หวูเหวยจื่อโกรธจนแผดเสียงคำรามลั่น “ปู๋เยี่ยโหว ไอ้คนเสียสติเอ๊ย!”ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะร่วน “เจ้าเพิ่งรู้วันนี้หรือ?”ในตอนนั้นเอง ภายในอารามก็มีเสียงระเบิดดังก้องออกมาเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ก็มีไฟลุกท่วมขึ้นมาในถนนสายหลักของอารามมีเสียงคนตะโกนว่า “รูปปั้นของท่านบรรพจารย์ถูกระเบิดแล้ว รีบไปช่วยกันดับไฟเร็ว!”หวูเหวยจื่อได้ยินแบบนั้นก็เดือลดาลจนเส้นเลือดฝอยปรากฏในดวงตาปปั้นของท่านบรรพจารย์อยู่ในตำหนักที่ใช้สักการะของอารามเทียนอี้ เป็นที่ยึดเหนี่ยวของนักพรตทุกคนในอารามรูปปั้นของเขาถูกทำลายแบบนี้ ก็เหมือนกับการทำลายอารามเทียนอี้ทิ้งนั่นแหละภายในอารามมีเสียงคนแหกปากตะโกนออกมาว่า “อารามเทียนอี้ทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม ปปั้นของท่านบรรพจารย์จึงระเบิดตัวเอง!”เสียงดังกล่าวแฝงด้วยกำลังภายในอย่างชัดเจน เพราะมันได้ยินไปจนถึงด้านนอกอารามเทียนอี้เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงตะโกนดังกล่าวก็หลุดขำออกมา เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่นางขอให้องครักษ์เงาของปู๋เยี่ยโหวเป็นคนทำเองตอนแรกนางคิดว่ากำลังพลฝ่ายพวกเขาน้อยไปหน่อย แล้วพวกนักพรตอารามเทียนอี้ก็โหดเหี้ยมมาก นางกลัวจะอาละวาดได้ไม่หนักพอหากไม่รุนแรงมา
เพราะว่าคลังเก็บสมบัติแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยเพชรนิลจินดาและเงินทองของพวกนั้นวางกองรวมกันและส่องแสงระยับระยับจนนางตาแทบบอดเฟิ่งชูอิ่งคิดว่าตอนนี้นางไม่ควรจะลังเลเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติสมบัติเหล่านี้ได้นางเปิดกำไลมิติออกแล้วกวาดสมบัติทั้งหลายเข้าไปเก็บข้างในอย่างบ้าคลั่งนางหันกำไลไปทางกล่องที่สูงครึ่งตัวคน เพียงพริบตาเดียว สมบัติภายในกล่องก็ถูกนางดึงเข้าไปเก็บในมิตินางหันกำไลไปทางกำแพงสีทองอร่าม ทองคำก็ถูกสูบเข้าไปเก็บในกำลังทั้งหมด....ใช้เวลาเพียงจิบชาถ้วยเดียว นางก็กวาดสมบัติล้ำค่าทั้งหมดในคลังสมบัติของอารามจนหมดเกลี้ยง!เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน แต่ใครบ้างที่ไม่ชอบเงิน!หลังจากนางปล้นสมบัติจนหมดคลังก็เตรียมจะหนีออกจากที่นี่ แต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆนางลองขยับปลายนิ้วคำนวณดู แล้วลองมองการจัดวางภายในห้องอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าภายในห้องมีช่องลับซ่อนอยู่ด้วยนางใช้มือเคาะกำแพงเบาๆ หลังยืนยันตำแหน่งได้แล้วก็ลองใช้มือคลำไปรอบๆ จนกระทั่งพบกลไกที่ซ่อนอยู่เมื่อนางขยับกลไกดังกล่าว ประตูบานหนึ่งก็เผยออกอย่างช้าๆ ก่อนนางจะเปิดประตูเข้าไป
ขอเพียงเปิดค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา ค่ายกลก็จะสามารถสังหารพวกปู๋เยี่ยโหวทั้งหมดได้เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูคลังสมบัติ กลับพบว่านักพรตที่เฝ้าประตูอยู่สลบไปแล้ว อีกทั้งแม่กุญแจที่คล้องประตูยังหล่นอยู่กับพื้นด้วยหวูเหวยจื่อหน้าถอดสีทันควัน รีบผลักบานประตูเข้าไป ก่อนจะพบว่าประตูทุกบานด้านในถูกเปิดออกหมดเลยเมื่อก้าวเดินเข้าไปด้านใน ก็ทราบว่าสมบัติล้ำค่าทั้งหมดหายไปแล้วหวูเหวยจื่อกล่าวอย่างเดือดดาล “ปู๋เยี่ยโหวเจ้าคนต่ำช้า กล้าใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำ[footnoteRef:1]อย่างนั้นหรือ ข้าจะฆ่าเขาให้ตาย!” [1: หลอกศัตรูให้เผลอประมาทแล้วเข้าโจมตี] เขากล่าวจบก็พุ่งตัวเข้าไปด้านใน พบว่าหนังสือตำราทั้งหมดไม่เหลือสักเล่มเดียว แล้วบริเวณตาค่ายกลยังส่งกลิ่นเหม็นตุๆ ออกมาด้วยช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักพรตในอารามเทียนอี้ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบายมาก จึงไม่เคยเปิดใช้งานค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสักครั้ง พวกเขาจึงไม่มั่นใจนักว่าโดยปกติแล้วค่ายกลสมควรมีหน้าตาเป็นอย่างไรถึงแม้ยามนี้พวกเขาจะได้กลิ่นที่เหม็นเน่าสุดขีด แต่กลับไม่ได้คิดอะไรมากยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาถูกโทสะครอบงำ จนประมาทและขาดความยั้งคิดเขาเรียกต
พอนางลองสังเกตดูดีๆ จึงพบว่ามีแม่กุญแจขนาดใหญ่คล้องอยู่ที่ประตูฝั่งตรงข้าม นางออกแรงเขย่าและได้ยินเสียงโลหะดัง จึงทราบว่าประตูบานนี้ถูกล็อกไว้อย่างแข็งแรงและแน่นหนามาก ไม่ใช่สิ่งที่นางจะใช้กำลังเปิดออกได้เมื่อออกทางประตูไม่ได้ ก็ต้องปีนกำแพงข้ามไปเท่านั้นทว่าพอนางเหลือบมองขึ้นไปบนกำแพง ก็ต้องยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมไม่ใช่เพราะอะไรหรอก กำแพงตรงหน้านางนอกจากจะมีหนามแหลมจำนวนมากโผล่ออกมาแล้ว ยังมีกลไกอาวุธติดตั้งเอาไว้ด้วยไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางใช้วิชาตัวเบาไม่เป็น การจะกระโจนข้ามกำแพงเป็นเรื่องยากมาก หรือต่อให้กระโจนข้ามกำแพงได้จริง ก็ไม่มีทางข้ามลงพื้นอีกฝั่งได้แม้ตอนที่เฟิ่งชูอิ่งสาดอุจจาระลงบนดวงตาค่ายกล จะตระหนักได้ว่าค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาร้ายกาจอย่างยิ่งนอกจากค่ายกลจะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายแล้ว ยังซ่อนกลไกอย่างอื่นเอาไว้ด้วย เป็นการโจมตีทางกายภาพผสมผสานกับการโจมตีด้วยศาสตร์ลี้ลับแต่ความยิ่งใหญ่และร้ายกาจของค่ายกลนี้ ก็ยังอยู่เหนือกว่าความคาดหมายของนางอยู่ดีมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากพื้นที่ใกล้ๆ เป็นนักพรตของอารามเทียนอี้ทางหนีทีไล่ของนางถูกปิดตายหมดแล้ว คราวนี้จะทำอย่างไรดีล่
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญพบนางที่ตรงนี้ ยามนี้ค่ายกลถูกเปิดใช้งานแล้ว เขาปล่อยวิญญาณร้ายที่เลี้ยงไว้ไม่ได้ จึงใช้กระบี่แทงใส่นางโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งคิดไม่ถึงว่าได้พบเขาที่นี่เช่นกัน นางวิ่งหนีพร้อมตะโกนว่า “รสชาติของการถูกวิญญาณร้ายของตนเองเล่นงานเป็นอย่างไรบ้าง?”หากนางไม่กล่าวย้ำก็แล้วไปเถอะ แต่พอนางเอ่ยถึงเช่นนี้ชิงสวี่ก็โกรธจัด กระบี่ในมือจึงเคลื่อนไหวเร็วขึ้นด้วยเฟิ่งชูอิ่งรู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีฝีมือด้านการต่อสู้ ไม่สามารถประมือกับอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้าได้ จึงวิ่งหนีอย่างไม่ลดละชิงสวี่แสยะยิ้มชั่วร้าย “ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้!”เขาไล่ตามนางอย่างบ้าคลั่ง ครั้นเห็นว่าตนเองกำลังจะตามจับตัวนางได้แล้ว เขากลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องส่วนเฟิ่งชูอิ่งที่กำลังวิ่งหนีเขาก็หันกลับมาอย่างกะทันหัน แย่งกระบี่จากมือเขาไปแล้วใช้คมกระบี่วางพาดบนคอของเขาชิงสวี่ถลึงตาโต “นังปีศาจ เจ้าทำอะไรข้า?”จะทำอะไรได้ล่ะ? แน่นอนว่าตอนที่เฟิ่งชูอิ่งวิ่งผ่านกิ่งไม้แห่งหนึ่ง นางได้แอบแปะยันต์เอาไว้ตรงนั้นด้วยยันต์แผ่นนี้ไม่ได้มีพลังทำลายล้างยิ่งใหญ่ แต่สามารถตรึงร่างคนให้หยุดนิ่งได้นางในตอนนี้
เฉี่ยวหลิงที่อยู่ในป้ายหยกร้อนใจแทบบ้า แต่กลับไม่สามารถออกไปช่วยได้นางรู้ว่ายิ่งติดอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ พวกนักพรตก็จะยิ่งแห่กันมามากเท่านั้นเฉี่ยวหลิงรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋า เก่งกาจด้านยันต์เป็นที่สุด ทว่าวิชาต่อสู้ของนางธรรมดามากหากต้องใช้กำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต เฟิ่งชูอิ่งไม่มีทางเป็นคู่มือของนักพรตเหล่านี้ได้ตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งถูกนักพรตทั้งหมดกดดันไล่ต้อนจนหมดทางถอยหนี ข้อมือของนางถูกกระบี่ฟันจนเป็นแผลนางพยายามใช้พลังทั้งหมดที่มีปัดป้องต่อต้านนักพรตที่อยู่ตรงหน้า ทว่าตอนนั้นเองก็มีนักพรตคนหนึ่งโจมตีมาจากด้านข้างนางไม่สามารถป้องกันได้แล้ว จึงเผลอหลับตาลงโดยสัญชาตญาณทว่านางกลับไม่รู้สึกเจ็บแบบที่คาดคิดไว้ กลับกันนางสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนสายหนึ่งที่สาดลงบนหน้านางรีบลืมตาขึ้นอย่างว่องไว ก่อนจะพบว่านักพรตเหล่านั้นมีสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะค่อยๆ ไถลลงไปกองกับพื้นพอนักพรตพวกนั้นล้มลงแล้ว นางก็เห็นจิ่งโม่เยี่ยปรากฏตัวในอาภรณ์สีขาวพร้อมกระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ในมือบัดนี้กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์มีเลือดหยดจากปลายแหลม ประกอบกับชุดสีขาวสะอาดปราศจากรอยเปื้อน ชวนให้รู้สึกถึ
ดังนั้นใช่ว่านางจะไม่ชอบเงินทอง แต่บางครั้งเงินทองไม่อาจหยิบจับแบบส่งเดชได้จิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยสายตาเฉยชา คิดว่านางเพียงเอ่ยอ้างไปอย่างนั้น จึงไม่เก็บคำพูดของนางมาใส่ใจทั้งสองออกจากขอบเขตของอารามเทียนอี้ด้วยความว่องไวจิ่งโม่เยี่ยขี่ม้ามาที่นี่ ดังนั้นจึงอุ้มนางแล้วตวัดขาขึ้นคร่อมอาชา กระเตงนางไว้ข้างตัวแล้วสั่งให้นางกอดเอวเขาแน่นๆ ก่อนจะห้อตะบึงอาชาพานางกลับเข้าเมืองเฟิ่งชูอิ่งไม่ค่อยคุ้นชินกับท่านั่งของพวกเขาทั้งสองคนนัก นางรู้สึกว่าท่าทางในตอนนี้ดูใกล้ชิดกันมากกว่าตอนที่นอนร่วมเตียงเสียอีกนางจึงพูดจาไร้สาระเพื่อทำลายบรรยากาศคลุมเครือระหว่างพวกเขา “ท่านอ๋อง วันนี้ข้าอาละวาดอารามเทียนอี้จนวุ่นวายไปหมดเลย ข้าเก่งกาจมากเลยใช่ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเย็นชา “เก่งกาจมากจริงๆ นั่นแหละ เก่งถึงขั้นที่สามารถชี้นิ้วสั่งการปู๋เยี่ยโหวได้ นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”วันนี้เขาสามารถตามหาตัวเฟิ่งชูอิ่งเจอได้ ย่อมต้องทราบวีรกรรมทั้งหมดที่นางทำลงไปเช้าตรู่ของวันนี้ตอนที่เฟิ่งชูอิ่งออกจากจวน เขาคิดเพียงแค่ว่านางจะไปปรึกษาเรื่องการท้าทายอารามเทียนอี้กับเจ้าอาวาสที่อารามเขาก็เลยไม่ได้เก็บเรื
เขาเอ่ยเสียงขรึม “ยังจะกล้าเฉไฉ สมควรตี!”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางอึ้งไปพักหนึ่งถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยทำอะไร!ตอนนี้นางอยู่บนหลังม้านะ เขาใช้มือหนึ่งกุมบังเหียน อีกมือหนึ่งพลิกตัวนาง ไม่กลัวว่าจะพลาดพลั้งทำนางตกจากม้าหรือไง!ไม่สิ นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เขามีสิทธิ์อะไรมาตีนาง!แล้วยังกล้าตีก้นนางอีก!ถึงจะตีไม่แรง แต่ตำแหน่งที่ตีกับน้ำหนักมือที่เขาใช้ มันคล้ายกำลังหยอกเย้านางเล่นในเชิงชู้สาว เป็นความรู้สึกที่เจ็บแสบจนบอกไม่ถูกเลยนางโกรธจัดและคิดจะพลิกตัวกลับขึ้นมาแต่ถูกเขาใช้มือกดไว้ จึงไม่สามารถพลิกตัวกลับได้ จึงคว้าขาของเขาไว้แล้วฝังเขี้ยวลงไปอย่างแรงจิ่งโม่เยี่ย “......”ร่างกายเขาสั่นเทิ้มวูบหนึ่ง เผลอตัวดึงบังเหียนม้าอย่างแรงจนม้าแผดเสียงร้องแหลมเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยอย่างแค้นใจ “กล้าตีข้า ข้าจะกัดเจ้าให้ตายเลย!”จิ่งโม่เยี่ยสูดหายใจเขาลึกๆ ใช้มือทาบทับก้นของนางแล้วเขย่าขาตีท้องม้า ส่งผลให้ม้าห้อตะบึงเร็วยิ่งกว่าเดิมเฟิ่งชูอิ่งถูกเขย่าไปเขย่ามาจนเวียนหัวไปหมด ท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายจะอาเจียน จึงไม่มีแรงกัดเขาอีกต่อไปนางรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจอย่างยิ่ง นางอุตส่าห์บุกไปก่อเรื่องที่อ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท