เมื่อแม่ทัพยมราชเล่าถึงตรงนี้ รองแม่ทัพทั้งสองต่างสบตากันไปมา“เมื่อตัวห่างไกลกันสักพัก ก็รู้สึกอยากจะไปพบเจอ ราวกับว่าคิดถึงจนไม่อยากแยกจาก พวกท่านคิดว่าอาการแบบนี้แปลกประหลาดหรือไม่”รองแม่ทัพอินทร์โพล่งขึ้นอย่างผู้มีประสบการณ์มาก่อนว่า “อาการเช่นนี้หากเกิดกับบุรุษทั่วไปไม่แปลกเลย แต่หากเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพ นับว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง”แม่ทัพยมราชถามต่อ “ทำไมเล่า”รองแม่ทัพอีกคนเฉลยออกมาว่า “ก็เพราะอาการที่ท่านแม่ทัพเอ่ยมานั้น เป็นการอาการของบุรุษที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักน่ะสิ เวลาอยู่ใกล้ ๆ กันหัวใจก็จะเต้นแรงร้อนวูบวาบขึ้นมาทั้งตัว แต่ท่านแม่ทัพวัน ๆ อยู่ในค่ายทหารที่เต็มไปด้วยบุรุษ แล้วท่านแม่ทัพจะตกหลุมรักผู้ใดกันเล่า”เมื่อพูดถึงตรงนี้ รองแม่ทัพทั้งสองก็มองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วลดเสียงลงถามออกมาพร้อมกันว่า“อย่าบอกนะว่า ทะ.. ท่านแม่ทัพชอบพอกับบุรุษ”แม่ทัพยมราชถึงกับหน้าชาวูบ ในหัวอึงอลไปหมด ขึ้นเสียงเข้ม ปั้นสีหน้ากลบเกลื่อนว่า “พวกเจ้าสองคนกล่าววาจาไร้สาระ ข้าหรือจะชอบบุรุษ”เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว รองแม่ทัพทั้งสองจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกรองแม่ทัพจันทร์เอ่ยต่อ “
แม่ทัพยมราชสาวเท้ากลับมาที่เรือนเพื่อสงบสติอารมณ์ ยังไม่ทันจะก้าวขึ้นบันได กล้าก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับเรียกเสียงหลงว่า“ท่านแม่ทัพ แย่แล้วท่านแม่ทัพ”“โวยวายกระไรของเอ็งว่าไอ้กล้า”“คุณท้าวอิ่ม แม่นมขององค์หญิงน่ะสิขอรับ จู่ ๆ ก็นำกองกำลังทหารรักษาวังมาที่ค่ายทหารของเรา แล้วบอกว่าจะมารับตัวองค์หญิงกลับวัง”กล้ายังเอ่ยไม่ทันจบท้าวอิ่มทรงเครื่องนางกำนัลหลวงเต็มยศก็เดินนำกองทหาร พร้อมกับคนแบกเสลี่ยงเข้ามาจนถึงเรือน“มานั่นแล้วขอรับ ข้าบอกพวกเขาไปแล้วว่าที่นี่ไม่มีองค์หญิง พวกเขาก็ไม่ยอมเชื่อขอรับ แล้วยังกล้าบุกเข้ามาถึงค่ายทหารส่วนใน”กล้ารีบถอยหลบข้างหลังท่านแม่ทัพยมราชด้วยความตื่นตระหนกแม่ทัพยมราชยืนรอรับอย่างองอาจ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นตามลำดับ หัวใจของเขายามนี้ เหตุใดจึงรู้ใจหายอย่างบอกไม่ถูก“ท่านแม่ทัพ ข้ามารับองค์หญิงเก็จมณีกลับวัง”คุณท้าวอิ่มเอ่ยขึ้นก่อนแม่ทัพยมราชเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “คุณท้าวอิ่มคงจะมาผิดที่แล้วกระมัง ข้าไม่พบหรือได้ยินว่าองค์หญิงเสด็จมาประทับที่นี่ อีกทั้งในค่ายทหารแห่งนี้มีเพียงบุรุษเท่านั้น”“ที่นี่ไม่ผิดแน่ ทหารองครักษ์ที่ข้าให้ไปสืบหาร่องรอยขององค์หญิงรายงานว
จนกระทั่งร่างสูงงามสง่าในชุดแม่ทัพเต็มยศที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เดินเข้ามาโค้งคำนับถวายความเคารพเจ้าหลวง องค์ชายรัชทายาท และองค์หญิงเก็จมณีเมื่อเขานั่งลงร่วมโต๊ะเสวยดวงตาของคนทั้งสองก็บังเอิญสบตากัน แล้วประสานกันเนิ่นนาน ก่อนที่เจ้าหลวงจะตรัสขึ้นด้วยเสียงยินดีปรีดาว่า“ท่านแม่ทัพผู้เก่งกาจของเรามาแล้ว เช่นนั้นทุกคนก็เริ่มเปิดงานกันเถอะ” แม่ทัพยมราชโค้งศีรษะรับอย่างสุภาพอยู่ในทีและพยายามบังคับตนเองไม่ให้มองไปยังองค์หญิง แม้ว่าในใจจะคิดถึงนางมากก็ตามในระหว่างที่ขุนนางคนอื่นกำลังเสวนากับเจ้าหลวงนั้น องค์หญิงเก็จมณีก็คอยชำเลืองมองแม่ทัพยมราชด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบที่เขาทำเหมือนไร้เยื่อใยที่มีต่อกัน และเมื่อเขาบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาสบตานางอีกครั้ง นางจึงเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ทัพสบายดีหรือ”“สบายดีพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา สิ่งที่เขาตอบนางนั้น ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย นับตั้งแต่ที่นางจากเขาไป อาการปวดหัวของเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ราวกับว่านางคือยาวิเศษของเขา หากไร้นางข้างกาย ชีวิตเขาคงจะเจ็บปวดทรมานไปตลอดทั้งชาติองค์หญิงเก็จมณีกำลังจะเอ่ยปากถามต่อ แต่พระ
เสียงของนางเต็มไปด้วยความเศร้าระคนน้อยใจ“ถึงไม่ได้ยิน แต่ก็อยู่ในสายนับสิบคู่ และถึงไม่มีใครรู้เห็นฟ้าดินก็เป็นพยานได้”เขายังคงเอ่ยอย่างไร้เยื่อใย แต่กลับไม่กล้าสบตาองค์หญิง เพราะกลัวว่าตนจะใจอ่อน และตัดใจจากนางไม่ได้องค์หญิงเก็จมณียิ้มอย่างขมขื่น “หากฟ้าดินล่วงรู้จริง งั้นก็ควรรู้ว่าข้าไม่ได้อยากอภิเษกกับองค์ชายแคว้นอลงกรณ์ คนที่ข้าอยากร่วมชีวิตด้วย คือ ท่าน... แม่ทัพยมราช”ถ้อยคำนั้นทำเอาแม่ทัพยมราชสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ หากนางไม่ใช่องค์หญิง เขาคงจะรีบคว้านางเข้ามากอด แล้วตะโกนให้ได้ยินกันทั่วทั้งแผ่นดินว่า ข้าเองก็รักเจ้าเช่นกัน แต่มนุษย์มิอาจฝืนโชคชะตาฟ้ากำหนด เมื่อนางเป็นองค์หญิงเขาจึงจำต้องตัดไมตรี“พระองค์กำลังจะเป็นพระชายาของแคว้นอลงกรณ์....”“ข้าไม่เป็นไปแคว้นอลงกรณ์ ในระหว่างเดินทางพวกเราสามารถหลบหนีไปอยู่ด้วยกันได้”องค์หญิงเก็จมณีเผลอก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขามากขึ้นแม่ทัพยมราชรีบถอยห่างออก แล้วรีบหันหลังให้นางอย่างไร้เยื่อใย“ท่านเป็นองค์หญิงของราษฎร ข้าเป็นแม่ทัพผู้ภักดี โปรดอย่าเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้อีก”นางมองแผ่นหลังเขา แววตาสั่นระริกอย่างเจ็บปวด “ท่านไม่เคยรักข้าบ้างสักนิดห
นางเอ่ยเสียงกระเส่าอย่างขัด ๆ เขิน ๆ ด้วยความไร้เดียงสากับเรื่องแบบนี้แม่ทัพหนุ่มนำพามือนางเร่งรูดสาวลำอาวุธของตนถี่ยิบมากขึ้น ในขณะที่ดวงตาก็ชื่นชมโลมเลียยอดปทุมถันของนาง“งื้อออออ ทะ ท่านแม่ทัพ” องค์หญิงเก็จมณีครางเสียงกระเส่า เมื่อถูกแม่ทัพหนุ่มขบเน้นแน่นปลายปทุมถัน กลิ่นหอมเนื้อนางที่เขาถวิลหาทุกค่ำคืนยั่วยวนจนเขาไม่อาจหักห้ามใจได้ภายในห้องไร้ซึ่งแสงเทียน คนบนแท่นบรรทมนอนนิ่งเงียบสนิท แต่ใต้ม่านข้างหน้าต่างกำลังเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงร่างสวยขององค์หญิงถูกแม่ทัพหนุ่มรุกล้ำด้วยฝ่ามือใหญ่ เขาลูบไล้ไปตามรอยแยกเนินสวรรค์แสนงาม ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาสัมผัสถูกผิวยามเมื่อเขาจูบไล้เลียไปทั่วทั้งร่าง ทำเอานางสั่นสะท้านเฮือกหลายครั้ง“อะ งื้อ อา”องค์หญิงเก็จมณีร้องครางกระเส่าหนักขึ้น เมื่อปลายนิ้วของแม่ทัพหนุ่มถูไถชำแรกไปตามกลีบเนื้อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลาย ๆ ครั้ง“อึก อือ”แม่ทัพหนุ่มประกบปากบดจูบกลืนกินเสียงครางแว่วหวานเอาไว้อย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นเกี่ยวกวัดพัวพันกันเป็นพัลวันด้วยความโหยหาจากส่วนลึกจากนั้นเขาก็ถอนจูบออก แล้วพรมจูบลงมาจนถึงหว่างขานาง แล้วฝังใบหน้าหล่อเหลาลงไปดอม
ไม่นานนักเขาพลิกร่างกลับเปลี่ยนให้องค์หญิงเก็จมณีเป็นฝ่ายขึ้นนั่งคร่อมแล้วโยกบด“ขย่มลงมาเหมือนควบม้า.... ขะ ขย่มแรง ๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”เขาสอนนางองค์หญิงเก็จมณีจึงทำตามที่เขาบอกโขยงตัวขึ้นรูดแก่นลำเขา แล้วกดสะโพกลงแรง ๆ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มเสียวเกร็งทั้งตัวด้วยความเสียวสะท้านช่องของนางขมิบตอดแท่งอาวุธของแม่ทัพหนุ่มถี่ยิบมากขึ้นตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆแม่ทัพหนุ่มเด้งสะโพกสวนลำอาวุธสู้เนินเนื้อสาวที่ขย่มลงมาอย่างไม่ถอย พร้อมกับใช้สองมือบีบเคล้นสองเต้านมไปด้วย จากนั้นก็จับนางพลิกลงในท่าหมอบคลานองค์หญิงเก็จมณีก้มหน้าหมอบโก้งโค้งให้แม่ทัพหนุ่ม แล้วเขาก็กระแทกอาวุธเข้าพรวดเดียวสุดลำตับบบบบบบบบบบบบบ“อ๊า !”องค์หญิงเก็จมณีร้องลั่น อาวุธแท่งใหญ่ทะลวงเข้าไปจนชนเข้ากับปากมดลูกแม่ทัพหนุ่มจับที่สะโพกกลึมกลึงของนางแน่นแล้วบีบเคล้นหนักหน่วงในขณะที่บดสะโพกคว้านแท่งอาวุธไปซ้ายขวาภายในกายนาง“งื้อออ อา ทะ... ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่ไหวแล้ว อะ อา”องค์หญิงเก็จมณีครางเว้าวอน ในขณะที่แม่ทัพโน้มกายลงเอื้อมมือผ่านลำแขนของนางเข้าไปบีบเคล้นเต้านมนาง ทำให้ยิ่งเสียวหวิววาบขึ้นมา รูสาวยิ่งขมิบตอดรัดแท่งอาวุธของแม่ทัพ
สิ้นคำ แม่ทัพยมราชก็กระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างอย่างไร้ร่องรอย เป็นจังหวะเดียวกันกับเหล่าทหารนับสิบคนกรูกันเข้ามาในห้องหอ“ไอ้พวกสวะ มันหนีไปโน้นแล้ว !” องค์ชายอดามีตะคอกใส่เหล่าทหาร พร้อมกับชี้มือไปยังหน้าต่าง “รีบตามไปจับมันมาสิ !”ทหารทั้งหมดจึงรีบวิ่งตามคนร้ายออกไปจากห้อง องค์ชายอดามีจึงหันกลับมาเล่นงานองค์หญิงเก็จมณีเพี๊ยะ !"โอ๊ย!"แรงตบทำให้นางล้มไปกับพื้น ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด"เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ ไม่คิดว่าจะจิตใจชั่วช้าเป็น สตรีแพศยา ไร้ยางอาย กล้าเรียกชู้ขึ้นมาบำเรอถึงในตำหนัก"องค์ชายอดามีตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงก่ำราวกับปีศาจกระหายเลือด“หม่อมฉันไม่ได้ต้องการอภิเษกกับท่าน เราทั้งสองต่างไม่มีความรักต่อกัน ขอพระองค์ได้โปรดหย่ากับหม่อมฉันเถิดเพคะ”นางพยายามอ้อนวอนเขา หวังว่าเขาจะเข้าใจถึงเหตุผล“หย่าเหรอ...”องค์ชายอดามีตาลุกโรจน์ด้วยความโกรธ เขาเอื้อมมือเข้าไปขยุ้มกำผมของนางแล้วกระชากให้ใบหน้านางแหงนมองหน้าเขา“โอ๊ย !” นางร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด “หม่อมฉันเจ็บเพคะ”“ข้าอุตส่าห์วางแผนเพื่อให้ได้แต่งงานกับเจ้า มีหรือข้าจะยอมหย่ากับเจ้าง่าย ๆ”เขาไม่
“ท่านแม่ทัพ !”เหล่าทหารสีหน้าราวกับจะร้องไห้ แม่ทัพที่ทั้งเก่งทั้งมีเมตตาต่อลูกน้องหายากยิ่ง ร้อยปีจะมีสักคน ช่างน่าเสียดายนัก“พวกเราจะไม่ทิ้งท่าน”ทหารนายหนึ่งประกาศขึ้น อีกหลายคนก็ร้องขึ้นต่อ ๆ กันว่า“เราจะช่วยท่านแม่ทัพชิงองค์หญิงคืน”“เราจะร่วมเป็นร่วมตายกับท่านแม่ทัพ”ทำเอาแม่ทัพยมราชถึงกับน้ำตาคลอขึ้นมา“น้ำใจของเหล่าพี่น้องทุกคนข้าขอรับไว้ แต่พวกท่านอย่าลืมว่า พ่อแม่ลูกเมียของพวกท่านยังคอยอยู่ที่กรุงศากยะบุรี อย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เลย”ทหารนายหนึ่งก้าวขึ้นมา “หากแม่ทัพเอ่ยเช่นนั้น ข้าก็ไปได้ เพราะข้าไร้ญาติขาดมิตร ชีวิตของข้าท่านเป็นคนชุบขึ้นมา ข้ายินดีช่วยท่านจนตัวตาย”แม่ทัพยมราชมองหน้านายทหารผู้นั้นชัด ๆ ก็จำได้ว่า คนผู้นั้นเคยป่วยเป็นโรคเรื้อนถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน บังเอิญเขาไปพบเข้าจวนเจียนจะสิ้นลมที่กลางป่าจึงนำกลับมารักษาที่ค่ายทหาร“ได้ ขอบใจเจ้ามาก”จากนั้น ทหารแต่ละคนที่ไม่มีใครให้อาวรณ์ก็เสนอตัวเข้าร่วมกองทัพชิงตัวองค์หญิงเก็จมณี“ข้าด้วย !”“ข้าอีกคน”..............ตะวันแผดแสงแรงกล้า เงากำแพงเมืองสีดำทอดตัวลงเบื้องล่าง หน้าประตูนอกเมืองนั้นทหารสองกองทัพ
กากีอ่อนระทวยเคลิบเคลิ้มราวกับอยู่ในภวังค์ เมื่อถูกเขาบดจูบอย่างร้อนแรง อารมณ์ปรารถนาซึ่งกันและกันปั่นป่วนอย่างรุนแรง“หืม”ยมบาลค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นละเอียดจูบอย่างนุ่มนวล เมื่อนางตวัดสองแขนโอบรอบคอเขา แล้วเบียดร่างนุ่มนิ่มแนบชิดเสียดสีที่หว่างขาซึ่งท่อนหอกลำใหญ่ของเขากำลังพองผงาดแรงเสียดสีนั้นทำให้เขารู้สึกซาบซ่านแปลบปลาบเหมือนมีกระไฟฟ้าแล่นพล่านไปทั่วทั้งกายเขาจึงอุ้มนางจนตัวลอยพ้นพื้นใช้มือลูบไล้แผ่นหลัง แล้วใช้มืออีกข้างรัดสะโพกนางให้เนินเนื้อที่หว่างขาแนบชิดท่อนหอกของเขามากขึ้น“อื้อ..อึก”กากีรู้สึกได้ถึงท่อนหอกลำใหญ่ เมื่อครั้งอดีตมันเคยทำให้นางซาบซ่านตราตรึงใจ จึงส่ายสะโพกขยับเนินเนื้อของตนแนบยิ่งขึ้น“ท่านยม... ข้ารักท่าน” นางกระซิบบอกรักเสียงพร่าสั่นวาบหวาม มือแทรกเข้าไปในผมดกดำด้วยความถวิลหาอย่างรุนแรงคำนั้นของนางทำเอาร่างยมบาลสั่นสะเทือนด้วยความพิศวาส เขาจึงอุ้มนางพาไปที่แท่นบัลลังก์ วางนางลงแล้วปลดเปลื้องอาภรณ์นางกากีเองก็ดึงอาภรณ์ของท่านยมบาลออกอย่างรวดเร็วเมื่อทั้งคู่ขจัดอาภรณ์ที่ออกไปให้หมดแล้ว ยมบาลก็มองนางด้วยสายตาวาบหวามร้อนระอุ จากนั้น เขาก็ทาบเรือนกายบดเบียดแน
ยมทูตขวามองสมุดบันทึกการจดใช้กรรมอย่างเคร่งเครียด “อีกเจ็ดวันนางกากีก็จะชดใช้กรรมหมดแล้ว เราจะต้องรายงานให้ท่านยมบาลทราบ เพื่อส่งนางกลับขึ้นสวรรค์”ยมทูตซ้ายเอ่ยเสียงเศร้า “ช่วงเวลาแห่งความสุขของท่านยมบาลจะสิ้นสุดลงแล้วสินะ ช่างน่าสงสารท่านยมบาลจริง ๆ”ยมทูตขวาถอนหายใจออกมา “ชะตากรรมกำหนดให้โดดเดี่ยวใต้พสุธา อย่างไรก็หลีกหนีไม่พ้น”“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา ท่านยมบาลรักนางมากแค่ไหน พวกเราต่างก็เห็น หากนางกากีจากไป ท่านยมของเราไม่ใช่แค่โดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่จะทุกข์ทรมานเจ็บร้าวเจียนตาย”“นางกากีจะอยู่ที่นรกไม่ได้ เดิมทีนางก็เป็นเทพธิดาอยู่บนสรวงสวรรค์ อย่างไรเสียเมื่อนางชดใช้กรรมหมดแล้ว องค์อินทร์ก็ต้องมีบัญชาเรียกนางให้กลับไปแน่นอน”“ท่านยมบาลของเราช่างน่าสงสารนัก หากเป็นไปได้ข้าอยากให้ท่านยมไร้ใจไร้ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนจะดีเสียกว่า จะได้ไม่เจ็บปวดทรมานเช่นนี้”“เอาน่า... อย่างน้อย ในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมานี้ ท่านยมก็มีความสุขไม่น้อย”นางกากีได้ฟังเช่นนั้น ในหัวอึงอลไปหมด แม้ยมทูตสองตนจะเดินจากไปนานแล้ว แต่นางก็ยังคงยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจช่วงเวลาแห่งความสุขช่างผ่าน
คำสาปแช่งนั้นทำให้นางกากีหวนคืนสู่นรกอีกครั้ง ครั้งนี้นางมีความทรงจำของชาติภพที่เพิ่งจากมานางเดินตามยมทูตสองตนมาจนถึงประตูทางเข้านรก แลเห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่สง่าโดดเด่น ดวงตาคมดุนั้นกำลังมองจ้องนางเช่นกัน“องค์หญิง.....”เสียงเรียกนั้น ทำให้หัวใจของกากีชุ่มฉ่ำ นางรีบวิ่งโผเข้าสู่อ้อมกอดเขา“ท่านแม่ทัพ....”ยมบาลกอดนางไว้แน่น ความรักในโลกมนุษย์ไม่สมหวัง เมื่อล่วงลับดับขันธ์ลงมา แรงแห่งปรารถนานั้นผูกจิตให้คะนึงหานางไม่เสื่อมคลายยมทูตซ้ายขวามองหน้ากันไปมา ตามกฎนรกแล้วพวกเขาจะต้องนำวิญญาณกากีเข้าสู่แดนนรกตามกำหนดเวลาเพื่อลงทัณฑ์ตามกรรมที่ก่อไว้ยมทูตซ้ายกระซิบเพื่อน “ท่านยมบาลคงยังตัดใจจากนางไม่ได้”ยมทูตขวากระซิบตอบ “น่าเห็นใจท่านยมบาลนะ จะมีความรักเหมือนมนุษย์กับเขาสักหน แต่กลับมีอุปสรรคมากมาย”ยมทูตซ้ายเอ่ยเสียงเศร้า “นั่นสิ มิหนำซ้ำ ท่านยมบาลเองก็มิอาจเลี่ยงชะตาชีวิตของตนได้ ดวงเกิดของท่านเป็นเทพเจ้าสงคราม ชะตาลิขิตให้ต้องฆ่าทำลายชีวิตผู้คน แล้วต้องกลับมาชดใช้กรรมทำหน้าที่เป็นยมบาลอยู่ใต้พิภพนับหมื่นนับแสนกัปแสนกัลป์”ยมทูตขวาเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่าง จึงดึงเพื่อนยมทูตถอยห่างออกมา
“ท่านแม่ทัพ !”เหล่าทหารสีหน้าราวกับจะร้องไห้ แม่ทัพที่ทั้งเก่งทั้งมีเมตตาต่อลูกน้องหายากยิ่ง ร้อยปีจะมีสักคน ช่างน่าเสียดายนัก“พวกเราจะไม่ทิ้งท่าน”ทหารนายหนึ่งประกาศขึ้น อีกหลายคนก็ร้องขึ้นต่อ ๆ กันว่า“เราจะช่วยท่านแม่ทัพชิงองค์หญิงคืน”“เราจะร่วมเป็นร่วมตายกับท่านแม่ทัพ”ทำเอาแม่ทัพยมราชถึงกับน้ำตาคลอขึ้นมา“น้ำใจของเหล่าพี่น้องทุกคนข้าขอรับไว้ แต่พวกท่านอย่าลืมว่า พ่อแม่ลูกเมียของพวกท่านยังคอยอยู่ที่กรุงศากยะบุรี อย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เลย”ทหารนายหนึ่งก้าวขึ้นมา “หากแม่ทัพเอ่ยเช่นนั้น ข้าก็ไปได้ เพราะข้าไร้ญาติขาดมิตร ชีวิตของข้าท่านเป็นคนชุบขึ้นมา ข้ายินดีช่วยท่านจนตัวตาย”แม่ทัพยมราชมองหน้านายทหารผู้นั้นชัด ๆ ก็จำได้ว่า คนผู้นั้นเคยป่วยเป็นโรคเรื้อนถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน บังเอิญเขาไปพบเข้าจวนเจียนจะสิ้นลมที่กลางป่าจึงนำกลับมารักษาที่ค่ายทหาร“ได้ ขอบใจเจ้ามาก”จากนั้น ทหารแต่ละคนที่ไม่มีใครให้อาวรณ์ก็เสนอตัวเข้าร่วมกองทัพชิงตัวองค์หญิงเก็จมณี“ข้าด้วย !”“ข้าอีกคน”..............ตะวันแผดแสงแรงกล้า เงากำแพงเมืองสีดำทอดตัวลงเบื้องล่าง หน้าประตูนอกเมืองนั้นทหารสองกองทัพ
สิ้นคำ แม่ทัพยมราชก็กระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างอย่างไร้ร่องรอย เป็นจังหวะเดียวกันกับเหล่าทหารนับสิบคนกรูกันเข้ามาในห้องหอ“ไอ้พวกสวะ มันหนีไปโน้นแล้ว !” องค์ชายอดามีตะคอกใส่เหล่าทหาร พร้อมกับชี้มือไปยังหน้าต่าง “รีบตามไปจับมันมาสิ !”ทหารทั้งหมดจึงรีบวิ่งตามคนร้ายออกไปจากห้อง องค์ชายอดามีจึงหันกลับมาเล่นงานองค์หญิงเก็จมณีเพี๊ยะ !"โอ๊ย!"แรงตบทำให้นางล้มไปกับพื้น ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด"เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ ไม่คิดว่าจะจิตใจชั่วช้าเป็น สตรีแพศยา ไร้ยางอาย กล้าเรียกชู้ขึ้นมาบำเรอถึงในตำหนัก"องค์ชายอดามีตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงก่ำราวกับปีศาจกระหายเลือด“หม่อมฉันไม่ได้ต้องการอภิเษกกับท่าน เราทั้งสองต่างไม่มีความรักต่อกัน ขอพระองค์ได้โปรดหย่ากับหม่อมฉันเถิดเพคะ”นางพยายามอ้อนวอนเขา หวังว่าเขาจะเข้าใจถึงเหตุผล“หย่าเหรอ...”องค์ชายอดามีตาลุกโรจน์ด้วยความโกรธ เขาเอื้อมมือเข้าไปขยุ้มกำผมของนางแล้วกระชากให้ใบหน้านางแหงนมองหน้าเขา“โอ๊ย !” นางร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด “หม่อมฉันเจ็บเพคะ”“ข้าอุตส่าห์วางแผนเพื่อให้ได้แต่งงานกับเจ้า มีหรือข้าจะยอมหย่ากับเจ้าง่าย ๆ”เขาไม่
ไม่นานนักเขาพลิกร่างกลับเปลี่ยนให้องค์หญิงเก็จมณีเป็นฝ่ายขึ้นนั่งคร่อมแล้วโยกบด“ขย่มลงมาเหมือนควบม้า.... ขะ ขย่มแรง ๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”เขาสอนนางองค์หญิงเก็จมณีจึงทำตามที่เขาบอกโขยงตัวขึ้นรูดแก่นลำเขา แล้วกดสะโพกลงแรง ๆ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มเสียวเกร็งทั้งตัวด้วยความเสียวสะท้านช่องของนางขมิบตอดแท่งอาวุธของแม่ทัพหนุ่มถี่ยิบมากขึ้นตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆแม่ทัพหนุ่มเด้งสะโพกสวนลำอาวุธสู้เนินเนื้อสาวที่ขย่มลงมาอย่างไม่ถอย พร้อมกับใช้สองมือบีบเคล้นสองเต้านมไปด้วย จากนั้นก็จับนางพลิกลงในท่าหมอบคลานองค์หญิงเก็จมณีก้มหน้าหมอบโก้งโค้งให้แม่ทัพหนุ่ม แล้วเขาก็กระแทกอาวุธเข้าพรวดเดียวสุดลำตับบบบบบบบบบบบบบ“อ๊า !”องค์หญิงเก็จมณีร้องลั่น อาวุธแท่งใหญ่ทะลวงเข้าไปจนชนเข้ากับปากมดลูกแม่ทัพหนุ่มจับที่สะโพกกลึมกลึงของนางแน่นแล้วบีบเคล้นหนักหน่วงในขณะที่บดสะโพกคว้านแท่งอาวุธไปซ้ายขวาภายในกายนาง“งื้อออ อา ทะ... ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่ไหวแล้ว อะ อา”องค์หญิงเก็จมณีครางเว้าวอน ในขณะที่แม่ทัพโน้มกายลงเอื้อมมือผ่านลำแขนของนางเข้าไปบีบเคล้นเต้านมนาง ทำให้ยิ่งเสียวหวิววาบขึ้นมา รูสาวยิ่งขมิบตอดรัดแท่งอาวุธของแม่ทัพ
นางเอ่ยเสียงกระเส่าอย่างขัด ๆ เขิน ๆ ด้วยความไร้เดียงสากับเรื่องแบบนี้แม่ทัพหนุ่มนำพามือนางเร่งรูดสาวลำอาวุธของตนถี่ยิบมากขึ้น ในขณะที่ดวงตาก็ชื่นชมโลมเลียยอดปทุมถันของนาง“งื้อออออ ทะ ท่านแม่ทัพ” องค์หญิงเก็จมณีครางเสียงกระเส่า เมื่อถูกแม่ทัพหนุ่มขบเน้นแน่นปลายปทุมถัน กลิ่นหอมเนื้อนางที่เขาถวิลหาทุกค่ำคืนยั่วยวนจนเขาไม่อาจหักห้ามใจได้ภายในห้องไร้ซึ่งแสงเทียน คนบนแท่นบรรทมนอนนิ่งเงียบสนิท แต่ใต้ม่านข้างหน้าต่างกำลังเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงร่างสวยขององค์หญิงถูกแม่ทัพหนุ่มรุกล้ำด้วยฝ่ามือใหญ่ เขาลูบไล้ไปตามรอยแยกเนินสวรรค์แสนงาม ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาสัมผัสถูกผิวยามเมื่อเขาจูบไล้เลียไปทั่วทั้งร่าง ทำเอานางสั่นสะท้านเฮือกหลายครั้ง“อะ งื้อ อา”องค์หญิงเก็จมณีร้องครางกระเส่าหนักขึ้น เมื่อปลายนิ้วของแม่ทัพหนุ่มถูไถชำแรกไปตามกลีบเนื้อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลาย ๆ ครั้ง“อึก อือ”แม่ทัพหนุ่มประกบปากบดจูบกลืนกินเสียงครางแว่วหวานเอาไว้อย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นเกี่ยวกวัดพัวพันกันเป็นพัลวันด้วยความโหยหาจากส่วนลึกจากนั้นเขาก็ถอนจูบออก แล้วพรมจูบลงมาจนถึงหว่างขานาง แล้วฝังใบหน้าหล่อเหลาลงไปดอม
เสียงของนางเต็มไปด้วยความเศร้าระคนน้อยใจ“ถึงไม่ได้ยิน แต่ก็อยู่ในสายนับสิบคู่ และถึงไม่มีใครรู้เห็นฟ้าดินก็เป็นพยานได้”เขายังคงเอ่ยอย่างไร้เยื่อใย แต่กลับไม่กล้าสบตาองค์หญิง เพราะกลัวว่าตนจะใจอ่อน และตัดใจจากนางไม่ได้องค์หญิงเก็จมณียิ้มอย่างขมขื่น “หากฟ้าดินล่วงรู้จริง งั้นก็ควรรู้ว่าข้าไม่ได้อยากอภิเษกกับองค์ชายแคว้นอลงกรณ์ คนที่ข้าอยากร่วมชีวิตด้วย คือ ท่าน... แม่ทัพยมราช”ถ้อยคำนั้นทำเอาแม่ทัพยมราชสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ หากนางไม่ใช่องค์หญิง เขาคงจะรีบคว้านางเข้ามากอด แล้วตะโกนให้ได้ยินกันทั่วทั้งแผ่นดินว่า ข้าเองก็รักเจ้าเช่นกัน แต่มนุษย์มิอาจฝืนโชคชะตาฟ้ากำหนด เมื่อนางเป็นองค์หญิงเขาจึงจำต้องตัดไมตรี“พระองค์กำลังจะเป็นพระชายาของแคว้นอลงกรณ์....”“ข้าไม่เป็นไปแคว้นอลงกรณ์ ในระหว่างเดินทางพวกเราสามารถหลบหนีไปอยู่ด้วยกันได้”องค์หญิงเก็จมณีเผลอก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขามากขึ้นแม่ทัพยมราชรีบถอยห่างออก แล้วรีบหันหลังให้นางอย่างไร้เยื่อใย“ท่านเป็นองค์หญิงของราษฎร ข้าเป็นแม่ทัพผู้ภักดี โปรดอย่าเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้อีก”นางมองแผ่นหลังเขา แววตาสั่นระริกอย่างเจ็บปวด “ท่านไม่เคยรักข้าบ้างสักนิดห
จนกระทั่งร่างสูงงามสง่าในชุดแม่ทัพเต็มยศที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เดินเข้ามาโค้งคำนับถวายความเคารพเจ้าหลวง องค์ชายรัชทายาท และองค์หญิงเก็จมณีเมื่อเขานั่งลงร่วมโต๊ะเสวยดวงตาของคนทั้งสองก็บังเอิญสบตากัน แล้วประสานกันเนิ่นนาน ก่อนที่เจ้าหลวงจะตรัสขึ้นด้วยเสียงยินดีปรีดาว่า“ท่านแม่ทัพผู้เก่งกาจของเรามาแล้ว เช่นนั้นทุกคนก็เริ่มเปิดงานกันเถอะ” แม่ทัพยมราชโค้งศีรษะรับอย่างสุภาพอยู่ในทีและพยายามบังคับตนเองไม่ให้มองไปยังองค์หญิง แม้ว่าในใจจะคิดถึงนางมากก็ตามในระหว่างที่ขุนนางคนอื่นกำลังเสวนากับเจ้าหลวงนั้น องค์หญิงเก็จมณีก็คอยชำเลืองมองแม่ทัพยมราชด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบที่เขาทำเหมือนไร้เยื่อใยที่มีต่อกัน และเมื่อเขาบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาสบตานางอีกครั้ง นางจึงเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ทัพสบายดีหรือ”“สบายดีพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา สิ่งที่เขาตอบนางนั้น ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย นับตั้งแต่ที่นางจากเขาไป อาการปวดหัวของเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ราวกับว่านางคือยาวิเศษของเขา หากไร้นางข้างกาย ชีวิตเขาคงจะเจ็บปวดทรมานไปตลอดทั้งชาติองค์หญิงเก็จมณีกำลังจะเอ่ยปากถามต่อ แต่พระ