เฟิ่งชูอิ่งกางมือออกด้วยสีหน้าจนปัญญา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”จริงๆ แล้วของสิ่งนี้นางเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร และอาจจะนำหายนะมาให้นางอีกด้วยเฉี่ยวหลิงถามคำถามจากก้นบึ้งของหัวใจ “คุณหนู หรือว่าเขาชอบท่าน?”เฟิ่งชูอิ่ง “...”เขาชอบนาง?อย่าล้อเล่นน่า!เขาชอบนางเอกของนิยายเรื่องนี้ต่างหาก!นางคำนวณเวลา นางเอกของนิยายเรื่องนี้ก็น่าจะเดินทางจากแคว้นซีฉู่จนมาถึงเมืองหลวงแล้วเดี๋ยวนะ แคว้นซีฉู่?ก่อนหน้านี้ นางก็ไม่ได้มีความทรงจำอะไรกับแคว้นซีฉู่เป็นพิเศษ แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าแม่ของนางเป็นนักปราชญ์หญิงแคว้นซีฉู่ นางจึงรู้สึกแตกต่างกับชื่อสถานที่นี้นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยขึ้น “การคาดเดาของเจ้าน่าสนใจทีเดียว แต่ครั้งหน้าอย่าเดาอีกเลย”เฉี่ยวหลิงหัวเราะเสียงดัง “ได้เลยเจ้าค่ะ”หลังจากพูดจบ นางก็มองไปที่เฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าวว่า “แต่คุณหนู การคาดเดาของข้ามีหลักฐานนะเจ้าคะ”“ท่านดูสิ ทุกครั้งที่เขาเจอท่าน ก็จะรีบเข้ามาหา”“ครั้งที่แล้วท่านออกจากเมืองหลวง เขาก็ยังตามติดท่านไป”“ครั้งนี้ก็มาอีก ถ้าบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อท่าน ข้าไม่เชื่อหรอก”นางกล่าวสรุป
นางจะสามารถออกจากเมืองหลวงและใช้ชีวิตในแบบที่นางต้องการได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้วนางหวังว่าฮ่องเต้เจาหยวนจะเอาจริงเอาจังหน่อย ก่อเรื่องให้ใหญ่โต นางจะได้มีโอกาสหลบหนีและนางก็หวังว่าจิ่งโม่เยี่ยจะแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย สามารถรับมือกับแผนการของฮ่องเต้เจาหยวนได้ในขณะเดียวกัน นางก็หวังว่าชีวิตของตัวเองจะแกร่งขึ้นสักหน่อย อย่าถูกพวกเขาฆ่าตายนางถอนหายใจเบาๆ ปรับอารมณ์ของตัวเองหัวซื่อไม่มีผมแล้ว จึงไม่อยากมาหานาง กลัวว่านางจะหัวเราะเยาะนางไม่ยอมมา แต่หลินหว่านถิงกลับอดไม่ได้ที่จะมาเมื่อหลินหว่านถิงมาถึง เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งแต่งหน้าเสร็จพอดี งดงามจนยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบความอิจฉาริษยาอย่างรุนแรงผุดขึ้นในใจของนาง เหตุใดเฟิ่งชูอิ่งที่เป็นแค่เด็กกำพร้าไร้ค่า ถึงได้งดงามเช่นนี้?นางไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไป เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าไม่ต้องดีใจไปหรอก แม้ว่าอ๋องฉู่จะเต็มใจแต่งงานกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดไปถึงเขตศักดินาของอ๋องฉู่ได้หรอก”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าข้าไม่มีทางมีชีวิตรอดมาถึงวันแต่งงานกับอ๋องฉู่ และยังบอกว่าอ๋องฉู่ไม่มีทางแต่งงานกับข้า”
หลินชูเจิ้งที่อยู่ด้านข้างกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง ท่านรออยู่ที่หน้าประตูสักครู่ดีหรือไม่?”จิ่งโม่เยี่ยโบกมือและกล่าวขึ้นว่า “ไม่จำเป็น ข้าจะพาชูอิ่งออกไปเอง”ก่อนที่เขาจะมา เขากังวลมาก กลัวว่านางจะหาโอกาสหนีไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเหตุผลที่เขาดึงผ้าคลุมหน้าสีแดงของนางออกทันทีที่เข้ามา ก็เพราะกลัวว่าคนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าจะไม่ใช่นาง แต่เป็นวิชาอาคมบางอย่างของนางถึงอย่างไรวิชาอาคมแห่งสำนักลี้ลับนั้นมีมากมายหลายชนิด คนที่ไม่ได้อยู่ในสำนักลี้ลับจะไม่มีทางจินตนาการถึงวิธีการต่างๆ ได้เวลานี้เขาเห็นนางยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ ในใจของเขาก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเขาเอื้อมมือไปจับมือของนางเบาๆ จากนั้นเอ่ยขึ้น “วันนี้เจ้างามมาก”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มเล็กน้อย “ปกติข้าไม่งามงั้นหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยเผลอหัวเราะออกมา และไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อครู่เขาเห็นนางแล้ว ถึงแม้ในใจจะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวว่านี่อาจจะเป็นวิญญาณร้ายที่แปลงกายมาตอนนี้นางพูดออกมา เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นน้ำเสียงการพูดเช่นนี้ของนาง ไม่มีใครเลียนแบบได้เขาอุ้มนางแนบอกแล้วกล่าวว
“ตอนนี้ลูกยังไม่เกิด ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไป”เฟิ่งชูอิ่ง “...”นางไม่สามารถตอบรับคำพูดนี้ได้นางรู้สึกเสียใจอีกครั้งที่เคยคุยโวโอ้อวดต่อหน้าเขา เวลานี้ตัวเองกลับรู้สึกอายที่ได้ยินมันยันต์แคล้วคลาดที่นางให้เขาเป็นของจริง เพราะเช้าวันนี้นางรู้สึกถึงกลิ่นอายของความอันตรายกลิ่นอายเช่นนี้ เข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วนเมื่อนางเห็นจิ่งโม่เยี่ยร่างกายของนางค่อนข้างพิเศษ และการรับรู้ของนางก็แม่นยำมากแม้ว่านางอยากจะหนีออกจากเมืองหลวง แต่ก็ไม่ได้อยากให้จิ่งโม่เยี่ยตายนางไม่สามารถช่วยเหลือเขาในด้านกำลัง จึงทำได้เพียงปกป้องเขาในด้านศาสตร์ลี้ลับ ไม่ให้เขาถูกคนทำร้ายในด้านนี้เมื่อทั้งสองเดินมาถึงประตู เสียงประทัดก็ดังสนั่นจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อุ้มนางเข้าไปในเกี้ยว แต่กลับอุ้มนางขึ้นไปบนม้าโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดจึงไม่นั่งเกี้ยวเล่า?”จิ่งโม่เยี่ยตอบ “นั่งเกี้ยวไม่ปลอดภัย ข้าจะพาเจ้ากลับจวนเอง”เฟิ่งชูอิ่ง “...”นางรู้สึกว่าวันนี้เขาทำตามประโยคที่ว่าทำทุกอย่าง เพื่อป้องกันไว้ก่อนได้อย่างถึงที่สุดแล้วเดิมทีนางไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ท
เฟิ่งชูอิ่งเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าฮ่องเต้เจาหยวนเตรียมการไว้แล้ว และจิ่งโม่เยี่ยก็เตรียมการไว้เช่นกันวันนี้เป็นการประลองระหว่างจิ่งโม่เยี่ยกับฮ่องเต้เจาหยวน ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ก็จะได้เห็นผลในวันนี้หากจิ่งโม่เยี่ยชนะ ฮ่องเต้เจาหยวนก็จะไม่มีข้ออ้างที่จะขัดขวางไม่ให้เขากลับไปยังเขตปกครองอีกต่อไป สำหรับฮ่องเต้เจาหยวนแล้ว นั่นก็เหมือนกับการปล่อยเสือกลับเข้าป่าหากฮ่องเต้เจาหยวนเป็นฝ่ายชนะ จิ่งโม่เยี่ยก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นตัวหายนะอย่างสมบูรณ์ และยากที่จะปักหลักอยู่ในเมืองหลวงและนางในฐานะที่เป็นหมากในการต่อสู้ของพวกเขา สถานการณ์ในวันนี้จึงอันตรายยิ่งนักนางซบเข้าไปในอ้อมแขนของเขา จากนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ “ระหว่างทางยังเป็นเช่นนี้ กลับไปถึงจวนอ๋องเกรงว่าจะไม่สงบสุขเช่นกัน”แม้ว่าเขาจะป้องกันได้ดีมากเพียงใด แต่วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวกเขา จวนอ๋องก็ไม่สามารถปิดประตูไม่ต้อนรับแขกได้ และแน่นอนว่าจะมีคนมากมายที่มีจุดประสงค์แอบแฝงปะปนเข้ามาในจวน ซึ่งยากที่จะป้องกันได้ทั้งหมดจิ่งโม่เยี่ยเอื้อมมือไปโอบเอวของนางแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ากลัวหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “แน่นอนว่ากลัว!”จิ่งโม่เย
หลังจากพูดจบ เขาก็ยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูเฟิ่ง...ไม่สิ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าต้องเรียกท่านว่าพระชายาแล้ว”“ต่อไปหากท่านมีเรื่องอะไร ก็สั่งข้าได้เลย”หลังจากที่เฟิ่งชูอิ่งเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องฉู่ แม้ว่าในจวนอ๋องจะไม่สงบสุขนัก แต่กลับเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับจวนอ๋องอีกหลายส่วนพวกเขารู้จักกันมาก่อน ช่วงเวลาในการปรับตัวเข้าหากันจึงผ่านพ้นไปแล้วฉินจื๋อเจี้ยนค่อนข้างต้อนรับเฟิ่งชูอิ่งในฐานะนายหญิงเฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เสนาบดีฉินวางใจ ข้าจะไม่เกรงใจท่านหรอก”เจิ้งเนี่ยนซินเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้น “พระชายา ให้ข้าช่วยประคองท่านเถิด!”ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ฉินจื๋อเจี้ยนและเจิ้งเนี่ยนซินแต่งงานกันอย่างรวดเร็ว เจิ้งเนี่ยนซินอยู่ในบ้านก็ไม่มีอะไรทำ จึงมาที่จวนอ๋องเพื่อรับงานเล็กๆ น้อยๆ นางเป็นบุตรสาวคนโตจากตระกูลผู้ดี มีทั้งความรู้และความสามารถ เดิมทีนางตั้งใจจะอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่ง แต่เฟิ่งชูอิ่งไม่ชอบให้คนอยู่ใกล้ตัวมากนัก นางจึงช่วยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในเรือนแทนเฟิ่งชูอิ่งเคยช่วยชีวิตนางไว้ ตอนแรกนางไม่ค่อยเข้าใจนิสัยของเฟิ่งชูอิ่ง จึงเกร็งๆ อยู่บ้างหลังจาก
จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขา แล้วหันกลับไปพูดกับฉินจื๋อเจี้ยน “เจ้าไปดูหน่อยว่าขบวนแห่ด้านหลังมาแล้วหรือยัง?”ฉินจื๋อเจี้ยนรับคำ แต่เมื่อเขาเดินไปถึงทางเข้าตรอก ก็เห็นขบวนแห่เดินเข้ามาอย่างทุลักทุเลเขาถามองครักษ์ที่นำขบวน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”องครักษ์ตอบ “พวกเราถูกลอบโจมตีระหว่างทาง เสิ่นชิงได้รับบาดเจ็บสาหัส เกี้ยวถูกทำลายทั้งหมด”เสิ่นชิงเป็นองครักษ์ที่ขี่ม้าแทนจิ่งโม่เยี่ยก่อนหน้านี้สีหน้าของฉินจื๋อเจี้ยนเคร่งขรึม โชคดีที่จิ่งโม่เยี่ยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าและใช้กลลวงตา มิฉะนั้นตอนนี้คงไม่สามารถทำพิธีแต่งงานได้เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”โชคดีที่เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้า นอกจากองครักษ์ที่ไปรับเจ้าสาวแล้ว ข้างๆ ยังมีองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งเตรียมไว้สำหรับเปลี่ยนตัวเวลานี้องครักษ์ที่ไปรับเจ้าสาวได้รับบาดเจ็บและสภาพดูย่ำแย่ ก็ให้กลุ่มสำรองมาแทนโชคดีที่สินเดิมของเฟิ่งชูอิ่งถึงแม้จะได้รับความเสียหายบ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรง นำผ้าไหมสีแดงมาห่อ ก็กลับมาเป็นสินเดิมที่ดูสวยงามอีกครั้งเขาให้คนขนสินเดิมเข้าไปในจวนอ๋องอย่างรวดเร็วจิ่งสือเยี่ยนเห็นฉากนี้แล้วก็เหลือบ
บุตรชายทั้งสองของนางต้องมาเข่นฆ่ากันเอง จิ่งโม่เยี่ยเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของบุตรชายคนโตของนาง นางจำเป็นต้องปกป้องเขาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามไทเฮายิ้มพลางกล่าวว่า "มัวยืนบื้อกันอยู่ทำไม? รีบทำพิธีต่อสิ!"ทุกคนที่อยู่ในงานจึงพลันได้สติขึ้นมา พิธีกรผู้รับหน้าที่ดำเนินงานเริ่มขานพิธีต่อ เข้าสู่ขั้นตอนของการกราบไหว้ฟ้าดิน"ครั้งแรกคำนับฟ้าดิน!""ครั้งที่สองคำนับบรรพบุรุษ!”"สามีภรรยาคำนับซึ่งกันและกัน!”"พิธีการเสร็จสิ้น ส่งคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ!"เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย ตามความเชื่อของยุคสมัยนี้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน พวกเขาก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วมุมปากของจิ่งโม่เยี่ยยกสูงขึ้นเล็กน้อย สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มนับแต่นี้เป็นต้นไป เขาจะไม่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไปหลังจากนี้ไปนางจะเป็นภรรยาของเขา จะใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมกับเขาจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือออกไปประคองมือของนางเบาๆ พานางเดินตรงไปทางห้องหอไทเฮามองภาพที่พวกเขาเดินจับจูงมือไปด้วยกัน ใบหน้าพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้มทว่ารอยยิ้มของนางกลับชะงักลงอย่างรวดเร็ว นางกำนัลข้างกาย
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท