เฉี่ยวหลิงที่อยู่ในป้ายหยกร้อนใจแทบบ้า แต่กลับไม่สามารถออกไปช่วยได้นางรู้ว่ายิ่งติดอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ พวกนักพรตก็จะยิ่งแห่กันมามากเท่านั้นเฉี่ยวหลิงรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋า เก่งกาจด้านยันต์เป็นที่สุด ทว่าวิชาต่อสู้ของนางธรรมดามากหากต้องใช้กำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต เฟิ่งชูอิ่งไม่มีทางเป็นคู่มือของนักพรตเหล่านี้ได้ตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งถูกนักพรตทั้งหมดกดดันไล่ต้อนจนหมดทางถอยหนี ข้อมือของนางถูกกระบี่ฟันจนเป็นแผลนางพยายามใช้พลังทั้งหมดที่มีปัดป้องต่อต้านนักพรตที่อยู่ตรงหน้า ทว่าตอนนั้นเองก็มีนักพรตคนหนึ่งโจมตีมาจากด้านข้างนางไม่สามารถป้องกันได้แล้ว จึงเผลอหลับตาลงโดยสัญชาตญาณทว่านางกลับไม่รู้สึกเจ็บแบบที่คาดคิดไว้ กลับกันนางสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนสายหนึ่งที่สาดลงบนหน้านางรีบลืมตาขึ้นอย่างว่องไว ก่อนจะพบว่านักพรตเหล่านั้นมีสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะค่อยๆ ไถลลงไปกองกับพื้นพอนักพรตพวกนั้นล้มลงแล้ว นางก็เห็นจิ่งโม่เยี่ยปรากฏตัวในอาภรณ์สีขาวพร้อมกระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ในมือบัดนี้กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์มีเลือดหยดจากปลายแหลม ประกอบกับชุดสีขาวสะอาดปราศจากรอยเปื้อน ชวนให้รู้สึกถึ
ดังนั้นใช่ว่านางจะไม่ชอบเงินทอง แต่บางครั้งเงินทองไม่อาจหยิบจับแบบส่งเดชได้จิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยสายตาเฉยชา คิดว่านางเพียงเอ่ยอ้างไปอย่างนั้น จึงไม่เก็บคำพูดของนางมาใส่ใจทั้งสองออกจากขอบเขตของอารามเทียนอี้ด้วยความว่องไวจิ่งโม่เยี่ยขี่ม้ามาที่นี่ ดังนั้นจึงอุ้มนางแล้วตวัดขาขึ้นคร่อมอาชา กระเตงนางไว้ข้างตัวแล้วสั่งให้นางกอดเอวเขาแน่นๆ ก่อนจะห้อตะบึงอาชาพานางกลับเข้าเมืองเฟิ่งชูอิ่งไม่ค่อยคุ้นชินกับท่านั่งของพวกเขาทั้งสองคนนัก นางรู้สึกว่าท่าทางในตอนนี้ดูใกล้ชิดกันมากกว่าตอนที่นอนร่วมเตียงเสียอีกนางจึงพูดจาไร้สาระเพื่อทำลายบรรยากาศคลุมเครือระหว่างพวกเขา “ท่านอ๋อง วันนี้ข้าอาละวาดอารามเทียนอี้จนวุ่นวายไปหมดเลย ข้าเก่งกาจมากเลยใช่ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเย็นชา “เก่งกาจมากจริงๆ นั่นแหละ เก่งถึงขั้นที่สามารถชี้นิ้วสั่งการปู๋เยี่ยโหวได้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”วันนี้เขาสามารถตามหาตัวเฟิ่งชูอิ่งเจอได้ ย่อมต้องทราบวีรกรรมทั้งหมดที่นางทำลงไปเช้าตรู่ของวันนี้ตอนที่เฟิ่งชูอิ่งออกจากจวน เขาคิดเพียงแค่ว่านางจะไปปรึกษาเรื่องการท้าทายอารามเทียนอี้กับเจ้าอาวาสที่อารามเขาก็เลยไม่ได้เก็บเรื
เขาเอ่ยเสียงขรึม “ยังจะกล้าเฉไฉ สมควรตี!”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางอึ้งไปพักหนึ่งถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยทำอะไร!ตอนนี้นางอยู่บนหลังม้านะ เขาใช้มือหนึ่งกุมบังเหียน อีกมือหนึ่งพลิกตัวนาง ไม่กลัวว่าจะพลาดพลั้งทำนางตกจากม้าหรือไง!ไม่สิ นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เขามีสิทธิ์อะไรมาตีนาง!แล้วยังกล้าตีก้นนางอีก!ถึงจะตีไม่แรง แต่ตำแหน่งที่ตีกับน้ำหนักมือที่เขาใช้ มันคล้ายกำลังหยอกเย้านางเล่นในเชิงชู้สาว เป็นความรู้สึกที่เจ็บแสบจนบอกไม่ถูกเลยนางโกรธจัดและคิดจะพลิกตัวกลับขึ้นมาแต่ถูกเขาใช้มือกดไว้ จึงไม่สามารถพลิกตัวกลับได้ จึงคว้าขาของเขาไว้แล้วฝังเขี้ยวลงไปอย่างแรงจิ่งโม่เยี่ย “......”ร่างกายเขาสั่นเทิ้มวูบหนึ่ง เผลอตัวดึงบังเหียนม้าอย่างแรงจนม้าแผดเสียงร้องแหลมเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยอย่างแค้นใจ “กล้าตีข้า ข้าจะกัดเจ้าให้ตายเลย!”จิ่งโม่เยี่ยสูดหายใจเขาลึกๆ ใช้มือทาบทับก้นของนางแล้วเขย่าขาตีท้องม้า ส่งผลให้ม้าห้อตะบึงเร็วยิ่งกว่าเดิมเฟิ่งชูอิ่งถูกเขย่าไปเขย่ามาจนเวียนหัวไปหมด ท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายจะอาเจียน จึงไม่มีแรงกัดเขาอีกต่อไปนางรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจอย่างยิ่ง นางอุตส่าห์บุกไปก่อเรื่องที่อ
นางแอบเรียกนางเอกของนิยายเรื่องนี้เงียบๆ ในใจ ได้โปรดรีบมาทีเถอะ มาทำให้เจ้าสุนัขสองตัวนี้หลงใหลจนหัวปักหัวปำ จะได้เลิกยุ่งวุ่นวายกับนางเสียทีนางลองคำนวณเวลาดู นางเอกในนิยายน่าจะใกล้เข้าเมืองหลวงแล้วนัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยเย็นยะเยือก “ขอบคุณที่ท่านโหวชื่นชอบ แต่นางเป็นว่าที่พระชายาของข้า คงไม่รบกวนให้ท่านโหวต้องเป็นห่วง”คนทั่วไปหากได้ยินแบบนี้ก็คงจะหยุดและถอนตัวออกไปแล้ว แต่ปู๋เยี่ยโหวดันไม่ทำเขาเอ่ยด้วยท่าทางลึกซึ้ง “พวกเจ้าก็แค่หมั้นหมายเอง ยังไม่ได้แต่งงานเสียหน่อย เท่าที่ข้ารู้มา ยังไม่ได้มอบสินสอดด้วยซ้ำ“งานแต่งแบบนี้ ไม่ว่าจะดูจากมุมไหนก็ไม่น่าจะนับเป็นจริงเป็นจังได้ทั้งนั้น“ดังนั้นข้าเต็มใจจะช่วยนางถอนหมั้น จากนั้นค่อยแต่งนางเป็นภรรยา!”เฟิ่งชูอิ่งกรอกตามองบนจนแทบจะเหลือก นางค่อยๆ อาการดีขึ้นแล้ว จึงพาตัวเองเดินเข้าไปในจวนพวกเขาอยากทะเลาะกันมากนักก็เชิญเลย นางคร้านจะสนใจพวกเขาแล้วนางเพิ่งจะพาร่างไร้วิญญาณของตัวเองข้ามธรณีประตูไปได้ ปู๋เยี่ยโหวกลับตะโกนว่า “ชูชู แต่งงานกับข้าเถอะนะ?“ข้ากล้ารับประกันว่าจะดีกับเจ้าอย่างแน่นอน จะไม่จับเจ้าพาดหลังม้าพาขี่กลับเมือง จะไม่ปล่อยใ
ปู๋เยี่ยโหว “......”เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วตะโกนว่า “ชูชู ต่อให้เจ้าจะจับข้ามัดไว้แบบนี้ ก็ขัดขวางไม่ให้ข้าหลงรักเจ้าไม่ได้หรอก!”เฟิ่งชูอิ่งคร้านจะใส่ใจเขาแล้ว ทว่าจิ่งโม่เยี่ยกลับไม่คิดจะปล่อยผ่าน เขาหันกลับไปสั่งหลางซาน “คืนนี้เจ้าอยู่เล่นสนุกเป็นเพื่อท่านโหวหน่อยละกัน”ปู๋เยี่ยโหวมีฐานะสูงส่ง หากฆ่าเขาตายตอนที่อยู่หน้าจวนอ๋องคงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมิใช่น้อยหากจิ่งโม่เยี่ยคิดจะฆ่าเขา ต้องหาโอกาสและเวลาที่เหมาะสมกว่านี้แต่หากจะปล่อยปู๋เยี่ยโหวไปทั้งอย่างนี้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก หลางซานเดินเข้าไปหาปู๋เยี่ยโหวแล้วเอ่ยว่า “ท่านโหว ล่วงเกินแล้ว!”เขากล่าวจบก็หยิบเข็มเล่มหนึ่งออกมาแล้วแทงใส่นิ้วของปู๋เยี่ยโหว ตอนที่เข็มสิบเล่มปักอยู่ในนิ้ว ปู๋เยี่ยโหวก็เจ็บจนร้องเสียงโหยหวนเขาสบถว่า “จิ่งโม่เยี่ย แน่จริงเจ้าก็ออกมาประลองกับข้าตัวต่อตัวสิ“ชูชูทุบตีข้าหมายความว่านางมีใจ แต่เจ้าทุบตีข้ามันหมายความว่าอย่างไร?”จิ่งโม่เยี่ยย้อนกลับออกมา ปู๋เยี่ยโหวคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจแล้ว แต่กลับเห็นจิ่งโม่เยี่ยหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาแปะตัวเขาปู๋เยี่ยโหวพยายามอ้าปาก แต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงได้แม้แต่น
เฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “จัดการกับเจ้าช่างง่ายดายเสียจริง!”เมื่อครู่นี้นางได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็มองทะลุปรุโปร่งแล้วว่าเขาคิดจะช่วยแก้ตัวแทนจิ่งโม่เยี่ย ทว่าตอนนี้นางไม่อยากได้ยินสักเท่าไหร่ จึงต้องใช้วิธีของตัวเองไล่เขาออกไปวันนี้จิ่งโม่เยี่ยไปช่วยเหลือนางก็จริง แต่ระหว่างทางกลับเมืองมันทรมานเกินจะรับไหว!จิ่งโม่เยี่ยเห็นสีหน้าเหมือนปลาตายของฉินจื๋อเจี้ยน ก็เอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?”ฉินจื๋อเจี้ยนคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยลองหยั่งเชิงเรื่องที่ตนเองเมามายจนหลุดพล่ามเรื่องไร้สาระ ซึ่งตอนนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็ยืนยันหนักแน่นว่าเป็นความจริงงั้นก็แปลว่าจิ่งโม่เยี่ยกับเฟิ่งชูอิ่งรวมหัวกันรังแกเขาน่ะสิเขาจึงแค่นเสียงเย็นชาใส่จิ่งโม่เยี่ยหนักๆ หนึ่งครา จากนั้นก็เดินกระฟัดกระเฟียดจากไปจิ่งโม่เยี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย ฉินจื๋อเจี้ยนไปโกรธอะไรมาจากไหนอีกล่ะ?เขามองผ่านรูรั่วภายในห้อง พบว่าใกล้ยามจื่อ[footnoteRef:1]แล้ว เขาจึงไปหาเฟิ่งชูอิ่งเพื่อนอนด้วย [1: 23.00-01.00] ทว่าเพียงเขาเปิดประตูเข้าไป ยันต์แผ่นหนึ่งก็ลอยมาแปะบนหน้าผากของเขา ทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้อย่างฉับพลันเสียงของเฟิ่
ศิษย์ที่มาส่งข่าวตอบว่า “เพราะว่าเขาเชิญเจ้าอาวาสจากอารามมาช่วย“กองทัพจากจวนโหวที่เขามาพามียันต์ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย วิญญาณร้ายของพวกนักพรตเฒ่าจึงทำอะไรพวกเขาไม่ได้“หากไม่ใช่เพราะค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา เกรงว่าวันนี้ปู๋เยี่ยโหวคงจะกวาดล้างอารามเทียนอี้ของพวกเราแล้ว!”เทียนซือได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าอาวาสนั่นอีกแล้วเรอะ!”เขากล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงถามว่า “วันนี้เฟิ่งชูอิ่งได้ไปหาเรื่องที่อารามเทียนอี้ด้วยไหม?”ศิษย์ที่มารายงานถามกลับด้วยความงุนงง “เฟิ่งชูอิ่งคือใครหรือขอรับ?”เทียนซือตอบว่า “ว่าที่พระชายาของอ๋องฉู่ เป็นเด็กสาวท่าทางอ่อนโยนบอบบางนางหนึ่ง”ศิษย์ที่มารายงานรีบเอ่ยว่า “วันนี้มีสตรีคนหนึ่งมาหาเรื่องด้วยจริงๆ นางใช้ยันต์อสนีบาตทำร้ายศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเราไปหลายคนเลย”เทียนซือพ่นลมหายใจยาวๆ แล้วบอกให้ศิษย์คนนั้นกลับไปเรื่องนี้ไม่ต้องสืบหาความจริง แต่คาดว่าแปดส่วนต้องเป็นฝีมือของเฟิ่งชูอิ่งทว่าเขาแอบสงสัยนิดหน่อย เฟิ่งชูอิ่งทำไมถึงไปเกี่ยวข้องกับปู๋เยี่ยโหวไอ้คนสมองมีปัญหานั่นได้เท่าที่รู้มา ปู๋เยี่ยโหวกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้สนิทสนมอะไร
แต่พอฮ่องเต้เจาหยวนมาหา พระสนมสวี่ก็หลงลืมเรื่องที่ถูกเขาตบไปจนหมดสิ้นเทียนซือรู้สึกทุกข์ใจ แต่กลับต้องสะกดกลั้นความหม่นหมองเหล่านั้นเอาไว้ กระซิบว่า “เมื่อวานเฟิ่งชูอิ่งกับปู๋เยี่ยโหวบุกไปหาเรื่องอารามเทียนอี้”พระสนมสวี่ชะงัก ก่อนจะตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่งจะกล้าได้อย่างไร?”อารามเทียนอี้เป็นรากฐานของเทียนซือ แล้วก็เป็นทัพหนุนของพระสนมสวี่ด้วยถึงนางจะมีกองทัพเกล็ดทอง แต่กิจการในมือกลับมีไม่มีมากมายนัก ไม่สามารถทำให้นางใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ้งเฟ้อได้แบบทุกวันนี้ อารามเทียนอี้มีรายได้แต่ละปีมหาศาล เทียนซือดึงรายได้หนึ่งส่วนในนั้นออกมาปรนเปรอนาง หากเฟิ่งชูอิ่งลงมือกับอารามเทียนอี้ พระสนมสวี่ก็คิดว่านางกำลังมุ่งเป้ามาหาตนเองเทียนซือจ้องนางแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “นางขวัญกล้าเทียมฟ้า การขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้นางกับจิ่งโม่เยี่ย เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากที่สุด”พระสนมสวี่แววตาสงบนิ่ง นางกัดฟันเอ่ยว่า “ต้องสั่งสอนนางให้รู้สำนึกเสียบ้าง”เทียนซือพยักหน้า “ถูกต้อง นางกับอ๋องฉู่พึ่งพาอาศัยกัน หากจับพวกเขาแยกออกจากกันได้ ทั้งสองคนนั้นก็ไม่น่ากลัวอะไรแล้ว”พระสนมสวี่ขมวดคิ้ว “ทว่าราชโอง
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท