หากเฟิ่งชูอิ่งประจันหน้ากับนักพรตพวกนั้นตรงๆ ต้องสู้ไม่ไหวแน่ แต่นางไม่เคยสู้กับใครด้วยการใช้พละกำลังเพียงอย่างเดียวอยู่แล้วเมื่อครู่นี้คนพวกนั้นหาตัวนางไม่พบ ว่านางมียันต์เร้นกายอยู่กับตัว หลังจากนางทำให้ตัวเองล่องหนแล้ว คนพวกนี้ก็ไม่มีทางมองเห็นนางแน่นอนนางเห็นว่านักพรตพวกนั้นกำลังล้อมวงสร้างค่ายกลรอบๆ รถม้า นางใคร่ครวญสักพักแล้วติดตั้งอะไรบางอย่างบนรถม้าด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มส่งเสียงร้องไห้เสียงร้องไห้ของนางฟังดูน่าพิศวงอย่างยิ่ง คนที่ได้ยินก็พากันหวาดกลัวไปตามๆ กันหลังจากนางร้องอยู่สักพักก็เงียบไปแล้วไม่ส่งเสียงอีกทว่าเสียงร้องไห้สั้นๆ ของนางทำให้นักพรตพวกนั้นทราบว่าตำแหน่งของนางอยู่ตรงไหนนักพรตทั้งหลายย่ำตามจุดของค่ายกล พร้อมกับขยับเข้าไปทางรถม้าคันนั้นและโอบล้อมเอาไว้นักพรตเหล่านั้นชักกระบี่ออกมา พวกเขาหันไปส่งสายตาให้กันเล็กน้อย จากนั้นจึงแทงกระบี่ใส่รถม้าอย่างพร้อมเพรียงกันเสี้ยวพริบตาที่พวกเขาแทงกระบี่เข้าไป ผงปูนขาวก็สาดกระจายออกมารอบๆ โดยมีรถม้าเป็นจุดศูนย์กลางตอนที่นักพรตเหล่านั้นใช้กระบี่แทงใส่รถม้า เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายหลบหนี พวกเขาจึงเบิกตากว้างจั
นางตกใจจนใจหายวาบ พอหันกลับไปก็เห็นพวกนักพรตที่เพิ่งจะเผ่นหนีไป นอนจมกองเลือดกันเกลื่อนกลาดเฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วสูง ก่อนที่พริบตาถัดมาจะมีตาข่ายขนาดใหญ่กางปกคลุมแผ่นฟ้า ครอบทับร่างนางเอาไว้อย่างแน่นหนาตอนที่นางถูกตาข่ายดังกล่าวจับ ยันต์บนตัวของนางก็ถูกดึงหลุดออกไป นางใช้มือดึงตาข่ายออกแต่กลับถูกคนพันธนาการจนแน่น ไม่มีทางดิ้นหลุดออกไปได้เลยนางรู้สึกใจหายวาบ นางรู้ว่ายันต์เร้นกายของตนเองสามารถทำให้คนอื่นมองไม่เห็นนางได้ ยามที่นางซ่อนตัวอยู่ในมุมอับก็แทบจะไม่มีใครพบเห็นนางเลยแต่อย่างไรเสียนางก็เป็นคนตัวเป็นๆ ไม่มีทางหลบหนีกฎตามธรรมชาติได้ ตอนที่นางอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ อย่างไรก็ต้องมีเงาปรากฏออกมาเพียงแต่พวกนักพรตพวกนั้นขวัญกระเจิงไปหมดแล้ว จึงไม่ทันสังเกตเห็นเงาที่เคลื่อนไหวไปมาแต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า นางสามารถหลอกพวกนักพรตได้ แต่กลับมาเสียท่าในตอนสุดท้ายเฟิ่งชูอิ่งอยากรู้ว่าใครกันที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ สามารถหาตัวนางพบได้ในพริบตาเดียวพอนางหันกลับไปก็มองเห็นจิ่งโม่เยี่ยในอาภรณ์สีขาว ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยด้วยท่าทางสง่างามผ่าเผย นัยน์ตาดอกท้อของเขากำลังมองนางด้วยรอยยิ้มไม่คล้ายยิ้ม
เขารู้ว่าเรื่องที่หลินชูเจิ้งกับเทียนซือร่วมมือกันฆ่านางเป็นความจริง เพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอดนางถึงได้รอนแรมออกมาไกลถึงที่นี่ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของนางสักนิดนางสูดจมูกเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ยังเพคะ ข้ายังมีถ้อยคำบรรยายความยินดีปรีดาที่ข้าได้พบท่านอ๋องอีกเป็นหมื่นคำเลยเพคะ”จิ่งโม่เยี่ย “......”นัยน์ตาของเขาล้ำลึกดุจมหาสมุทร มุมปากยกโค้งเล็กน้อย “งั้นเจ้าพูดออกมาเถอะ ข้ารอฟังอยู่”เขาหันไปสั่งทหารองครักษ์ข้างกาย “เจ้ามาคอยนับ หากขาดไปหนึ่งคำก็ตัดนิ้วนางหนึ่งข้าง”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ไอ้บุรุษชาติหมานี่ มันจะมากเกินไปแล้วนะ!นางคิดจะพูดอะไรสักอย่าง จิ่งโม่เยี่ยก็ปรายตามองนางนิ่งๆ “หนึ่งหมื่นคำนี้เจ้าห้ามพูดซ้ำเด็ดขาด เอาล่ะ เจ้าเริ่มพูดได้เลย“อย่าบอกนะว่าที่พูดมาเมื่อกี้ เจ้าสร้างเรื่องโกหกข้าทั้งหมดเลยน่ะ”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางอยากจะเรียกเฉี่ยวหลิงออกมากระทืบไอ้บุรุษสุนัขคนนี้สักยกจริงๆ แต่นางคิดถึงท่าทางขี้ขลาดหวาดกลัวของเฉี่ยวหลิงแล้ว นางก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปนางยกมือจับชายแขนเสื้อของจิ่งโม่เยี่ยแล้วเขย่าเบาๆ “ท่านอ๋อง ข้
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินสิ่งที่จิ่งสือเยี่ยนพูดก็อยากจะตบปากเขาให้รู้แล้วรู้รอด!นางพยายามอย่างหนักกว่าจะปลอบจิ่งโม่เยี่ยให้สงบลงได้ ไอ้หมอนี่โผล่มาพูดประโยคเดียว ความพยายามก่อนหน้านี้ของนางก็สูญเปล่าแล้ว!จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้พูดอะไร แค่เอนตัวพิงรถม้า ยกมือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มองนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม ทว่าแววตาอันตรายอย่างยิ่งเฟิ่งชูอิ่งตอนนี้จะต้องหาวิธีแก้สถานการณ์โดยด่วน นางจึงตีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋องจิ้น เรื่องแบบนี้จะพูดส่งเดชไม่ได้นะเพคะ!“ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้าออกมาจากเงื้อมมือของคนจวนสกุลหลินและเทียนซือ“แต่ข้าไม่เคยรับปากท่านสักคำว่าจะไปชมฤดูฝนร่วมกับท่านที่เจียงหนาน แล้วก็ไม่ได้ทิ้งท่านเอาไว้แล้วหนีออกมาเพียงลำพังอะไรนั่นด้วย!”นางกล่าวไปด้วยขยิบตาให้จิ่งสือเยี่ยนไปด้วย เพื่อไม่ให้เขาพูดอะไรออกมาอีกในที่สุดจิ่งสือเยี่ยนก็เข้าใจแล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ตอนแรกเฟิ่งชูอิ่งได้พาสาวใช้ติดตัวมาด้วยคนหนึ่ง แต่ตอนนี้คนที่อยู่กับนางคือทหารองครักษ์ของจิ่งโม่เยี่ยทั้งหมดตอนนี้ถึงเขาจะมองไม่เห็นจิ่งโม่เยี่ยที่นั่งอยู่บนรถม้า แต่ก็พอจะเดาได้ว่าแปดส่วนจิ่งโ
เขากล่าวจบก็เผ่นหนีออกไปอย่างว่องไวโดยไม่รอคำอนุญาตจากจิ่งโม่เยี่ยก่อนจะไปใช่ว่าเขาไม่อยากอธิบายแทนเฟิ่งชูอิ่งต่อสักสองสามประโยค แต่เพราะสถานการณ์แบบนี้ยิ่งอธิบายก็ยิ่งถูกเข้าใจผิดเขารู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนฉลาดมีไหวพริบดี น่าจะมีวิธีรับมือกับจิ่งโม่เยี่ยได้จิ่งโม่เยี่ยก็ไม่คิดขวางเขา เพียงเลิกเปลือกตามองเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้ายังมีอะไรจะพูดกับข้าอีกไหม?”เฟิ่งชูอิ่งไม่ตอบแล้วถามกลับ “หากข้าบอกว่า ระหว่างข้ากับท่านอ๋องจิ้นไม่มีอะไรทั้งนั้น ท่านอ๋องจะเชื่อหรือไม่?”จิ่งโม่เยี่ยใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะแล้วเอ่ย “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ แล้วตอบ “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้พูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี แต่ว่ามันคือเรื่องจริง“ท่านอ๋องจิ้นก็แค่สงสารที่ข้าตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร จึงมีน้ำใจช่วยเหลือข้าครั้งหนึ่งเท่านั้น”จิ่งโม่เยี่ยยื่นมือเรียวยาวของเขาลากผ่านลำคอของนาง เอ่ยเสียงเรียบว่า “เฟิ่งชูอิ่ง ข้าเคยบอกเจ้าหรือเปล่าว่าข้าเกลียดคนโกหกมากที่สุด?”เขาเรียนวรยุทธ์มานาน ปลายนิ้วจึงหยาบกร้านเล็กน้อย พอเขาลากผ่านไปแบบนี้ก็ทำให้นางคันยุกยิกไปด้วยเพียงแต่ปลายนิ้วของเขาเย็นราวกับน้ำแข็ง
จิ่งโม่เยี่ยเพิ่งจะค้นพบความจริงบางอย่าง เขาอยากเก็บนางเอาไว้ข้างกาย ไม่ได้อยากเก็บศพเย็นชืดของนางเพียงอย่างเดียวเขาอยากเห็นนางยิ้มให้ อยากเห็นนางแสดงสีหน้าที่หลากหลายให้เขาดู ไม่ใช่ใบหน้าแข็งทื่อของศพที่ไร้ลมหายใจความรู้สึกพวกนี้ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก อารมณ์ในใจของเขาปั่นป่วนไปหมดเหมือนน้ำมันที่โดนไฟลาม และกำลังต้มเขาจนเดือดพล่านเฟิ่งชูอิ่งไม่รู้ว่าเขากำลังเกิดความรู้สึกซับซ้อนอยู่ในใจ นางรู้สึกเพียงจิตสังหารที่พลุ่งพล่านของเขานางแอบหงุดหงิดอยู่ในใจ แต่ก็ต้องพยายามข่มเอาไว้ เอ่ยต่อว่า “ท่านอ๋องเคยบอกว่าหากมีท่านอยู่ด้วย จะไม่มีใครทำร้ายข้าได้“แล้วตอนที่คนของจวนสกุลหลินกับเทียนซือร่วมมือกันสังหารข้าท่านอ๋องอยู่ไหน? ตอนที่ชีวิตข้าแขวนอยู่บนเส้นด้าย ท่านอ๋องอยู่ที่ไหน?”จิ่งโม่เยี่ยมองสบตาดวงตาที่แดงก่ำของนาง ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาในสมอง เขาเคยสัญญากับนางไว้จริงๆเฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่าจิตสังหารของเขาเบาบางลงแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าประมาท นางเอ่ยต่อว่า “ท่านอ๋องก็รู้ว่าข้าไม่มีมิตรสหายในเมืองหลวง คนในครอบครัวก็คิดแต่จะวางแผนเล่นงาน หวังเอาชีวิตข้าอยู่ตลอดเวลา“ทางฝั่งเทียนซือนั่น ก็เป็นภัย
“ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการแก้คำสาป มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้มากมาย วิธีการของเจ้าอาจจะไม่ได้ผลก็ได้”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับจมอยู่ในภวังค์ เขาไม่คิดจะปล่อยนางไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ว่าจะตัวเขาหรือศัตรูของเขาก็ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อชีวิตของนางทั้งนั้น การรั้งอยู่ข้างกายเขาถึงจะไม่ต้องเสี่ยงตายทุกวัน แต่ก็ไม่ได้น้อยไปกว่านั้นหรอกแล้วเมื่อกี้นี้เขายังคิดจะฆ่านางอยู่เลย!นางก้มศีรษะลงโดยไม่พูดอะไร ภายในรถม้าจึงเงียบสงัดทันทีจิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าถึงนางจะเอาแต่ทำตัวทะเล้นไปวันๆ แต่ความจริงแล้วเป็นคนที่มีความคิดและหลักการของตัวเองวันนี้เขาตามตัวนางพบและพากลับไปได้ แต่ใช่ว่าหลังจากนี้นางจะไม่คิดหนีอีก แล้วเขาก็ไม่อาจอยู่เฝ้านางได้ตลอดเวลาด้วยหากใช้ไม้แข็งกับนางอย่างเดียว อาจจะทำให้นางเกิดความคิดต่อต้านได้ง่ายแล้วเขายังทำใจฆ่านางไม่ลงอีก เขาไม่ได้ต้องการเพียงศพเย็นชืดของนาง เพราะฉะนั้นต้องหาวิธีอื่นเขาล้วงหยิบข้อความที่นางเขียนทิ้งเอาไว้ “มีลูกเต็มบ้าน เจ้าคิดจะให้ใครคลอดลูกให้ข้าเต็มบ้านล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ตอนแรกนางคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว ดังนั้นก็เลยทั้งใจจะกวนบาท
เฟิ่งชูอิ่งยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว จิ่งโม่เยี่ยก็กดปลายจมูกของเขาลงมาคลอเคลียกับปลายจมูกของนางแล้วช่วงเวลานี้ ทั้งสองคนต่างสัมผัสลมหายใจของกันและกันได้นางใช้มือผลักตัวเขาออกไปแล้วถลึงตาใส่เขาเขาจ้องมองนางแน่นิ่ง “หากข้าคิดจริงจังล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆ ดังอยู่ในหัว ในใจนางปราศจากความเขินอาย ไม่มีความยินดี มีเพียงความหวาดกลัวนางรู้ว่าเขากำลังสารภาพความในใจแบบอ้อมๆ อยู่ แต่นางอยากจะมีชีวิตยืนยาวกว่านี้จริงๆ ไม่อยากถูกวายร้ายสุดยิ่งใหญ่แล้วยังบ้าคลั่งแบบเขาหลงรักหรอกพวกเขาอยู่ร่วมกันมาเพียงไม่นาน แต่นางก็พอจะเข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายหากนางปฏิเสธเขาตรงๆ ด้วยนิสัยของอีกฝ่ายมีโอกาสสูงมากที่จะฆ่านางตายตรงนี้แต่หากไม่ปฏิเสธ คาดว่าเขาก็อาจจะจับนางปลดเปลื้องอาภรณ์ในรถม้าคันนี้แน่....เผชิญหน้ากับคนประเภทนี้ เป็นการทดสอบทั้งสติปัญญาและการควบคุมอารมณ์ไปพร้อมกันเฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “การมีลูก ต้องเกิดจากการยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย ถึงจะสำเร็จลุล่วงได้“ข้ารู้สึกเคารพนับถือท่านอ๋องอย่างมาก ไม่มีทางคิดเกินเลยกับท่านอ๋องแน่นอนเพคะ”คำพูดของนางฟังดูคลุมเครือ แต่ความหมายกลับ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท