เฟิ่งชูอิ่งอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นางแค่อยากมีชีวิตอยู่ แต่กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้ชีวิตแล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ?หลบหนีหรือ?นางรู้ดีว่าด้วยความสามารถของจิ่งโม่เยี่ย หากเขาไม่ยอมปล่อยนางไป โอกาสที่นางจะหนีรอดก็ลดน้อยลงมากจนแทบไม่มีเหลือนางอัดอั้นจนบรรยายไม่ถูกเลยหลังจากจิ่งโม่เยี่ยออกไปก็ไม่เคยกลับเข้ามาในรถม้าอีกจนกระทั่งถึงเวลากินอาหารค่ำ เฟิ่งชูอิ่งถึงได้พบหน้าเขาอีกครั้ง เขายังคงเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรก สีหน้าท่าทางภายนอกดูอบอุ่นอ่อนโยน ทว่าแววตากลับดุร้ายเฟิ่งชูอิ่งพยายามถอยห่างจากเขาอย่างแนบเนียน ยิ่งห่างได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดีจิ่งโม่เยี่ยเห็นปฏิกิริยาของนางแล้วก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร ทว่าตอนที่เขาหยิบตะเกียบขึ้นมากลับทำหักท่อนคามือเขาไม่มีวันเหมือนเสด็จพ่อของเขาโดยเด็ดขาด ที่กลายเป็นคนบ้าเสียสติเพราะสตรีนางหนึ่ง ยอมยกหัวใจทั้งดวงให้นาง แล้วยังยอมทิ้งชีวิตและแผ่นดินอีกเขามีเรื่องที่ต้องการทำหลายอย่าง ไม่มีทางเสียการเสียงานเพราะนางหรอกเนื่องจากทั้งสองคนต่างก็อยากจะหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย ไม่ต้องพบหน้ากันได้ยิ่งดี ดังนั้นตลอดทางกลับไปยังเมืองหลวงพวกเขาจึงไม่ได้ทะเลาะเบาะแ
ก่อนหน้านี้จิ่งโม่เยี่ยทำอะไรไม่สนใจใคร เห็นใครขัดหูขัดตาก็ลงมือหมด จนแทบไม่มีจุดอ่อนอะไรแล้วก่อนหน้านี้จิ่งโม่เยี่ยก็ไม่สนใจสักนิดว่าพระชายาของตนเองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ปล่อยให้ฮ่องเต้เจาหยวนทำทุกอย่างได้ตามใจชอบทว่าตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยให้ความสำคัญกับเฟิ่งชูอิ่ง แปลว่าเขามีใจให้เฟิ่งชูอิ่งแล้วเมื่อก่อนเทียนซือเคยตรวจดวงชะตาของจิ่งโม่เยี่ย ชีวิตนี้เขาจะหวั่นไหวกับคนแค่คนเดียวเท่านั้น อีกทั้งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เป็นประเภทที่ลึกลับแบบสุดๆ จนไม่อาจพบเจอได้ง่ายๆก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมชะตาชีวิตของคนผู้นั้นถึงได้แปลกนัก แต่หลังจากเขาได้พบกับเฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจทันที เพราะเดิมทีนางไม่ใช่คนของโลกใบนี้หลังจากจิ่งโม่เยี่ยเผลอใจไปแล้ว ก็จะเหมือนกับอดีตฮ่องเต้ในยามนั้น ที่จะรักปักใจกับคนเพียงผู้เดียวซึ่งสำหรับเทียนซือแล้ว เขามองว่ามันเป็นจุดอ่อนอันยิ่งใหญ่หากมีจุดอ่อนดังกล่าว การจะฆ่าจิ่งโม่เยี่ยก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายในตอนนั้นเอง พระสนมสวี่ก็เดินเข้ามาด้วยสภาพดวงตาแดงก่ำ นางเห็นเทียนซือกำลังยิ้มจึงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้ายิ้มอะไรนักหนา?”เทียนซือเห็นนางเป็
เทียนซือเอ่ยเบาๆ “ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็คงตายไปนานแล้ว”พระสนมสวี่ถอนหายใจ “ข้าทำให้เจ้าเสียเวลามาตั้งนานหลายปี....”“ไม่ใช่” เทียนซือเอ่ยตัดบทนาง “เจ้าไม่ได้ทำข้าเสียเวลาเลย ข้าเต็มใจรอเจ้าเอง“แค่ข้าอยู่เคียงข้างเจ้าได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตข้าแล้ว”พระสนมสวี่ยิ้มหวาน “เจ้าก็เอาแต่พูดแบบนี้ ข้ารู้สึกผิดจนไม่รู้จะทำอย่างไรเลย“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ช่วยกันหาทางฆ่าจิ่งโม่เยี่ยก่อนดีกว่า ข้าไม่อยากให้สิบสามต้องทรมานอีกแล้ว”เทียนซือนัยน์ตาคมปลาบ “เรื่องนี้ข้ามีความคิดอยู่แล้ว....”เขากล่าวจบก็กระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของพระสนมสวี่ พระสนมสวี่ฟังจบดวงตาก็สว่างวาบทันทีนางเม้มปาก “วิธีการดีเลย ข้าจะไปพบฝ่าบาทเดี๋ยวนี้แหละ”นางกล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไปทันที ตอนแรกเทียนซือยังอยากพูดอะไรต่ออีก แต่เห็นท่าทางตื่นเต้นของนาง คำพูดที่เหลือของเขาจึงไม่อาจพูดออกไปได้สายตาของเขาหม่นแสงลงอย่างช้าๆ หลายปีมานี้ ไม่ว่าเขาจะทุ่มเทให้นางมากขนาดไหน ในใจของนางก็มีเพียงฮ่องเต้เจาหยวนคนเดียวเท่านั้นเขารู้ สาเหตุที่นางรักองค์ชายสิบสามมากขนาดนั้น เป็นเพราะว่าองค์ชายสิบสามเป็นลูกที่เกิดจ
ฉินจื๋อเจี้ยนแทบจะตาถลนออกมา คิดว่าตัวเองหูฝาดไป เอ่ยถามว่า “เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ?”คนเฝ้าประตูร้อนใจ “เมื่อครู่นี้ตระกูลฉินส่งข่าวมาว่าตระกูลเจิ้งขอยุติการหมั้นหมาย นายท่านใหญ่สั่งให้ท่านคืนของแทนใจให้กับตระกูลเจิ้งขอรับ”ฉินจื๋อเจี้ยนสีหน้ามืดครึ้มอย่างมากคู่หมั้นของเขาเป็นบุตรีภรรยาเอกของตระกูลเจิ้ง นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเจิ้งแม้จะมีตำแหน่งขุนนางไม่สูง เป็นแค่อาลักษณ์ขั้นสี่ของฝ่ายตรวจการอีกทั้งตระกูลเจิ้งกับตระกูลฉินรู้จักกันมานาน เขากับบุตรีภรรยาเอกตระกูลเจิ้งก็หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ทั้งสองคนนับว่าเป็นสหายวัยเยาว์ สนิทสนมรู้ใจกันมิน้อยตอนแรกที่เขาได้รับเลือกจากอดีตฮ่องเต้ให้เป็นเพื่อนร่วมเรียนของจิ่งโม่เยี่ย คนในเมืองหลวงต่างลือกันว่าเขาอนาคตรุ่งโรจน์แต่เขาได้เป็นสหายร่วมเรียนกับจิ่งโม่เยี่ยเพียงไม่นาน อดีตฮ่องเต้ก็สวรรคต จิ่งโม่เยี่ยที่ควรจะกลายเป็นจักรพรรดิครองแคว้นก็ถูกฮ่องเต้เจาหยวนเล่นงานจนกลายเป็นตัวตลกในราชวงศ์ แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง สถานการณ์ของเขาน่ากระอักกระอ่วนยิ่งกว่าจิ่งโม่เยี่ยอีกคนในตระกูลฉินสั่งให้เขาตีตัวออกห่างจากจิ่งโม่เยี่ย ตัดขาดห้ามไปมาหาสู่กันอีก
เฟิ่งชูอิ่งแย้มยิ้ม ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของเขา “ใบหน้าของเจ้าบอกข้าเอง เรื่องนี้เขียนอยู่บนหน้าของเจ้า”ฉินจื๋อเจี้ยนทำหน้างุนงง บนหน้าเขาจะมีคำว่า ‘ถูกถอนหมั้น‘ เขียนเอาไว้ได้อย่างไรทว่าตอนนี้เขากำลังกระวนกระวายใจมากจนไม่ได้คิดให้รอบคอบ เพียงคิดจะเดินออกจากจวนเฟิ่งชูอิ่งกลับเรียกเขาไว้ “ฉินจ๋างสื่อ ว่าที่ภรรยาของเจ้าตั้งใจจะยกเลิกงานหมั้น เจ้าก็ยอมนางไปเถอะ!”ฉินจื๋อเจี้ยนโกรธจัด “นางรักข้าจนหมดหัวใจ ไม่มีทางยอมยกเลิกงานหมั้นแน่นอน นางจะต้องถูกครอบครัวบังคับให้ยอมถอนหมั้นแน่!”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ว่านางจะต้องการถอนหมั้นเอง หรือตระกูลของนางต้องการให้ถอนหมั้น สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์เดียวกัน“เรื่องการแต่งงานหมั้นหมาย แต่ไหนแต่ไรมาก็ต้องเชื่อฟังบิดามารดา อาศัยวาจาของแม่สื่อแม่ชัก“ท่านกล้าหาญพอจะตัดขาดกับครอบครัว ยืนอยู่ข้างท่านอ๋องฉู่ แต่ท่านไม่มีสิทธิบังคับให้นางตัดขาดกับครอบครัว เพื่อยืนอยู่ข้างท่านนะ”ฉินจื๋อเจี้ยน “......”คำพูดของนางทำให้เขาน้ำท่วมปากหลายปีที่ผ่านมานี้ นางยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเขามาโดยตลอด สนับสนุนการตัดสินใจของเขาเสมอมาและเพราะมีนางคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ เขาถึง
ฉินจื๋อเจี้ยนยิ้มเศร้าๆ “ข้ามองนางผิดไปเอง นางกล้าทำเรื่องแบบนี้ลงไป ข้ากับนางก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้ว”เฟิ่งชูอิ่งฟังแล้วก็ใช้สายตาประหลาดมองเขาทีหนึ่ง เขาจึงถามว่า “เจ้ามองข้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “ไม่มีอะไร ข้าแค่สงสัยนิดหน่อย ในใจของเจ้า ชอบท่านอ๋องฉู่มากกว่า หรือว่าชอบว่าที่ภรรยาผู้นั้นมากกว่า?”ฉินจื๋อเจี้ยน “......”ตอนแรกเขายังไม่เข้าใจความหมายที่นางสื่อ หลังจากตั้งสติได้แล้วจึงถลึงตาใส่นาง “เจ้าคิดบ้าอะไรน่ะ!“ท่านอ๋องเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ บุญคุณของเขาหากไม่ยอมชดใช้ ข้าคงต่ำช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน!”เฟิ่งชูอิ่งยกนิ้วโป้งให้เขา “บุรุษซื่อสัตย์มั่นคง สุดยอดไปเลย!”ฉินจื๋อเจี้ยน “......”แม้เขาจะถูกนางชม แต่เขากลับรู้สึกว่ามันแปลกพิกลอย่างไรไม่รู้เพียงแต่ตอนนี้สภาพจิตใจของเขากำลังย่ำแย่ ก็เลยไม่คิดจะโต้ตอบอะไรตอนนี้เขารู้สึกหมดหวังท้อแท้อย่างมาก เขาชอบสตรีนางหนึ่งมาตั้งหลายปี แต่นางกลับกลายเป็นคนแบบนั้นไปเสียได้ เขาเสียใจและผิดหวังไม่น้อยพอเขาทุกข์ใจ สุราก็เลยเข้าปากไปเสียเยอะ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนคอแข็งอะไรอยู่แล้ว พอดื่มแบบไม่ยั้งคิดเช่นนี้ ก
“หลายปีมานี้ ข้าติดตามข้างกายท่านอ๋อง ต้องเห็นเขาพบเจอเรื่องเลวร้ายมากมายนับไม่ถ้วน ต้องเห็นเขาถูกคนใช้กลอุบายทำร้ายสารพัด“เขาต้องทนทุกข์ใจถึงเพียงไหนกัน ต้องแบกรับมากแค่ไหนกัน เจ้าเข้าใจบ้างหรือไม่?”เฟิ่งชูอิ่งได้กลิ่นสุราเหม็นคลุ้งจากตัวของเขา จึงทำหน้าเหมือนปลาตายนางสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “บิดาเป็นคนใจกว้าง ไม่ถือสาหาความคนเมาผู้หนึ่ง!”นางคิดจะแยกตัวออกไป แต่ฉินจื๋อเจี้ยนกลับคว้าขาของนางไว้ “เจ้าห้ามไปนะ ข้ายังพูดไม่จบเลย!”เฟิ่งชูอิ่ง “......”อะไรกันเนี่ย!นางไม่น่าสอดมือยุ่งเรื่องชาวบ้านเลย!นางตวาดว่า “เจ้าปล่อยมือนะ!”ฉินจื๋อเจี้ยนตะโกนตอบว่า “ข้าไม่ปล่อย เจ้าต้องฟังข้าให้จบก่อนข้าถึงจะยอมปล่อย”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางชักอยากจะตีเขาจริงๆ แล้วนะ!ฉินจื๋อเจี้ยนร้องห่มร้องไห้ขณะพูดเสียงดังว่า “ถึงแม้ท่านอ๋องจะเคยมีว่าที่พระชายาถึงเจ็ดคน แต่เขาไม่เคยชอบพวกนางเลยสักคน“หลายปีมานี้ข้าติดตามอยู่ข้างกายเขาตลอด เพิ่งเคยเห็นเขาใส่ใจเจ้าเป็นคนแรกนี่แหละ“เขาดีกับเจ้ามากขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงตอบแทนเขาแบบนั้นล่ะ!”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเขาพูดจาไร้สาระไม่หยุดหย่อน ไม่เหลือความเยือกเย็นและรอบคอบเ
เฟิ่งชูอิ่ง “......”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”สถานการณ์แบบนี้ต้องใช้คำไหนมาบรรยายดีล่ะ?มันเหมือนตอนที่นางแอบนินทาใครสักคน แล้วเจ้าของหัวข้อสนทนาก็จับได้แบบคาหนังคาเขา....ถึงนางจะเป็นคนที่ถูกจับได้ แต่เมื่อครู่นี้นางก็พูดจามีสาระไปไม่น้อยเลยนะนางกระแอมไอแล้วกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ฉินจ๋างสื่อดื่มสุราจนเมาแล้ว รบกวนท่านอ๋องสั่งคนพาเขากลับไปพักด้วยเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยคลี่ยิ้มมุมปาก เมื่อรวมกับสายตาของเขาแล้ว มันก็ดูมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูกเขาเดินเข้ามาหาเฟิ่งชูอิ่งอย่างช้าๆ “ข้าเหมือนปลายหอกเงินแต่จริงแล้วเป็นเพียงลำเทียน ดูงดงามแต่ใช้การไม่ได้?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางคิดว่าเขาอาจจะเป็นภูตผีปีศาจจริงๆ ก็ได้ เพราะชอบมาปรากฏตัวในที่ที่นางคิดไม่ถึงทุกทีเลยอีกอย่างคำพูดที่นางเอ่ยออกมาไปแล้ว ไม่มีทางเก็บกลับมาได้ด้วยในเวลาแบบนี้ ต่อให้นางจะมีความผิดติดตัวจนกระวนกระวายขนาดไหน ก็ต้องทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนางเอ่ยตอบสีหน้าเรียบเฉย “ท่านอ๋องได้ยินผิดแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้พูดถึงท่านอ๋อง ข้าว่าฉินจ๋างสื่อต่างหาก“เขาเป็นผู้ชายอกสามศอก แต่กลับดื่มสุราจนเมามายไม่ได้สติ จะไม่ให้เร
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท