นางแผดเสียงร้องมาแต่ไกล “ท่านแม่ ช่วยด้วย! ผีหลอก!”วันนี้นางถูกเฉี่ยวหลิงหลอกจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้จะเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่นางกลับรู้สึกว่าน่ากลัวกว่าครั้งแรกอีกแผนการและกลอุบายของนางถูกความหวาดกลัวลบหายไปหมดสิ้น เวลานี้นางแทบไม่คิดถึงมันแล้วนางรีบร้อนวิ่งเข้ามา จนกระทั่งไม่สังเกตเห็นเฟิ่งชูอิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยซ้ำเฟิ่งชูอิ่งเห็นสภาพของนาง พลันคิดว่านางคงไม่จำเป็นจะต้องอยู่ชมละครครอบครัวรักใคร่ปานจะกลืนกินตรงนี้แล้ว จึงหมุนตัวเดินจากไปตอนที่มารดาแซ่เฉินคุมร่างฮว๋าซื่อ หางตานางเหลือบไปเห็นว่าเฟิ่งชูอิ่งจากไปแล้ว นางจึงคิดว่าเล่นละครแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอด้วยเหตุนี้เองนางจึงออกจากร่างฮว๋าซื่อ หลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอยพอนางจากมา ฮว๋าซื่อก็ทิ้งตัวลงไปนอนกองกับพื้นเสียงหวีดแหลมของหลินหว่านถิงปลุกนางให้ได้สติ พอนางลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่เห็นกลับไม่ใช่หลินหว่านถิง แต่เป็นหลินชูเจิ้งไม่ใช่แค่หลินชูเจิ้ง ด้านหลังของเขายังมีอนุภรรยาคนที่นางเกลียดขี้หน้ามากที่สุดด้วยนางเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “นายท่านมาได้อย่างไรหรือ?”หลินชูเจิ้งเอ่ยเสียงเยือกเย็น “หากข้าไม่มา แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้
เฟิ่งชูอิ่ง “......”แม้นางจะเข้าใจตรรกะของเฉี่ยวหลิง แต่นางพูดอะไรไม่ออกจริงๆคืนนี้ เจ้านายของจวนสกุลหลินแต่ละคนล้วนแต่ข่มตาหลับได้อย่างยากลำบากคืนนี้มีแต่เรื่องที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวน บรรยากาศภายในจวนจึงอึมครึมอย่างยิ่งข้ารับใช้ภายในจวนต่างพากันซุบซิบนินทาอย่างบ้าคลั่ง ต่อหน้าเจ้านายพวกเขาไม่กล้าพูดอะไร แต่ลับหลังกลับแอบพูดถึงกันเป็นวงกว้างมีเพียงเฟิ่งชูอิ่งที่กลับมานอนอย่างมีความสุขที่ห้อง เช้าวันที่สองยังตื่นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใสนางเหยียดแขนขับไล่ความเมื่อยขบ จากนั้นจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าอาบน้ำ นางเพิ่งจะจัดการตัวเองเสร็จ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเฉี่ยวหลิงเปิดประตูและพบว่าอีกฝ่ายคืออนุภรรยาของหลินชูเจิ้ง อนุจ้าวนางถาม “อนุจ้าวมีธุระอะไรหรือ?”ปีนี้อนุจ้าวเพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น เป็นอนุภรรยาคนใหม่ที่หลินชูเจิ้งเพิ่งจะรับเข้ามา และเป็นที่โปรดปรานพอสมควร ถึงหลินชูเจิ้งจะไม่ได้ไปนอนค้างที่เรือนของนางทุกคืน แต่ก็ไปบ่อยมากทีเดียวอนุจ้าวมองสำรวจเฉี่ยวหลิงเล็กน้อย ถามว่า “คุณหนูต่างสกุลตื่นหรือยัง?”เฟิ่งชูอิ่งโผล่หัวออกมาจากด้านในแล้วถามว่า “อนุจ้าวมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”อ
“ผู้ชายก็สารเลวเหมือนกันหมด หากโอนอ่อนผ่อนตามมากไป เขาก็จะคิดว่าเจ้าไม่น่าสนใจ บางครั้งก็ต้องต่อต้านเขาบ้าง รับรองว่าได้ผลดีมากเชียวล่ะ”เฟิ่งชูอิ่งคิดไม่ถึงว่าอนุจ้าวจะพูดเรื่องพวกนี้กับนาง จึงแอบประหลาดใจเล็กน้อยอนุจ้าวเห็นสีหน้าของนางจึงกล่าวอย่างขบขัน “เจ้าไม่ต้องมองข้าเช่นนั้นหรอก ที่ข้าพูดเรื่องแบบนี้กับเจ้า แท้จริงแล้วเป็นการทำเพื่อตัวข้าเองนี่แหละ“ฮว๋าซื่อนางโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก ข้าอยู่ใต้อำนาจของนางก็ใช้ว่าจะใช้ชีวิตสุขสบาย“คนที่ไม่ชอบขี้หน้านางทั้งหมด สำหรับข้าถือว่าเป็นคนดีที่น่าคบหาทั้งสิ้น”เฟิ่งชูอิ่งคลี่ยิ้มออกมา “อนุจ้าวเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ”อนุจ้าวถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้าไม่ได้สุดยอดอะไรหรอก ข้าก็แค่ต้องหาทางเอาตัวรอดให้ตัวเอง“ในภายภาคหน้าหากเจ้าต้องการเล่นงานฮว๋าซื่อ มีอะไรที่ข้าช่วยเหลือได้ก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”เฟิ่งชูอิ่งเม้มริมฝีปากแล้วตอบว่า “ได้”หลังจากอนุจ้าวระบายความในใจจนหมดแล้วก็ไม่รั้งอยู่ต่อ นางผินหน้าเดินจากไปทันที เฟิ่งชูอิ่งทราบว่าเดิมทีอนุจ้าวเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง หลังจากตระกูลได้รับโทษจึงถูกปลดเป็นข้าทาสบริวารหลังจากนั้นก็มีคนออกมาล้า
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นจิ่งสือเยี่ยนสาเหตุที่เฟิ่งชูอิ่งประหลาดใจขนาดนี้ เพราะว่าเขาในตอนนี้ใบหน้ามีสีน้ำมันแต่งแต้ม สวมเสื้อกั๊กถักจากฟาง เผยช่วงแผงอกแกร่งที่มีกล้ามแน่นๆเขามัดผมรวบสูงเป็นช่อ แล้วยังเสียบขนไก่ป่าเอาไว้อีกสองสามเส้น ท่าทางโดยรวมดูแล้วเหมือนคนบ้านป่าอยู่ไม่น้อยเขาที่เป็นอย่างนี้หากเทียบกับตอนที่เจอในพระราชวังครั้งก่อนแล้ว กลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม แล้วยังดูดิบเถื่อนขึ้นเล็กน้อยด้วยเขาส่งยิ้มบางๆ ให้นาง แล้วยังอวดเขี้ยวทั้งสองข้างให้เห็นอีกเดิมทีเขาก็เป็นพระเอกในนิยายอยู่แล้ว รูปร่างหน้าตาจึงดีแบบไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดเพียงแต่ลักษณะนิสัยของเขาไม่ค่อยจะคล้ายคลึงกับพระเอกขนาดนั้น เขาไม่ได้สูงส่งเย็นชา ไม่ได้เอาแต่ใจ มีเพียงความน่ารักแม้เฟิ่งชูอิ่งจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าแตกต่างจากลักษณะที่บรรยายในนิยายมากไปหน่อย แต่พอเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว นางก็แอบรับไม่ได้อยู่เล็กน้อยนางสะกดความประหลาดใจไว้แล้วเอ่ยถาม “จิ้นอ๋องทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะเพคะ?”จิ่งสือเยี่ยนตอบว่า “อ้อ ใกล้จะถึงงานเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว วันนี้สำนักศึกษาหลวงมีซ้อมการแสดงในพิธีน่ะ หลังจากเสร็จแล
กิจการไปได้สวยขนาดนี้ ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะขาดทุนเหมือนที่จดบัญชีเอาไว้เลยมองปราดเดียว เฟิ่งชูอิ่งก็รู้แล้วว่าฮว๋าซื่อตั้งใจใช้อำนาจกลั่นแกล้งนางนางกระจ่างแจ้งในใจ ก่อนจะเดินวนรอบๆ ร้านค้า เตรียมจะหาผ้าสักพับเพื่อทำอาภรณ์ พร้อมกับตรวจดูการทำงานของร้านไปด้วยเพียงแต่นางยังไม่ทันจะเอ่ยปาก หลงจู๊ก็เดินหน้าปลาบปลื้มเข้ามาหานาง “คุณหนู ในที่สุดท่านก็มาเสียที”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เจ้ารู้จักข้าหรือ?”หลงจู๊ตอบว่า “ข้าไม่รู้จักท่านหรอก แต่ข้ารู้จักมารดาของท่าน“ท่านหน้าตาเหมือนกับมารดาของท่านมาก มองแวบเดียวข้าก็จำได้แล้ว“ตอนนั้นมารดาของท่านมีบุญคุณต่อข้าอย่างมาก ข้าก็เลยทำงานเป็นหลงจู๊ที่ร้านแห่งนี้ ช่วยดูแลกิจการแทนนาง“ข้าเฝ้ารอให้ท่านมาที่ร้านแห่งนี้มาโดยตลอด แต่ท่านกลับไม่เคยมา“ข้าเคยไปหาท่านที่จวนสกุลหลินด้วย แต่กลับไม่เคยได้พบกับท่านเลย ใจข้ารู้สึกเป็นกังวลอยู่มิน้อย“วันนี้ในที่สุดก็ได้พบท่านเสียที ข้าดีใจจนบอกไม่ถูกเลยขอรับ!”เฟิ่งชูอิ่งมองดวงตาที่เป็นสีแดงระเรื่อของเขา ดูแล้วเหมือนคนที่ซาบซึ้งยินดีอย่างมากนางจึงเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้ายังเด็กนัก ท่านป้
ไม่ต้องพูดถึงคนตระหนี่ถี่เหนียวอย่างฮว๋าซื่อเลย เป็นไปไม่ได้ที่นางจะตรวจไม่เจอการทำบัญชีปลอมนิทานที่หลงจู๊เล่าอาจจะหลอกเด็กสาวที่โง่เขลาและโลภมากได้ แต่มันหลอกนางไม่ได้หรอกตอนนั้นจิ่งสือเยี่ยนอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นนางคงลงมือจัดการหลงจู๊ไปแล้วหลังจากนางออกมาก็ยอมเดินตามหลงจู๊มาอย่างใจเย็น กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่เพราะนางอยากรู้ว่าหลงจู๊คิดจะทำอะไร นางคงกระทืบเขาไปแล้วแม้นางจะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่จะต้องไม่ใช่สถานที่ดีๆ แน่ ดังนั้นนางไม่มีทางเข้าไปหรอกอีกทั้งหลงจู๊ยังกระซิบกระซาบเสียงเบาอีก เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดีว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยนางกำลังคิดว่าจะปล่อยเฉี่ยวหลิงทะลุกำแพงไปสำรวจสถานการณ์อีกฝั่งดีไหม จิ่งสือเยี่ยนก็มาขวางนางไว้ก่อน “ห้ามเข้าไปนะ”เขาโผล่มาแบบกะทันหัน เฟิ่งชูอิ่งจึงตกใจจนสะดุ้งโหยง หากเมื่อครู่นี้เฉี่ยวหลิงเอาหัวทะลุกำแพงเข้าไปสอดส่องอีกฝั่งจริงๆ ล่ะก็ งานนี้ได้แตกตื่นของจริงแน่นางสงบจิตสงบใจแล้วเอ่ยถาม “องค์ชายมาได้อย่างไรเพคะ?”จิ่งสือเยี่ยนตอบว่า “เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินที่เจ้าสนทนากับหลงจู๊แล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ“ข้าเป็นห่วงก็เลยแอบตามมา
แต่ถึงเขาจะร้องโหยหวนสักแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีใครช่วยเขาได้ทั้งนั้นให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวเฟิ่งชูอิ่งกับจิ่งสือเยี่ยนตัดสินใจเดินถอยออกไปทางข้างๆ เพียงแต่พวกเขาเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงวัตถุทะลวงอากาศดังขึ้นมานางตอบสนองอย่างว่องไวด้วยการหมอบลงพื้น ลูกธนูดอกหนึ่งจึงบินเฉียดหัวนางไปจิ่งสือเยี่ยนตอบสนองได้ช้ากว่านางนิดหน่อย แต่ลูกธนูดอกนั้นกลับไม่โดนตัวเขาเฟิ่งชูอิ่งเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ลอบถอนหายใจอีกครั้ง สมแล้วที่เป็นพระเอก ช่างเป็นลูกรักพระเจ้าอย่างแท้จริงนางเริ่มจะตะขิดตะขวงใจ หากไม่มีจิ่งสือเยี่ยนอยู่ตรงนี้ด้วย นางคงบอกให้เฉี่ยวหลิงช่วยแล้วเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย สามารถโจมตีคนแบบไม่ให้รู้ตัวได้ทว่าจิ่งสือเยี่ยนยังอยู่ตรงนี้ด้วย นางจึงไม่กล้าให้เฉี่ยวหลิงเผยตัวลงมือจิ่งสือเยี่ยนกระเถิบมาหานางแล้วถาม “เจ้าไม่เป็นไรนะ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ข้าไม่เป็นไรเพคะ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”ตอนนี้พวกเขาซุ่มหลบอยู่ที่หลังกำแพง ลูกธนูนั่นจึงยิงไม่โดนตัวพวกเขานางกับเฉี่ยวหลิงหันไปสบตากันแวบหนึ่ง นางสั่งให้เฉี่ยวหลิงรอก่อนอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว รอดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากันอีกทีจิ่
พริบตาเดียว กลิ่นคาวเลือดก็ลอยมาปะทะจมูก จนเฟิ่งชูอิ่งเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยฆ่าจิ่งสือเยี่ยนอยู่แล้วเชียวนางแหงนหน้าขึ้นอย่างยากลำบากแล้วหันมองไปทางจิ่งโม่เยี่ยเขายืนหน้าดำทะมึนอยู่ตรงนั้น ในมือถือกระบี่ที่ยังมีเลือดไหลหยดติ๋งๆ ลงมาจากปลายกระบี่อาจจะเป็นเพราะมองจากมุมต่ำ ตัวเขาในยามนี้จึงดูสูงเป็นอย่างมาก ตรงหว่างคิ้วมีความเย็นชาและเบื่อหน่ายผสมผสานกัน เผยให้เห็นถึงความเย็นเยียบและโหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุดเสี้ยวพริบตานั้น เฟิ่งชูอิ่งพลันรู้สึกว่าเขาในยามนี้กำลังเบื่อโลกใบนี้อย่างมากขึ้นมา ราวกับว่าต้องการทำลายโลกทั้งใบจิ่งโม่เยี่ยที่เป็นแบบนี้ทำให้นางหวาดกลัวจับใจ จนคิดอยากจะถอยจากเขาไกลๆ ไกลได้อีกสักนิดก็จะดีในตอนนั้นเอง เสียงของจิ่งสือเยี่ยนก็แทรกขึ้นมา “พี่สาม ท่านมาแล้ว! ฮือฮือ เยี่ยมไปเลย! พวกเรารอดแล้ว!”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเพิ่งจะเห็นว่าเลือดที่สาดลงบนใบหน้าของนางเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ของจิ่งสือเยี่ยน แต่เป็นของมือสังหารชุดดำคนนั้นตอนที่เขามาถึง ทหารองครักษ์ที่ติดตามเขามาด้วยก็จัดการมือสังหารชุดดำพวกนั้นจนเรียบพอเขาเอ่ยเช่นนั้นจบ ก็ตะเกียกตะกายจากพื้นแล้วเดินไป
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท