจลึกๆ แล้วหันไปหาเจ้าอาวาส “รบกวนท่านเจ้าอาวาสอธิบายให้ท่านอ๋องฟังหน่อยเถอะว่าการเขียนยันต์แต่ละใบมันยากขนาดไหน”วันนี้นางขายยันต์ให้เจ้าอาวาสในราคาถูก เจ้าอาวาสจึงติดหนี้น้ำใจนางอยู่เขาหันไปหาจิ่งโม่เยี่ยแล้วกล่าว “ท่านอ๋อง การเขียนยันต์ไม่ใช่แค่การวาดลงบนกระดาษ ของพวกนี้จำเป็นจะต้องดึงพลังวิญญาณในห้วงฟ้าดินมาใช้ เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากเลย“ท่านขอทีเดียวหนึ่งร้อยแผ่น มันออกจะมากเกินไป”เฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย “ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ท่านอ๋อง ยันต์เขียนได้ยากมาก เป็นของที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ไม่ใช่ผักกาดขาว[footnoteRef:1]นะเพคะ!” [1: ใช้เปรียบเทียบของที่มีราคาถูก] “อีกอย่างยันต์พวกนี้ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายทุกครั้งที่ใช้ด้วย ภายในสิบวันไม่ควรใช้เกินหนึ่งแผ่นเพคะ”อันที่จริงก็ใช้ได้ทุกวันนั่นแหละ แต่นางไม่อยากถูกเขากดหัวใช้เป็นทาส ในเวลาแบบนี้ นางจึงคิดจะรักษาภาพพจน์ของผู้มีคุณธรรมสูงส่งเอาไว้จะปล่อยให้จิ่
ความจริงแล้วจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้หวงสินสอด แต่เป็นเพราะว่าที่พระชายาของเขาตายไปเจ็ดคนแล้วมีหลายคนที่เขายังไม่ทันจะส่งสินสอดไปพวกนางก็ชิงตายเสียก่อน เขาก็เลยคิดว่าไม่ควรจะเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นพอถึงคราวของเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็เลยตัดสินใจจะมอบสินสอดให้วันแต่งงานเลย จะได้ไม่ต้องยุ่งยากนัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยดำดิ่งเย็นเยือก มือของเขาเลื่อนจับด้ามกระบี่เจ้าอาวาสตกใจจนสะดุ้ง รีบกดมือเขาแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถอะ!“นางเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ท่านอย่าได้ถือสาหาความกับนางเลย“ถ้าอย่างไร...ข้ายอมจ่ายเงินก้อนนี้แทนท่านก็ได้”จิ่งโม่เยี่ยกับเฟิ่งชูอิ่งตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้”เจ้าอาวาส “......”เขาชักจะสงสัยแล้วสิว่าสองคนนี้ร่วมมือกันปล้นเขาเขาถามว่า “ข้าเปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม?”จิ่งโม่เยี่ย “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่ง ”ไม่ทันแล้ว!”เจ้าอาวาส “......”โดนแล้วไง เขาโดนสองคนนี้หลอกปล้นเงินอย่างจังเลยโชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาช่วยปัดเป่าพลังชั่วร้ายให้จิ่งโม่เยี่ย จิ่งโม่เยี่ยก็เลยมอบเงินให้เขามหาศาลทีเดียวเขาตัดสินใจจะหักเงินจำนวนนี้จากในนั้นหลังจากตกลงกันได้แล้ว วันนี้เฟิ่ง
จิ่งโม่เยี่ยไม่พูดอะไร นางจึงกล่าวต่อว่า “ชีวิตของท่านอ๋องคงไม่ได้มีค่าแค่แสนตำลึงกระมัง ท่านอ๋องคงจะไม่มีปัญหากับเงินจำนวนเท่านี้หรอก“ข้าเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ท่านอ๋องจ่ายเงินให้ข้าก่อนห้าหมื่นตำลึงเป็นค่ามัดจำ ส่วนที่เหลืออีกห้าหมื่นตำลึงค่อยจ่ายหลังจากแก้คำสาปของท่านอ๋องได้แล้ว”เจ้าอาวาสคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะต้องต่อรองราคาอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับตอบรับทันที “ได้”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเขาตอบตงลงแบบไม่เรื่องมาก นางก็คิดว่าถึงเขาจะนิสัยเลวร้ายไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้เกินเยียวยานางจึงเอ่ยชมเขา “ท่านอ๋องเป็นคนที่ตรงไปตรงมายิ่งนัก!”นางกล่าวจบก็สร้างมุทราประทับใส่ร่างของจิ่งโม่เยี่ย เพียงพริบตาเดียว ไอทมิฬหนาแน่นที่โอบล้อมรอบตัวเขาก็สลายหายไปเกือบหมดเจ้าอาวาสที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ถึงกับตาเหลือก “เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มตอบ “ของแบบนี้แค่มีมือก็ทำได้แล้วมิใช่หรือ?”เจ้าอาวาส “......”จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดว่ามือของเขาช่างไร้ประโยชน์เหลือเกินเฟิ่งชูอิ่งสร้างมุทราอยู่หลายกระบวนท่า พลังงานชั่วร้ายในตัวของจิ่งโม่เยี่ยก็ถูกกำจัดออกไปจนเหลือเพียงชั้นบางๆเจ้าอาวาสเบิกตาโตกล่าวว่า
ทางด้านจวนสกุลหลิน นางไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่อย่างสงบสุขแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าระหว่างที่นางเสียเวลาอยู่นี้ ทางด้านฮว๋าซื่อจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วสถานการณ์ของฮว๋าซื่อในยามนี้มิสู้ดีนักตอนที่นางตกลงไปในน้ำ นางตระหนักได้เลยว่าวันนี้ตนเองอาจจะไม่รอดแล้วแต่ชะตาของนางยังไม่ขาด เพราะตอนที่นางตกน้ำไป ขบวนเสด็จของอ๋องเฉินก็อยู่แถวนั้นพอดี เขาจึงสั่งให้คนลงไปช่วยนางและสาวใช้ขึ้นมาจากน้ำตอนที่นางถูกช่วยขึ้นมายังอยู่ในอาการสลบไสล อ๋องเฉินจึงสั่งให้คนพาตัวนางไปส่งที่โรงหมอใกล้ๆ หลังจากท่านหมอช่วยฝังเข็มให้นาง นางถึงได้สติกลับมาอ๋องเฉินจึงลอบถามความคืบหน้าของเรื่องราวต่างๆ นางจึงแอบบอก อ๋องเฉินไปว่าวันนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่มีทางรอดแน่นอนอ๋องเฉินพึงพอใจกับผลลัพธ์ของเรื่องนี้มาก ทว่าเรื่องบางอย่างเขาไม่อาจทำอย่างเปิดเผย จึงทิ้งรถม้ากับสารถีเอาให้นางใช้งาน ส่วนพวกเขาก็แยกตัวออกไปก่อนวันนี้ฮว๋าซื่อต้องเจอเรื่องสะเทือนขวัญแล้วยังสำลักน้ำไปหลายอึก ร่างกายยังเต็มไปด้วยแผลถลอก นางจึงอารมณ์เสียเป็นอย่างมากนางอยากรู้ว่าตอนนี้ทางด้านเฟิ่งชูอิ่งเป็นอย่างไรบ้าง แต่แค่นางลุกขึ้นยืนก็วิงเวียนหน้ามืด แข้งขาอ่อนแรง จึ
สารถีคนนั้นไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในรถม้า เขาจึงยิ้มแล้วบอกกับหลินชูเจิ้งว่า “ครั้งนี้ฮูหยินของท่านสร้างผลงานใหญ่แล้ว ท่านอ๋องจะต้องมอบรางวัลอย่างงามแน่นอน”หลินชูเจิ้งสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างมาก แต่ก็ยังพยายามฉีกยิ้มกล่าว “ขอบพระทัยท่านอ๋องแล้ว!“ขอบคุณที่ท่านเสียสละเวลามาส่งฮูหยินของข้า มิสู้เข้าไปดื่มชาในจวนสักหน่อยล่ะ?”สารถีส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่รบกวนใต้เท้าหลินดีกว่า ท่านอ๋องยังรอให้ข้ากลับไปรายงานอยู่“รบกวนใต้เท้าหลินประคองฮูหยินของท่านลงจากรถด้วย ข้าจะได้รีบกลับไปรายงานท่านอ๋อง”หลินชูเจิ้งชักจะยิ้มไม่ออกแล้ว แต่เขายังพยายามหาทางรักษาหน้าตาของตัวเองอยู่ “ใช้เวลาไม่นานหรอก“ท่านอ๋องจิตใจดีมีเมตตาต่อข้าทาสบริวาร หากท่านมาถึงจวนของข้าแล้วไม่ได้ดื่มแม้แต่ชาสักถ้วย เดี๋ยวท่านอ๋องจะหาว่าข้าเสียมารยาทได้”สารถีรู้สึกว่าคำพูดของหลินชูเจิ้งก็ฟังดูมีเหตุผล เขาลังเลอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าตกลง ทว่ากลับมีเสียงแปลกๆ ดังมาจากในรถม้าเสียก่อนสารถีเอ่ยถาม “เสียงอะไรน่ะ?”หลินชูเจิ้งรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านหูแว่วแล้ว ไม่มีเสียงอะไรเลย”ทว่าตอนนั้นเอง เสียงกระเส่าก็ดังออกมาจากข้างในอีกครั้ง คราวนี้เสีย
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท