เขาพูดพลางทอดถอนใจว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ของเจ้า เดิมทีก็ไม่เข้ากับโลกใบนี้”“พ่อของเจ้าคืออัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับจากสำนักลี้ลับ วิถีเต๋าของเขาเป็นเลิศ เขาคือความหวังของสำนักลี้ลับ” “สำนักลี้ลับเป็นสำนักที่ฝึกฝนวิถีเต๋า ในสำนักมีข้อห้ามว่าห้ามแต่งงาน ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกกักบริเวณหลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายในแคว้นซีฉู่ในปีนั้น”“จากนั้นเจ้าสำนักลี้ลับก็ป่วยตาย พ่อของเจ้าจึงรับช่วงสำนักลี้ลับต่อ”เฟิ่งชูอิ่งถามอย่างสงสัย “ในเมื่อพ่อแม่ของข้าไม่เคยอยู่ด้วยกัน แล้วท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นลูกสาวของพวกเขา?”หลินชูเจิ้งตอบว่า “ตอนนั้นที่ข้าบังเอิญเห็นเจ้า บนตัวเจ้ามีป้ายประจำตัว บนนั้นก็มีวันเดือนปีเกิดของเจ้า”“พอข้าคำนวณเวลาแล้ว แม่ของเจ้าตั้งท้องเจ้าก่อนที่นางจะถูกเผา”เมื่อเขาพูดจบแล้วก็มองไปที่นางแล้วทอดถอนใจประโยคหนึ่ง “เจ้าหน้าตาคล้ายแม่ของเจ้ามาก”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินเขาพูดเช่นนั้น แววตาก็พลันมืดมน ตามทฤษฎีนี้แล้ว พ่อของนางน่าจะเป็นเจ้าสำนักลี้ลับเพียงแต่ว่าการฝึกฝนของสำนักลี้ลับเป็นวิถีไร้ความปรานี แต่ก็ยังสามารถสั่นไหวหัวใจของแม่นางได้หรือ?หลายปีนั้นที
นางปฏิเสธความเป็นไปได้ที่สองนี้แทบจะในทันที เพราะหากแม่ของนางไม่รักนาง ก็คงไม่ให้เงินนางมากมายเช่นนี้ รวมไปถึงสมบัติต่างๆ เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้แรกเท่านั้น แม่ของนางสูญเสียความสามารถในการทำนายไปด้วยเหตุผลบางอย่างนางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามต่อ “นักพรตผู้นั้นก็คือคนที่ลบความทรงจำของข้าหรือ?”หลินชูเจิ้งพยักหน้า “เป็นเขา”เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจแอบสาปแช่งนักพรตสารเลวผู้นั้นท่านแม่ของนางฝากนางไว้กับนักพรตผู้นั้น นักพรตผู้นั้นควรจะเป็นคนที่นางเชื่อใจมากแต่เขาไม่เพียงแต่โยนนางไปให้หลินชูเจิ้งอย่างลวกๆ แต่ยังลบความทรงจำของนาง ตั้งค่ายกล ให้นางเป็นวัตถุดิบบำรุงจวนสกุลหลินที่นางสามารถข้ามภพมาได้ ก็เพราะว่าเจ้าของร่างเดิมถูกพวกเขาทรมานจนตาย นางพูดอย่างเย็นชา “บอกรูปพรรณสัณฐานของเขามาให้ข้าหน่อยสิ หากข้าพบเขา ข้าจะฆ่าเขาทิ้งแน่นอน!”หลินชูเจิ้งเห็นสีหน้าอาฆาตแค้นของนาง ก็รีบอธิบายรูปพรรณสัณฐานของนักพรตผู้นั้นทันทีเพียงแต่รูปร่างหน้าตาของนักพรตผู้นั้นธรรมดามาก แทบไม่มีจุดเด่นพอให้จำ หลินชูเจิ้งพูดก็เหมือนไม่ได้พูดเขาเห็นใบหน้าของเฟิ่งชูอิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ ตัวเขาก็ห
หัวซื่อที่ปากยังมอมแมมจ้องมองไปที่หลางซานด้วยความตะลึง ตกใจจนฉี่ราด แม้แต่กรีดร้องก็ยังลืมเขากล่าวเสียงเย็นชา “หากแตะต้องพระชายาของพวกเรา คราวนี้แค่โกนผม ครั้งหน้าข้าตัดหัวเจ้าแน่”เมื่อเขาพูดจบ ก็เดินตามหลังเฟิ่งชูอิ่งไปเฟิ่งชูอิ่งมองไปที่หัวซื่อที่ถูกโกนผม จากนั้นก็มองไปที่หลางซานที่มีแววตาเย็นชา มุมปากของนางพลันกระตุกทันทีความทรงจำที่นางมีต่อหลางซานก่อนหน้านี้คือองครักษ์เย็นชาเลือดเหล็ก ตอนนี้พอมาดูแล้ว เขาก็ไม่ได้เย็นชาขนาดนั้นนางยกนิ้วโป้งให้หลางซาน จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปเมื่อพวกเขาหันหลังกลับ เสียงกรีดร้องของหัวซื่อก็ดังขึ้นไปบนท้องฟ้าทะลุจวนสกุลหลินหลินชูเจิ้งอยู่ใกล้มาก เขารู้สึกเหมือนแก้วหูจะแตกเขาพูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “เจ้าเป็นของที่ทั้งสกปรกทั้งต่ำตม ไม่รู้จักตระหนักในตัวเอง ทำงานได้โง่เขลาที่สุด ไสหัวกลับไปเดี๋ยวนี้!”เมื่อเขาพูดจบแล้วก็อยากจะเอื้อมมือปิดปากของตัวเองยันต์ที่เฟิ่งชูอิ่งติดไว้บนตัวเขายังมีผลอยู่ แม้ว่าเขาจะรังเกียจหัวซื่อมากและไม่มีทางไปนอนกับนางอีก แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นภรรยาเอกของเขาต่อหน้าคนนอกและบ่าวรับใช้ ปกติแล้วเขาจะให้ความเ
หลางซานพยักหน้า “ข้าอยู่ข้างกายท่านอ๋องมานานกว่าเสนาบดีฉินเสียอีก”“ข้าเคยเห็นท่านอ๋องในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด และเคยเห็นเขาในช่วงที่ตกต่ำที่สุดเช่นกัน”“ท่านอ๋องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด และเป็นคนที่ดีที่สุดด้วย”เฟิ่งชูอิ่งยอมรับว่าจิ่งโม่เยี่ยเป็นคนฉลาด แต่ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่าเขาเป็นคนดีหากเขาเป็นคนดีจริง เกรงว่าตอนนี้คงจะตายไปแล้วไม่เหลือแม้กระทั่งซากศพการที่เขามีชีวิตรอดมาได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ความเย่อหยิ่งและเผด็จการของเขาลดลงนางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “อืม เจ้าพูดถูก”ถ้าจิ่งโม่เยี่ยอยู่ที่นี่ เขาคงจะมองออกว่านางไม่ได้พูดจากใจจริง แต่กำลังโกหกอีกแล้วแต่หลางซานกลับมองไม่ออก เขาคิดว่านางเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดจริงๆเขาจึงพูดต่ออีกสองสามประโยคอย่างที่ไม่ค่อยจะทำบ่อยนัก “ความรู้สึกที่ท่านอ๋องมีต่อคุณหนู พวกเราที่อยู่ข้างๆ ต่างมองเห็นชัดเจน”“หลังจากที่คุณหนูกับท่านอ๋องแต่งงานกันแล้ว คิดๆ ดูแล้วท่านอ๋องก็คงจะดูแลคุณหนูเป็นอย่างดี”เฟิ่งชูอิ่งหันไปถามเขาว่า “ท่านอ๋องให้เจ้าตามมา คงเป็นเพราะให้เจ้ามาจับตาดูข้าใช่
เฟิ่งชูอิ่งถามนาง “หลังจากที่ข้าแก้คำสาปให้เขาแล้ว พลังชั่วร้ายในตัวเขาก็หายไป เจ้ายังกลัวเขาอยู่หรือไม่?”เฉี่ยวหลิงพยักหน้า “หลังจากที่เขาไม่มีพลังชั่วร้ายแล้ว กลิ่นอายบนตัวเขาก็ยิ่งหนักขึ้น ข้ายิ่งกลัวเข้าไปใหญ่”ดวงตาของเฟิ่งชูอิ่งฉายแววครุ่นคิดเฉี่ยวหลิงเอ่ยถาม “คุณหนู มีอะไรไม่ถูกต้องหรือเจ้าคะ?”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ “ไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง ข้าแค่นึกบางอย่างขึ้นมาได้”ความสามารถในการดูโหงวเฮ้งของนางค่อนข้างดีทีเดียว แต่กลับไม่สามารถมองทะลุชะตาชีวิตของจิ่งโม่เยี่ยได้เลยสถานการณ์แบบนี้ หากมิใช่เพราะชะตาชีวิตของเขามีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ก็คงเพราะชะตาชีวิตของเขายิ่งใหญ่มากจนสวรรค์ไม่อนุญาตให้นางมองเห็นนางค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา แล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงวาดยันต์ต่อหัวซื่ออยากจะมาหาเรื่องเฟิ่งชูอิ่ง แต่กลับถูกหลินชูเจิ้งห้ามไว้นางก่อเรื่องวุ่นวายในจวนสกุลหลินอย่างหนัก แต่กลับทำให้ตัวเองกลายเป็นเรื่องตลกไปเสียเองเพราะผมของนางหายไปหมดแล้ว แม้แต่จะออกไปข้างนอกก็ไปไม่ได้แม้ว่าในเมืองหลวงจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในเวลาต่อมา แต่ที่เฟิ่งชูอิ่งกลับเงียบสงบนางวาดยันต์อยู
หลังจากพูดจบ เขาก็จะมาจับมือของเฟิ่งชูอิ่ง แต่นางกลับหลบเขามองนางด้วยความตกตะลึง “ตอนนี้เวลาเร่งด่วน คนของข้าไม่สามารถถ่วงเวลาหลางซานได้นานนัก หากไม่ไปตอนนี้ก็จะไม่ทันแล้ว!”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าไม่ไป”จิ่งสือเยี่ยนมองไปที่นางด้วยความไม่เข้าใจเขากล่าวอย่างจริงจัง “หม่อมฉันกับอ๋องฉู่รักกันอย่างลึกซึ้ง ต่อให้ต้องตายก็จะแต่งงานกับเขา”ดวงตาของจิ่งสือเยี่ยนเต็มไปด้วยความตกใจ นางจึงกล่าวต่อ “ขอบพระทัยในความหวังดีของอ๋องจิ้น ดึกมากแล้ว เชิญท่านอ๋องเสด็จกลับไปเถิดเพคะ!”มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อของจิ่งสือเยี่ยนกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ “แต่ว่าครั้งที่แล้วเจ้า...”“ครั้งที่แล้วก็คือครั้งที่แล้ว!” เฟิ่งชูอิ่งขัดคำพูดของเขา “ตอนนี้ก็คือตอนนี้”“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันยังไม่ได้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่ออ๋องฉู่ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว”“ข้าอยู่ในจวนอ๋องฉู่มาเป็นเวลานานขนาดนั้น และใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ตอนนี้ข้ารักเขาอย่างสุดหัวใจ”“ข้ารักเขามาก ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้คือได้แต่งงานกับเขาและอยู่เคียงข้างเขา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายไปจนแก่เฒ่า”เมื่อพูดไปถึงตอนท้าย นาง
เฟิ่งชูอิ่งกางมือออกด้วยสีหน้าจนปัญญา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”จริงๆ แล้วของสิ่งนี้นางเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร และอาจจะนำหายนะมาให้นางอีกด้วยเฉี่ยวหลิงถามคำถามจากก้นบึ้งของหัวใจ “คุณหนู หรือว่าเขาชอบท่าน?”เฟิ่งชูอิ่ง “...”เขาชอบนาง?อย่าล้อเล่นน่า!เขาชอบนางเอกของนิยายเรื่องนี้ต่างหาก!นางคำนวณเวลา นางเอกของนิยายเรื่องนี้ก็น่าจะเดินทางจากแคว้นซีฉู่จนมาถึงเมืองหลวงแล้วเดี๋ยวนะ แคว้นซีฉู่?ก่อนหน้านี้ นางก็ไม่ได้มีความทรงจำอะไรกับแคว้นซีฉู่เป็นพิเศษ แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าแม่ของนางเป็นนักปราชญ์หญิงแคว้นซีฉู่ นางจึงรู้สึกแตกต่างกับชื่อสถานที่นี้นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยขึ้น “การคาดเดาของเจ้าน่าสนใจทีเดียว แต่ครั้งหน้าอย่าเดาอีกเลย”เฉี่ยวหลิงหัวเราะเสียงดัง “ได้เลยเจ้าค่ะ”หลังจากพูดจบ นางก็มองไปที่เฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าวว่า “แต่คุณหนู การคาดเดาของข้ามีหลักฐานนะเจ้าคะ”“ท่านดูสิ ทุกครั้งที่เขาเจอท่าน ก็จะรีบเข้ามาหา”“ครั้งที่แล้วท่านออกจากเมืองหลวง เขาก็ยังตามติดท่านไป”“ครั้งนี้ก็มาอีก ถ้าบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อท่าน ข้าไม่เชื่อหรอก”นางกล่าวสรุป
นางจะสามารถออกจากเมืองหลวงและใช้ชีวิตในแบบที่นางต้องการได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้วนางหวังว่าฮ่องเต้เจาหยวนจะเอาจริงเอาจังหน่อย ก่อเรื่องให้ใหญ่โต นางจะได้มีโอกาสหลบหนีและนางก็หวังว่าจิ่งโม่เยี่ยจะแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย สามารถรับมือกับแผนการของฮ่องเต้เจาหยวนได้ในขณะเดียวกัน นางก็หวังว่าชีวิตของตัวเองจะแกร่งขึ้นสักหน่อย อย่าถูกพวกเขาฆ่าตายนางถอนหายใจเบาๆ ปรับอารมณ์ของตัวเองหัวซื่อไม่มีผมแล้ว จึงไม่อยากมาหานาง กลัวว่านางจะหัวเราะเยาะนางไม่ยอมมา แต่หลินหว่านถิงกลับอดไม่ได้ที่จะมาเมื่อหลินหว่านถิงมาถึง เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งแต่งหน้าเสร็จพอดี งดงามจนยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบความอิจฉาริษยาอย่างรุนแรงผุดขึ้นในใจของนาง เหตุใดเฟิ่งชูอิ่งที่เป็นแค่เด็กกำพร้าไร้ค่า ถึงได้งดงามเช่นนี้?นางไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไป เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าไม่ต้องดีใจไปหรอก แม้ว่าอ๋องฉู่จะเต็มใจแต่งงานกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดไปถึงเขตศักดินาของอ๋องฉู่ได้หรอก”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าข้าไม่มีทางมีชีวิตรอดมาถึงวันแต่งงานกับอ๋องฉู่ และยังบอกว่าอ๋องฉู่ไม่มีทางแต่งงานกับข้า”
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท