สตรีนางนั้นเห็นเฟิ่งชูอิ่งก็แสดงท่าทีหวาดกลัวผ่านแววตา ถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปหมด ทว่าใบหน้ากลับสงบนิ่งอย่างมาก เอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามีนามว่าอะไร? มาจากที่ไหน?”สตรีนางนั้นแค่มองเห็นนางก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว จึงต้องยอมตอบคำถาม “ข้ามีนามว่าเฟิ่งชืออิน มาจากแคว้นซีฉู่”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางรู้สึกสับสนอย่างหนัก นางเอกในนิยายก็มีนามว่าเฟิ่งชืออินเหมือนกัน!สถานการณ์ตรงหน้าทำให้นางปวดหัวอย่างมาก นางยังคงมีความหวังเล็กๆ อยู่ในใจ หากว่าเฟิ่งชืออินคนนี้แค่มีชื่อเหมือนนางเอกในนิยายล่ะ?นางปรับสภาพจิตใจแล้วถามว่า “ในเมื่อเจ้ามาจากแคว้นซีฉู่ ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีฐานะอะไรในแคว้นซีฉู่ล่ะ?”เฟิ่งชืออินตอบ “ข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางรู้สึกปวดขมับตุ้บๆ อย่างฉับพลัน ปวดอย่างรุนแรงมากด้วยประโยคของเฟิ่งชืออินทำให้ความหวังเสี้ยวสุดท้ายในใจของเฟิ่งชูอิ่งถูกทำลายสิ้น นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย!นางยกมือขึ้นลูบหัวใจตนเองเบาๆ หันมองปู๋เยี่ยโหวแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจะฉีกร่างเขาให้เป็นชิ้นๆนางอยากให้เขาเลิกยุ่งวุ่นวายกับตนเอง
ปู๋เยี่ยโหวถามอย่างเป็นห่วง “ชูชู เจ้าเป็นอะไรไป?”เฟิ่งชูอิ่งนวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ย “เจ้าอย่าเพิ่งคุยกับข้า ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก”ปู๋เยี่ยโหวร้อง ‘อ้อ’ จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ขยับเขยื้อนเฟิ่งชืออินยังอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่นางไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้สักเท่าไหร่เจ้าบุรุษชาติหมาที่ฆ่านางคนนี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวท่าทางแข็งแกร่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตรงหน้าสัญชาติญาณร้องบอกนางว่าความตายของนาง จะต้องเกี่ยวข้องกับสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้แน่นางจึงถามว่า “ทำไมพวกเจ้าจะต้องฆ่าข้าด้วย?”เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ แล้วตอบ “เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดกัน”“ในเมื่อเจ้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่ แล้วเจ้ามาที่เมืองหลวงเพื่ออะไรกันล่ะ?”เฟิ่งชืออินคิดว่าจนป่านนี้แล้วจะปิดบังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงตอบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าทำนายดวงชะตาว่าจะเกิดเหตุประหลาดขึ้นในเมืองหลวง คล้ายว่าสายเลือดในตัวลูกสาวของสตรีศักดิ์สิทธิ์คนก่อนจะตื่นขึ้น”“ข้ามาที่นี่เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”นัยน์ตาของเฟิ่งชูอิ่งล้ำลึกขึ้น นางถามว่า “หลังจากยืนยันได้แล้วเจ้าจะทำอย่
นางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่ถูกเลือกโดยสวรรค์อย่างแท้จริง ข้าฝีมือเทียบชั้นเจ้าไม่ได้ ตอนนี้ตายแล้วก็คงต้องยอมรับความพ่ายแพ้”ประเด็นคือถึงนางจะไม่ยอมรับก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี!ลำพังแค่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวบนร่างของเฟิ่งชูอิ่ง นางก็ตระหนักได้แล้วว่านางไม่อาจสู้รบปรบมือกับเฟิ่งชูอิ่งได้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้างกายของเฟิ่งชูอิ่งยังมีวิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งมากอยู่อีกตัวหนึ่ง นางจะกล้าทำอะไรล่ะในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ยอมปล่อยวางไปเสียดีกว่านางคิดว่าตนเองช่างโชคร้ายเหลือเกิน ถึงได้พบเจอคู่แข่งอย่างเฟิ่งชูอิ่งเฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าต้องการฆ่าข้า แต่เจ้ายังไม่ทันจะได้ลงมือจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีหนี้แค้นต่อกัน”“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ข้าจะช่วยสวดส่งวิญญาณให้เจ้าไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีก็แล้วกัน”ปู๋เยี่ยโหวฆ่าเฟิ่งชืออินไปแล้ว เรื่องราวมันมาถึงขั้นนี้แล้ว การส่งเฟิ่งชืออินไปเกิดใหม่คงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้วเฟิ่งชืออินถอนหายใจยาวเหยียด “เอาเถอะ!”หลังจากเฟิ่งชูอิ่งสวดส่งเฟิ่งชืออินเรียบร้อยแล้ว นางก็รู้สึกสับสนยิ่งกว่าเดิมปู๋เยี่ยโหวเป็นคนที่มีคว
เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยยิ้มๆ “ข้าใช้อาคมต้องห้ามแล้วยังทิ้งแผลเอาไว้นานโดยไม่ได้รักษา จะหายช้าก็ไม่แปลกหรอก”“หากไม่ใช่เพราะมีท่านพ่ออยู่ด้วย ขาข้างนี้ของข้าอาจจะต้องตัดทิ้งไปแล้ว”เหมยตงยวนบอกว่าเขารู้วิชาแพทย์เล็กน้อย แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดถ่อมตนวิชาแพทย์ของเขาเหนือกว่าหมอทั่วไปเสียอีก เทียบเท่ากับหมอหลวงที่อยู่ในวังได้เลยช่วงที่ผ่านมาเหมยตงยวนช่วยรักษาขาของนางอย่างใส่ใจ ตอนที่ขาหักช่วงแรกๆ มันดูเหมือนจะไม่สามารถรักษาให้หายดีได้ด้วยซ้ำ เขาเป็นคนที่ทุ่มเทรักษาให้นางจนมันดีขึ้นมาได้เพราะถูกผลของอาคมต้องห้าม นางจึงฟื้นฟูบาดแผลได้เชื่องช้ามาก แล้วกว่าจะได้รักษาก็ทิ้งเอาไว้นานแล้ว แผลย่อมต้องหายช้าอยู่แล้วโชคดีที่ตรงนี้ห่างไกลและไม่มีใครมารบกวน เหมาะแก่การพักรักษาตัวมากเฟิ่งชูอิ่งคำนวณดูคร่าวๆ บาดแผลของนางคาดว่าต้องพักรักษาอีกเกือบครึ่งปีถึงจะหายดีเป็นปกติคนอื่นบาดเจ็บกระดูกเส้นเอ็นใช้เวลาหนึ่งร้อยวันในการรักษา ส่วนนางต้องใช้เวลามากกว่าสามเท่า คิดแล้วก็หนักใจเหลือเกินช่วงที่ผ่านมานี้นางว่างมากจริงๆ ถึงชวนเฉี่ยวหลิงให้ฝึกวิชากับเหมยตงยวนขาของนางยังไม่หายดี แต่วิชาของนางกลับรุดหน้าอย่างรวดเร
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อย เขายังกับองครักษ์ยังช่วยกันปรับปรุงหลุมศพอย่างดี จนสภาพของมันเหมือนกับก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนเองช่างเป็นคนที่คิดอย่างรอบคอบ รู้จักกันไว้ดีกว่าแก้หากมีศพของเฟิ่งชืออินอยู่ข้างใน หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจิ่งโม่เยี่ยจะมาขุดหลุมศพแล้วเขาเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงอย่างสบายใจ ทว่าพอเขากลับมาถึงก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยเรียกตัวไปพบทันทีเขาเห็นหน้าจิ่งโม่เยี่ยก็ถามว่า “ท่านอ๋อง คราวนี้ข้าทำงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะถึงได้ออกไปข้างนอก”ฉินจื๋อเจี้ยนที่อยู่ข้างๆ เสริมว่า “ท่านยัดเยียดหน้าที่ของตัวเองทั้งหมดให้ลูกน้องใต้บังคับบัญชาทำ”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มหวาน “ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาเลยนี่ ขุนนางชั้นผู้น้อยที่แบ่งเบาภาระของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่ได้ ไม่นับว่าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยที่ดี”“อีกอย่างหนึ่ง หากข้าต้องทำเองไปเสียทุกอย่าง ข้าจะมีพวกลูกน้องเอาไว้ทำไมล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยโกรธจนแค่นหัวเราะ “พูดแบบนี้ ก็ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกันนะ?”ปู๋เยี่ยโหวเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “เดิมทีมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าเขามีข้ออ้างสารพัด ตอนนี้จึงขี้เกียจจะเถียงเรื่องเหตุผลกับเขา เอ่ยว่า “วัน
องครักษ์คนนั้นรายงานเสียงเบามาก ปู๋เยี่ยโหวได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร แต่สายตาของจิ่งโม่เยี่ยที่มองมาทางตนเองดูน่าสะพรึงกลัวมากปู๋เยี่ยโหวเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีในใจจึงรีบร้อนเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระที่ต้องทำให้เสร็จ”“หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องอื่นแล้วล่ะก็ ข้าขอตัวกลับกรมคลังก่อนนะ”เขาตระหนักดีว่าช่วงนี้ถูกคนจับตามองอยู่อย่างใกล้ชิด พวกคนที่รู้ว่าเขาฆ่าคนของแคว้นซีฉู่จะต้องฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่องแน่ตอนที่เขาจัดการคนพวกนั้นค่อนข้างระมัดระวัง จึงไม่พบเห็นอะไรผิดปกติคนทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้ที่มีความสามารถด้านการจับตามองเช่นนี้มีไม่มาก แปดส่วนจะต้องเป็นองครักษ์ลับของฮ่องเต้เจาหยวนปู๋เยี่ยโหวนึกขึ้นได้ว่าตนเองฝังศพของเฟิ่งชืออินเข้าไปในโลงศพของเฟิ่งชูอิ่ง ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าตนเองทำเรื่องโง่เขลาอะไรลงไปคนที่จับตามองเขาจะต้องเห็นว่าเขาฝังศพคนอย่างแน่นอน หากนำเรื่องนี้มารายงานด้วย จิ่งโม่เยี่ยจะต้องสืบหาความจริง แล้วเขาก็จะต้องจบสิ้นแน่นอน!เขาคิดจะหนีออกไปให้เร็วที่สุด และขุดศพของเฟิ่งชืออินออกมาจากหลุมแห่งนั้นเพื่อปกปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะอย่างไรเสียเรื่
ปู๋เยี่ยโหวเอ่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “แน่นอนว่านางเป็นคนบอกข้าไง”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยหม่นแสงลงฉับพลัน หัวเราะเยาะตัวเองว่า “นางบอกเจ้าไปเสียทุกเรื่องเลยนะ”เขารู้ว่าสิ่งที่ปู๋เยี่ยโหวพูดมาอาจจะไม่ใช่ความจริง แต่หากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็ยากจะสงบใจลงได้เขาลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าเขาจะกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับเฟิ่งชูอิ่ง แต่เขาแทบจะไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับตัวนางเลยจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ทราบว่านางไปเรียนวิชาลี้ลับพวกนั้นมากจากไหน นอกจากเรื่องที่นางเคยบอกว่าบิดาของตนเองอาจจะเป็นเจ้าสำนักลี้ลับ ตอนที่มีปู๋เยี่ยโหวอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เขาก็ไม่เคยได้ยินนางเอ่ยถึงบิดามารดาของตนเองอีกเลยทว่าเรื่องทั้งหมดนี้กลับบ่งบอกได้ดีว่า นางระแวดระวังและไม่เชื่อใจเขาในใจของนาง เขาสู้จิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ แล้วก็สู้ปู๋เยี่ยโหวไม่ได้ด้วยเขาสัมผัสความเจ็บแปลบที่หน้าอกได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา “ข้าเป็นอะไรในใจของนางอย่างนั้นหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวเห็นท่าทางของจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่กล้าเติมเชื้อไฟ “ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนนะ!”เขากล่าวจบก็หันหลังวิ่งออกไปอย่างว่องไว ครั้งนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ขัดขวางเขาอีก
หลังจากเขาเอ่ยจบ ก็บอกเล่าลักษณะของคนแคว้นซีฉู่ที่เขาฆ่าตายไปโดยที่แตกต่างจากความจริงทั้งหมด แล้วยังแนบเนียนเสียจนคนจับผิดไม่ได้เรื่องที่เขาถูกคนลอบสังหารมักจะเกิดขึ้นในเมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้เขาก็เคยแจ้งเรื่องไปที่ศาลต้าหลี่เหมือนกัน เพื่อขอให้พวกเขาช่วยสืบหาตอนนี้เขาบอกว่าถูกคนแคว้นซีฉู่ลอบฆ่า ทว่ากลับเป็นฝ่ายถูกเขาฆ่าเสียเอง อย่างไรเสียคนแคว้นซีฉู่ก็ตายไปหมดแล้ว ไม่มีใครลุกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ปู๋เยี่ยโหวสามารถใช้วิธีการดังกล่าวหลุดพ้นจากความผิดได้รองหัวหน้าศาลต้าหลี่สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เอ่ยว่า “เรื่องนี้ศาลต้าหลี่จะสืบหาให้ถึงที่สุด”ปู๋เยี่ยโหวเอียงศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็หาให้ชัดเจนเถอะ หากว่าสืบหาไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้ข้าไม่ยอมจบง่ายๆ แน่!”ฮ่องเต้เจาหยวนมีขุมอำนาจเป็นของตนเองอยู่ในเมืองหลวง ขุนนางจำนวนไม่น้อยภักดีต่อเขาตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้เพียงกรมคลังและกรมกลาโหม คนกรมราชทัณฑ์ครึ่งหนึ่งพักดีต่อเขา แต่ศาลต้าหลี่ยังอยู่ในมือของฮ่องเต้เจาหยวนด้วยเหตุนี้เอง ศาลต้าหลี่ถึงพยายามจะยัดเยียดค