การเดินทางมาที่จวนของแม่ทัพใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองไม่ยากเย็นอะไรนัก บริเวณโดยรอบสงบเงียบราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทันทีที่มาถึงหน้าประตู หลี่อวี้อ๋องก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดจากปกติ เมื่อฉีฟ่างแจ้งว่าเจ้านายของเขาต้องการพบกับท่านแม่ทัพ ก็ได้รับคำตอบว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพมีแขกเข้าพบอยู่ก่อนแล้ว
“แขกหรือ” เขาทวนคำ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นแขกที่สำคัญมากทีเดียว ทุกอย่างถึงได้มีการคุ้มกันแน่นหนาและดูเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้ “ขอรับ” “ข้าจะรอ” “ถ้าเช่นนั้นก็เรียนเชิญท่านด้านในขอรับ ข้าน้อยจะไปรายงานนายท่านให้” “เดี๋ยว ยังไม่ต้องรายงาน รอให้แม่ทัพเสร็จธุระกับแขกก่อนก็ได้” “ขอรับ” บ่าวรับใช้รับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง หลี่อวี้อ๋องให้ฉีฟ่างรออยู่ด้านนอก ตัวเองก็เดินเข้ามาในจวนอัน ร่มรื่น มีลานขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางแบบบ้านของผู้มีอันจะกินทั่วไป เขาสอดส่ายสายตา หวังว่าจะเห็นกูเหนียงน้อยที่ตนเองลงทุนตามหา หลี่อวี้อ๋องไม่ได้เจอแม่ทัพมู่หรงเป็นการส่วนตัวหรือคุยธุระด้วยมานานแล้ว สาเหตุเพราะตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข ร้างราจากศึกสงครามมาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้มีข่าวกบฏชายแดนขึ้นมาพอดี และเขาก็กำลังสืบเรื่องนี้อยู่ การจะหาเหตุผลมาที่นี่ จึงไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยอะไร ดูท่าเขาคงไม่ได้พบว่าที่พ่อตาในเร็ว ๆ นี้ ศาลาที่เห็นอยู่ไม่ไกล จึงน่าจะใช้เป็นที่นั่งรอแก้เบื่อได้ดีกว่า เขาจึงเดินเลี่ยงไปตามทางเดินปูหิน นั่งรับลมเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหันไปเห็นแขกคนสำคัญที่เพิ่งเดินออกมาตรงลานบ้านพอดิบพอดี “ไป่ชาง ?” หลี่อวี้อ๋องเกิดความประหลาดใจ ได้แต่สงสัยว่ามีเหตุผลอะไรที่ไป่ชางหรือองค์ชายชางจะต้องมาคุยกับแม่ทัพถึงที่ เพราะหากมีธุระเร่งด่วน ให้คนมาเรียกตัวไม่กี่อึดใจก็ได้พบแล้ว เขาตัดสินใจเดินออกจากศาลาเพราะมันเป็นจุดที่จะทำให้ถูกพบเจอได้ง่ายเกินไป แต่ยังไม่ทันได้คิดว่าจะทำอย่างไรต่อ เสียงคุยด้วยสำเนียงที่เจือความมีชีวิตชีวาก็ดังมาตามทางเดินด้านหลัง เขาเลยไม่มีเวลาให้ คิดมาก นอกจากหลบอยู่ตรงไหนสักที่เสียก่อน “คุณหนูอย่าลืมที่ฮูหยินกำชับเชียวนะเจ้าคะ พบองค์ชายทั้งที ห้ามเสียมารยาทหรือทำให้วงศ์ตระกูลเสียหน้าเด็ดขาด” “โอย…เจ้าก็ย้ำราวกับเป็นร่างแยกของท่านแม่อีกคน ข้าจะไปทำเสียมารยาทได้อย่างไร คอขาดได้เชียวนา” เขายิ้มออกมากับบทสนทนานั้นขณะมองนางเดินเข้าไปหาไป่ชางที่ก็ตรงเข้ามาหานางทันทีเช่นกัน “องค์ชายเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไปก่อนนะเจ้าคะ” สาวใช้คู่กายเดินตัวลีบออกไปอีกทางอย่างรู้งาน เห็นดังนั้นหัวสมองของหลี่อวี้อ๋องพลันร้อนรนครุ่นคิด ไป่ชางผู้มีศักดิ์เป็นหลานเขา ถูกวางตัวให้อภิเษกสมรสกับมู่หรงเยว่ชิงงั้นหรือ ไม่อย่างนั้นจะเสด็จมาถึงนี่เพื่ออะไร ด้วยเหตุผลนี้เสด็จพี่ถึงได้แต่งตั้งให้นางเป็นถึงท่านหญิงสินะ เหตุผลที่คิดได้ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็ยังคงแฝงกายสังเกตการณ์ต่อไป เพราะสิ่งที่เขาหมายตาไว้แล้ว ใครหน้าไหนก็มิอาจแย่งไปได้ แม้บุคคลผู้นั้นจะเป็นหลานแท้ ๆ ก็ตาม หากเป็นอย่างที่เขาคิด คงต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่โดยด่วน “คารวะองค์ชาย” มู่หรงเยว่ชิงย่อตัวลงอย่างงดงาม ก่อนจะส่งยิ้มที่มัดใจใครต่อใครมาให้ แม้แต่ไป่ชางเองก็ถึงกับชะงักไปราวกับต้องมนตร์ “ลุกขึ้นเถิด” ชายหนุ่มประคองนางในดวงใจให้ลุกขึ้น “ขอบพระทัยเพคะ” มู่รงเยว่ชิงกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้าต้องขอโทษที่รบกวนเวลาส่วนตัวของเจ้า แต่เพราะแวะมาหาท่านแม่ทัพกะทันหัน และได้เอาของฝากจากพวกตะวันตกมาให้เจ้าด้วย จึงไม่ได้แจ้งล่วงหน้า” “องค์ชายอย่าตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ” นางแสร้งทำเป็นออกตัวแล้วค่อยพูดต่ออย่างไร้เดียงสา “แต่...จริงหรือเพคะ เรื่องที่ว่าทรงนำของขวัญมาให้หม่อมฉัน” ดวงตาของหญิงสาววาบวับ มันดูละโมบแต่ในสายตาของไป่ชางกลับดูน่ารักไร้จริตมารยา “จริงสิ เป็นของที่สตรีทั้งหลายเห็นแล้วจะต้องอิจฉาเจ้าแน่นอน ของหายากเสียด้วย” เขาพูดให้นางกระตือรือร้นอยากรู้มากขึ้น “แต่หม่อมฉันมิบังอาจ รับของที่สูงค่าไปกว่าตัวเองหรอกเพคะ” นางทำเป็นเจียมตัว “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจหาอะไรมาให้เจ้าได้แล้วล่ะ” คำพูดเป็นนัยที่เปรียบนางไว้สูงกว่าเพชรนิลจินดาใด ๆ นับว่ามี ชั้นเชิงเสียจริง แม้หลี่อวี้อ๋องจะสนิทชิดเชื้อกับไป่ชางดีเพราะอายุไม่ห่างกันมากนัก แต่ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเจ้าหลานคนนี้จะมีคารมคมคายถึงเพียงนี้ เขาคงต้องทำอะไรบางอย่าง “องค์ชายหมายความว่าหม่อมฉันมีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง เงินกองโต หรือ...” นางถามต่อและคงไว้ซึ่งท่าทางไร้เดียงสา แต่เห็นจะมีเพียงผู้เดียวกระมังที่มองออก และคนผู้นั้นเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุรุษที่หลบอยู่หลังน้ำตกจำลอง เขาอดลอบยิ้มไม่ได้ ลองนางเสแสร้งอย่างนี้ เขาคงคิดว่าหลานชายของเขาคนนี้สำหรับนางคงมิต่างจากบุรุษอื่นที่มาเกี้ยวพานางกระมัง “ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด” ไป่ชางตอบทันควันโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “เยว่ชิงเขลาเกินกว่าจะเข้าใจได้ ว่าตัวเองล้ำค่าแค่ไหน ในเมื่อไม่เคยมีของเหล่านั้นให้เปรียบเทียบ” นางทอดถอนใจ ดวงตาสั่นไหวราวกับกำลังฝันถึงสิ่งที่ไม่อาจเอามาครอบครอง แล้วก็ได้แต่นั่งเศร้าสลด แต่จะว่ากันตามจริงแล้ว บิดาของนางมั่งคั่งเกินกว่าขุนนางครึ่ง ราชสำนักมารวมกันเสียอีก แต่ทั้งนี้ไม่ใช่มาจากการฉ้อฉล เพราะตระกูลของท่านตาทวดหรือท่านตาของท่านพ่อ ทั้งยังตระกูลฝั่งมารดาของนางล้วนเป็นคหบดีใหญ่ อีกทั้งบิดานางเองยังรับใช้บ้านเมืองอย่างเต็มที่มาตลอด ออกรบกี่ครั้งก็กำชัยชนะกลับมา ทำให้ได้รับของพระราชทานต่าง ๆ มากมาย และของเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดา หรือที่ดินหลายร้อยหมู่ บิดาล้วนยกให้มารดาเป็นผู้จัดการ มารดาของนางซึ่งมาจากตระกูลการค้าจึงจัดการให้ทรัพย์สินงอกเงยขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว “ข้าจะหาของมากมายมาให้เจ้า เมื่อนั้น เจ้าจะได้เข้าใจว่าในที่สุดแล้ว ของพวกนั้นก็หาได้มีราคาเทียบเท่ากับตัวเจ้า ที่ข้าทุ่มเททุกอย่างให้” ไป่ชางบอกพลางจ้องดวงตาดอกท้อสุกสกาวตรงหน้า มู่หรงเย่วชิงออกอาการเอียงอาย ก้มหน้าลงแล้วหันหนี สองมือจับอยู่ตรงสายชายอาภรณ์แล้วบิดไปมาระบายความเขิน ซึ่งดูได้ยากว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงการซ่อนความดีอกดีใจที่จะได้รับพระราชทานสิ่งของราคาแพงถึงขนาดนั้นกันแน่ “มันจะเป็นของมากมายเพียงใดกันนะ” นางรำพึงรำพัน “มากจนเจ้าคาดไม่ถึงเลยทีเดียว” “หนึ่งหีบหรือเพคะ” “มากกว่านั้น” “หรืออาจจะเป็นสอง” “เจ้าพอใจเท่านั้นเองหรือ” “สตรีไม่ควรละโมบโลภมาก แม้บุรุษผู้นั้นจะนำมาเสนอให้ถึงที่ก็ตามที” นางช่างกล้าพูด! นี่เป็นความคิดของคนที่หลบซ่อนอยู่ องค์ชายชางทำหน้าไม่เห็นด้วย “ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น” “ยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเยว่ชิง ใช่หรือไม่เพคะ” นางแสร้งทำเป็นออกความเห็นแบบเด็ก ๆ อีกครั้ง ความฉลาดในการเอาตัวเองไปผูกกับบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรทำให้หลี่อวี้ทั้งขำและเอ็นดูนางในคราวเดียวกัน และยิ่งขบขันมากขึ้น เมื่อเห็นว่าเจ้าหลานโง่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเจอกับอะไร “แต่ความจริงแล้ว แค่เสื้อผ้าไม่กี่สิบชุด กับหีบที่อัดแน่นไปด้วยแก้วแหวนเงินทองสี่ห้าหีบ ก็พอจะทำให้จิตใจของหม่อมฉันปิติสุขได้แล้วล่ะเพคะ” “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะรีบส่งของกำนัลมาให้เจ้าโดยเร็วที่สุด” “ขอบพระทัยเพคะ” นางย่อตัวลงเชื่องช้า ยังคงกิริยาของสตรีที่ได้รับการอบรมมาดี แต่แทบจะปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิด จะว่ามารยาก็ไม่ใช่ จะว่าเหลี่ยมจัดก็ไม่เชิง จะว่าไร้เดียงสาหรือก็ไม่ถูกต้องนัก นางเพียงแต่ใช้ลูกอ้อน ความงาม และการพูดจาไปเรื่อยของตัวเอง แต่อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มน้อย ๆ และท่าทางอันเป็นธรรมชาตินั่นกระมัง ที่ทำให้ใครต่างยอมเต็มใจตกลงไปในหลุมพรางของนาง เมื่อใดก็ตามที่เยว่ชิงร้องด้วยความดีใจ ดวงตาเบิกโตเห็นประกายวาววับฉายฉาน ท่าทางร่าเริงอย่างฉับพลันเมื่อได้สมปรารถนา มันก็ทำให้บุรุษทุกผู้ทุกนามลืมเหตุผลไปจนสิ้น สำหรับหลี่อวี้อ๋องแล้ว เขาอยากรู้นักว่านางยังจะมีไม้เด็ดอะไร อีกบ้าง ยังต้องการของนอกกายเหล่านี้ไปจนถึงเมื่อไหร่จึงจะหยุด นางมีเพียงความต้องการทรัพย์สมบัติจริงหรือไม่ หัวใจดวงน้อย ๆ ยังจะมีความรักมอบให้ใครอีกหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่เขาสงสัย และเขาจะต้องได้รู้ ได้เป็นคนเดียวที่ยลโฉมนาง และแม้คู่แข่งจะเป็นหลานชาย แต่คนอย่างหลี่อวี้อ๋อง มีหรือจะยอมถอยให้ใคร หากต้องการสิ่งนั้นขึ้นมา แขกคนสำคัญกลับไปแล้ว เขาตั้งใจจะพบบิดาของนางโดยไม่ให้นางเห็น เพราะไม่อยากให้ไก่ตื่น แต่เยว่ชิงดันหูดี ได้ยินแม้แต่เสียงย่ำเท้าแผ่วเบา ตอนที่เขากำลังจะเดินอ้อมไปอีกทาง และนางเดินผ่านตรงนี้พอดี “หยุดนะ นั่นใครกัน” เสียงเล็กร้องถาม พร้อมทั้งก้าวฉับ ๆ เข้ามาหา โดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยว่าเขาอาจจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถทำให้นางตกอยู่ในอันตราย ชายหนุ่มหันกลับไปหา จ้องนางแน่นิ่ง แช่สายตาอยู่ที่ใบหน้าซึ่งรับกันทุกส่วน ทั้งคิ้ว ดวงตา จมูกและปาก โดยเฉพาะปากสีแดงเรื่อตัดกับผิวขาวผ่อง “ข้าก็แค่คนที่มาขอเข้าพบท่านแม่ทัพ ขอตัว” เขาตัดบท รีบหมุนตัวกลับหลัง “เดี๋ยวสิ ถึงจะมาหาท่านพ่อ แต่ท่านก็ไม่ควรเดินเพ่นพ่านไปทั่วเช่นนี้นะ นี่...ท่าน” เสียงของนางยังดังไล่หลังไม่หยุด แต่เขารีบเลี้ยวตรงหัวมุม เจอกับบ่าวรับใช้และขอให้นำทางไปหาแม่ทัพมู่หรงทันที แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนของเยว่ชิง เสียงของนาง ใบหน้าของนาง ดวงตาดอกท้อสุกสกาว และริมฝีปากราวกับผล อิงเถาชุ่มฉ่ำ ที่รบกวนจิตใจ จนต้องได้มาครอบครอง ถึงจะดับความร้อนรุ่มนี้ไปได้ “ท่านอ๋อง!” “ข้ามีธุระจะคุยกับท่าน” “เรื่องอะไรหรือพะย่ะค่ะ” “เยว่ชิง”ร่างเล็กในชุดสาวใช้เดินก้มหน้าก้มตาผ่านโรงครัวไปทางประตูหลังของจวน ฝีเท้าของนางเร่งรีบ แต่เสียงเดินแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน นางเหลียวมองด้านหลังเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นใครหรือสิ่งใดผิดปกติ สองเท้าก็จ้ำพรวดผ่านประตูออกไปยืนท่ามกลางแสงแดดแผดกล้า ก่อนจะรีบเข้าไปในรถม้าที่ถูกเรียกมาจากข้างนอก โดยมีหญิงสาวอีกนางนั่งรออยู่ด้านในก่อนแล้ว“คุณหนู ทำแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ”“ชู่ววว”“แต่...”คราวนี้คนที่ถูกเรียกว่าคนหนูถลึงตาใส่สาวใช้ ก่อนจะเคาะที่หลังคารถม้ารับจ้าง เป็นสัญญาณว่าไปได้“เราไม่ได้ทำแบบนี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย และเจ้าก็ออกปากเตือนข้ามาตลอด ข้าเคยฟังหรืออย่างไรกัน”“ไม่ฟังเจ้าค่ะ”“ก็นั่นปะไร”มู่หรงเยว่ชิงในชุดสาวใช้ยิ้มอย่างซุกซน เพียงแค่นึกถึงตอนที่จะได้เที่ยวเล่น ห่างไกลจากการงานน่าเบื่อทั้งหลาย นางก็พลันมีความสุขขึ้นมา “ถ้าหากคุณชายรู้ เพ่ยเพ่ยคนนี้ต้องโดนเอ็ดอีกแน่ แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับที่ทุกคนจะหันมาห่วงคุณหนูหนักกว่าเดิม คราวนี้ท่านก็จะไปไหนมาไหนได้ยากยิ่งขึ้น”“เรื่องนั้นเอาไว้คิดทีหลังน่า” นางบอกปัด มู่หรงเยว่ชิงตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ชมนกชมไม้ การเก็บเกี่
“คุณชาย ข้าต้องขออภัย ปล่อยข้าไปเถิด จะให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ยอม ขอร้องเถิดขอรับ” เมื่อใช้แรงสู้ไม่ได้ผล และพิจารณาดูแล้ว ชายผู้นี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา คนที่เคยอวดเบ่งก็ต้องใช้วิธีขอร้องอ้อนวอนแทน“ฮึ เจ้าสุนัขนี่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย” เขาสะบัดมือออก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดอย่างถือตัวยิ่งทำเช่นนั้น เยว่ชิงก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาน่าจะเป็นคุณชาย บัณทิต ขุนนาง หรือที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือทหารในกองทัพเลยทีเดียว ถึงได้มีความสามารถในการต่อสู้ และคงไว้ซึ่งท่าทางเย่อหยิ่งไปในคราวเดียวกัน“เอาละ ทีนี้ก็เอ่ยขออภัยแม่นางทั้งสองซะ”คำขอโทษพรั่งพรูออกมาจากปากไอ้สุนัขหน้าเหม็นพร้อมด้วยสีหน้าเศร้าสลดเยว่ชิงมองอย่างไร้ความหมาย บอกให้เพ่ยเพ่ยเอาเงินให้ชายชราที่ยืนตัวลีบอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะหันมาขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของนาง“คุณชายท่านนี้ ข้าต้องขอบคุณท่านมาก สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้”นางกล่าวด้วยเสียงและท่าทางที่ไม่อ่อนน้อมนัก เนื่องจากติดนิสัยพูดกับบ่าวรับใช้ในจวน แต่เมื่อรู้ตัวว่าถ้อยคำเหล่านั้นแสนจะห้วนสั้น จึงเติมคำที่ท้ายประโยคประโยคลงไปเพื่อความแนบเนียน “หมายถึง...ขอบคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ”
การมาถึงของหลี่อวี้อ๋องเงียบเชียบปราศจากความเอิกเกริก เฉกเช่นเดียวกับการไปปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ ของเขาเพื่อสืบราชการลับ แม้ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่จะใหญ่โตกว้างขวาง แต่กลับไม่มีบ่าวไพร่เดินให้ขวักไขว่ดังเช่นจวนขุนนางอื่น ๆ หากเทียบกันแล้วจวนแห่งนี้มีบ่าวไพร่เพียงหนึ่งในสามของจวนขุนนางเหล่านั้นเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นการแสดงความอัตคัดขัดสนแม้แต่น้อย ตระกูลมู่หรงแม้เพียงกระถางต้นไม้หนึ่งต้น ย่อมมีราคากว่าที่ดินสิบแปลง หลี่อวี้อ๋องรู้สึกรู้สึกพึงพอใจในบรรยากาศของจวนแห่งนี้ไม่น้อย ขณะที่กำลังเดินอยู่เขาได้สอดส่ายสายตาไปมาเพื่อจะมองหาท่านหญิง จอมแก่นด้วยตนเอง พยายามนึกว่าสาวน้อยเช่นนางจะโปรดปรานการทำสิ่งใดในช่วงสายของวันเช่นนี้ หากเป็นหญิงสาวทั่วไปที่เขารู้จัก คงจะไม่พ้นการไปนั่งพักผ่อน พูดคุยกับคนสนิทข้างกาย หรือเข้าอบรมบ่มนิสัย ไม่เช่นนั้นก็นั่งจิบชาเสียเฉย ๆ แต่ดูแล้ว มู่หรงเยว่ชิงคงจะไม่เป็นเช่นนั้น จวนใหญ่โตมักจะสร้างสวนเอาไว้หลายแห่ง ทั้งเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ อวดความมั่งคั่ง หรือเพื่อปิดบังตัวเรือนชั้นในจากสายตาคนนอก นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจนัก หากจะนึกให้พิเรนท์สักหน่อย ก็เห
“อย่างเช่นสิ่งใดหรือเพคะ” เยว่ชิงทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจึงเอ่ยปากถาม “อย่างเช่นพูดกับข้าเหมือนตอนก่อนที่เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นอ๋องน่ะ” “อ้อ” นางหลุบตาต่ำ รู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วเรื่องที่หม่อมฉัน…ข้าต้องทำ…อย่างเช่นสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “อย่างเช่นไปช่วยข้าเลือกลูกม้าตัวใหม่” “ลูกม้า!” สองพ่อลูกอุทานแล้วมองหน้ากัน “ใช่ แล้วข้าจะให้เจ้าตัวหนึ่งด้วย เลือกเอาตัวที่แพงที่สุดก็ได้ จะไปหรือไม่ไป” น้ำเสียงของหลี่อวี้อ๋องไม่ใช่การถามความสมัครใจ แต่เยว่ชิงไม่ได้สังเกต นางรีบตอบตกลงเพราะตื่นเต้นที่จะลูกม้าตัวที่แพงที่สุด ก่อนที่บิดาจะเป็นฝ่ายหยิกนางจนเนื้อเขียวแล้วตอบตกลงให้แทน ถึงแม้นางจะงุนงงไม่น้อยว่าการเลือกลูกม้าเป็นการทำคุณให้แผ่นดินไปได้อย่างไร และนางก็ไม่ได้อยากจะไปในที่แบบนั้นกับบุรุษที่เป็นถึงท่านอ๋อง แต่กลับหาเรื่องกลั่นแกล้งนางมาตั้งแต่เมื่อวานก็ตาม แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นใดหลงเหลืออยู่เลย และหากจะคิดปลอบใจตนเอง ก็คงกล่าวได้ว่าอย่างน้อย นางก็จะได้เจ้าม้าน้อยน่ารักกลับมาด้วย “ข้าจะพานางกลับมาก่อนค่ำโดยไม่ทำให้นางเสื่อมเสียเกียร
การฝึกขี่ม้าที่หลี่อวี้อ๋องแอบอ้างจบลงในเวลาไม่นานนัก ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะทำให้หญิงสาวบอบบางเช่นนางจะต้องปวดเมื่อยเนื้อตัว หากหักโหมฝึกฝนจนเกินไป แต่อันที่จริง เขาเพียงแต่คิดว่าการจะเป็นผึ้งที่ได้ดอมดมเกสรดอกไม้ จะต้องระวังไม่ให้ดอกไม้อันสวยงามชอกช้ำ การที่เขาให้เยว่ชิงนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันแล้วเหยาะย่างไปรอบทุ่งเพื่อกินลมชมทิวทัศน์ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับในวันนี้ อีกประการหนึ่ง ในการที่จะทนต่อสิ่งเร้าอย่างเช่นเรือนร่างที่แม้จะอยู่ภายใต้อาภรณ์ปกปิด แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นความเย้ายวนใจได้ เส้นผมนุ่มสลวยดำขลับที่มักจะถูกลมพัดผ่านใต้จมูกของเขา คละเคล้าไปกับกลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนร่างของนางเอง ก็เป็นการยากเหลือเกินที่จะทำจิตใจให้สงบอยู่ได้ “สรุปว่าเอาตัวนี้นะ” เขาถามย้ำ เมื่อเห็นนางลังเลใจในการจะเลือกลูกม้ากลับไปเลี้ยงตามที่เขาได้ลั่นวาจาเอาไว้ เยว่ชิงยกมือลูบจมูกลูกม้าสีขาวท่าทางปราดเปรียวเกินอายุ ก่อนจะเหลียวมองเจ้าตัวสีดำที่อยู่ในคอกถัดไป แล้วหันมามองท่านอ๋องที่ยืนเอามือไพล่หลังรออยู่ “ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางถูกชะตากับเจ้ามาสีขาวตัวนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ถามค
“ข้าพูดจริงนะ เรื่องความงามของเจ้า” เยว่ชิงไม่ตอบอะไร เพียงแต่เม้มปากแน่น มันเป็นการกระทำที่ติดเป็นนิสัย และสร้างความน่าเอ็นดูให้กับนางไปโดยปริยาย “ท่านอย่าชมให้ข้าได้ใจไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ” อันที่จริงนางรู้ตัวและได้ยินได้ฟังจนเบื่อแล้ว คนงามถึงอย่างไรก็งามอยู่วันยังค่ำ “ข้าพูดความจริง เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการชดเชยที่ทำให้เจ้าต้องเก้อในวันนี้ ข้าจะพาเจ้ามาเดินเล่นและทำทุกอย่างที่เจ้าอยากจะทำในครั้งหน้า ตกลงไหม” “ตกลงเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ” “ทีนี้ ข้าจะให้รถม้าไปส่งเจ้ากลับจวน ส่วนข้าจะแยกไปตรงนี้ เพราะธุระของข้าเร่งด่วนมาก จะเป็นอันใดหรือไม่” “จะเป็นอันใดกันเล่าเจ้าคะ ขอเพียงไม่ต้องเดินกลับ ข้าก็พอใจแล้ว” นางกล่าวด้วยเสียงที่ร่าเริงขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี ข้าขอโทษจริง ๆ นะ วันของเจ้าไม่ควรหมดสนุกเพียงเท่านี้” หลี่อวี้อ๋องแตะข้อศอกนางให้เดินกลับไปรอที่หน้าถนน ก่อนจะทำมือให้ฉีฟ่างไปเรียกรถม้ามาให้ “ทำคุณประโยชน์ให้กับทางการ จะสนุกได้อย่างไร” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย “แต่มันก็ไม่ควรต้องน่าเบื่อ เอาละ ไปได้” มู่หรงเยว่ชิงย่อตัว
“ท่านพ่อ ไม่มีทางใดที่จะทำให้พวกเราได้ตามเสด็จหลี่อวี้อ๋องไปด้วยเลยหรือขอรับ” ชายหนุ่มหน้ามนเกาะชายเสื้อผู้เป็นบิดาพลางพูดด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ ขณะที่คนถูกอ้อนวอนกลับรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า เช้าตรู่ของวันใหม่ในจวนท่านแม่ทัพได้ต้อนรับคนสนิทของ หลี่อวี้อ๋อง ที่รีบร้อนมาแจ้งว่าท่านอ๋องต้องการตัวมู่หรงเยว่ชิงให้ไปทำธุระทางราชการด้วยกัน โดยจะเดินทางมาในช่วงบ่ายเพื่อให้นางได้มีเวลาเตรียมตัว ซึ่งนางก็จำต้องตอบรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่ในใจอยากจะอยู่ที่จวนเพื่อดูแลลูกม้าตัวใหม่ของนางโดยไม่ทำอะไรอื่นเลย “มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเราเลยแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะอยากไปทำไม” “ไม่ใช่ได้อย่างไรกัน พี่หญิงของข้าต้องออกไปเสี่ยงชีวิต ตกระกำลำบาก เดินทางระหกระเหิน เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวกับเราโดยตรงนะขอรับท่านพ่อ” “เซียวเฟิง พี่สาวของเจ้าแค่จะออกไปล่องเรือกับท่านอ๋อง!” ท่านแม่ทัพใหญ่ขึ้นเสียงพลางดึงมือบุตรชายคนเล็กประจำตระกูลที่เกาะแขนอยู่ออก กำลังจะเดินหนีไปอีกทาง แต่ก็ยังช้ากว่าลูกอีกสองคนที่ตรงรี่เข้ามาหา “ท่านพ่อ ข้าเพิ่งทราบว่าพี่หญิงจะออกไปเผชิญอันตรายข้างนอก เราจะ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ นางไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้เลยว่าหลี่อวี้อ๋องเป็นอย่างไรกันแน่ เขาจะแค่หาเรื่องแก้เบื่อโดยการลากนางไปทั่วทั้งเมือง หรือโกรธที่นางไปลบหลู่ดูหมิ่นตนเข้า จึงอยากจะทรมานนางให้พบเจอกับความยากลำบากของการต้องทำงานเพื่อไถ่โทษกันแน่ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่นางแอบสงสัย งานที่ท่านอ๋องว่านั้นว่ากันตามตรงไม่สร้างความลำบากให้นางแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำนางยังสนุกสนานเพลิดเพลินที่ได้ออกจากจวนอีกต่างหาก หรือความจริง…พอนึกมาถึงตรงนี้นัยน์ตาดอกท้อก็เบิกโตขึ้น หรืออาจจะเป็นแบบที่เพ่ยเพ่ยว่า คือท่านอ๋องสนใจในตัวนาง แบบที่บุรุษทุกผู้ทุกนามให้ความสนใจ แม้นนางไม่ใช่คนหลงตนเองนัก แต่ก็รู้ดีว่าผู้คนมากมายพากัน ชื่นชมความงามนี้ แต่หลี่อวี้อ๋องผู้ซึ่งอยู่ในรั้วในวัง เจอสาวงามนับร้อยนับพัน ขอแค่ไม่ใช่คนในพระประสงค์ของฮ่องเต้ จะชี้นิ้วเลือกใครก็ได้ทั้งนั้น จะสนใจนางได้อย่างไร แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็จะถือได้ว่ามีผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินถึงสองคนมาติดพัน หนึ่งคือองค์ชายชาง ซึ่งบิดาเคยเปรยเอาไว้ หรือสองคือท่านอ๋อง ผู้ที่นั่งมองนางไม่ละสายตาอยู่ในตอนนี้ เพียงแต่ว่า…กับเขาผู้นี้…ค
“อ๊ะ” เยว่ชิงสะดุ้งกับการถูกรุกล้ำเข้ามาในกายสาว นางรัดแขนรอบคอเขาแน่น สัมผัสของมันทำให้ภายในส่วนกลางกายบีบรัดจนร้อนระอุ พาให้นางเสียววูบวาบอย่างตั้งตัวไม่ติด นางกลั้นหายใจพลางซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างเมื่อเขาขยับมือชักเข้าออกเริ่มจากเชื่องช้าไปสู่ความรัวเร็วจนร่างกายของนางรับไม่ไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายแหงนหงายไปด้านหลัง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ขณะที่เส้นผมสีดำขลับปัดป่ายอยู่ตรงช่วงลำตัวของนาง ในตอนที่นางหลุดเสียงร้องครวญครางแล้วตัวกระตุกเกร็งภายใต้มือของเขา “ท่านอ๋อง” นางกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง คล้ายจะบอกว่าตัวเองได้รับความสุขสมเป็นอย่างดีแต่เหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยและปล่อยให้เขาจับพลิกตัวนอนลงกับเตียง “ข้าหวังว่าคงจะไม่มีใครเข้ามาขัดอีก เพราะคราวนี้ข้าจะไม่ยอมถอนกำลังเป็นแน่ หากข้าไม่ได้ชัยชนะ” “แล้วชัยชนะของท่านคือสิ่งใดกัน” นางถามราวกับจะยั่ว “เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน” เขาปลุกปั่นความปรารถนาของนางขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับทำรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอย่างหักห้ามใจไม่ไหว ทั้งบดขยี้กลีบปากบาง สองมือต้องการที่จะได้สัมผัสแตะต้องทุกตารางนิ้ว จนก
หญิงสาวยืนตัวตรงอยู่ข้างเตียง สวมเพียงชุดหลวม ๆ สำหรับ ซับในเอาไว้เรียบร้อย หลี่อวี้อ๋องมองนางแน่นิ่งราวกับจะมองให้ทะลุเนื้อผ้าเข้าไปจนกระทั่งเห็นถึงผิวเนื้อด้านใน คนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็รู้ตัวดีจนถึงขนาดร้อน ๆ หนาว ๆ ต้องหาเรื่องเบี่ยงประเด็น “ฮ่องเต้เสด็จมาหรือเจ้าคะ” เขาพยักหน้าก่อนจะวางกล่องในมือเอาไว้บนโต๊ะ “เอาของขวัญมาให้ แต่ที่จริงน่าจะอยากแกล้งเสียมากกว่า” “แกล้ง?” “ก็จงใจมาขัดขวางตอนที่ข้าจะเข้าสนามรบน่ะซี่” คำพูดของเขาทำให้นางอายจนต้องก้มหน้างุด ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดในสายตาของเขานั้นนางก็น่าเอ็นดู น่าจับมาโอบกอดและรัดแน่น ๆ แล้วก็ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากมีนางอยู่ในอ้อมแขนทั้งวันทั้งคืน “ข้าจะไปอาบน้ำก่อนละ” “ไปอาบน้ำก่อนอะไรหรือ ก่อนทำเรื่องนั้นหรืออย่างไร” เขาถามแกล้ง ๆ เยว่ชิงอ้าปากค้าง นับวันหลี่อวี้อ๋องที่กลายมาเป็นสามีของนางก็ยิ่งเจ้าเล่ห์เพทุบาย ขี้แกล้งและช่างหยอกเย้าเก่งขึ้นทุกที จนนางไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาอย่างไร “ไปเถอะ ข้าจะนอนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่นี่” “ท่าน!” “ข้าพูดความจริงนี่” เขาตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะพูดไล่หลังเมื่อนางกำลังจะเปิดประตูออกไป
งานอภิเษกสมรสของหลี่อวี้อ๋องกับมู่หรงเยว่ชิงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขนาดที่ฮ่องเต้มาเป็นประธานในงาน และเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงจำนวนมากต่างมาร่วมงาน ที่ด้านนอกชาวบ้านล้านตลาดก็พากันออกมาดูเจ้าสาวที่นั่งเกี้ยวแปดคนหาม ซึ่งด้านหลังมีสินเดิมของเจ้าสาวยาวเหยียดชนิดที่ว่าหัวขบวนเคลื่อนไปถึงถนนอีกสายแต่ท้ายขบวนที่ตั้งคอยอยู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกจากจวนแม่ทัพ สมแล้วที่นางเป็นถึง ท่านหญิงตำลึงทอง แล้วหลังจากที่แต่งงานกับหลี่อวี้อ๋อง ตำลึงทองของนางเห็นจะมีแต่เพิ่มพูนขึ้นไปอีก พิธีการทุกอย่างราบรื่นสวยงามจนกระทั่งจะถึงตอนเข้าหอที่ทำให้เจ้าสาวอย่างเยว่ชิงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางได้รู้อะไรมาบ้างจากเพ่ยเพ่ย ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากมายนักเนื่องจากเรื่องเช่นนี้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้และมันยังน่าอายที่จะหยิบยกเอามาพูดบ่อย ๆ ด้วย สิ่งที่นางรู้ก็เห็นจะเป็นเรื่องห้ามนอนนิ่งเป็นหินแข็งเท่านั้นเอง บ่าวแก่แดด ในขณะที่นางนั่งกังวลเรื่องนี้อยู่ หลี่อวี้อ๋องก็ได้รับกลเม็ดเคล็ดลับมากมายที่จะทำให้มีบุตรอย่างง่ายดายจากทั้งพี่ชายอย่างฮ่องเต้และพ่อสามีหมาด ๆ ว่าด้วยท่
มู่หรงเยว่ชิงเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่พบเจอในฝัน หรืออันที่จริงคือตัวนางในชาติที่แล้ว ต้องตกตายเพราะเศษเงินเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ช่างอนาถโดยแท้ ขนาดมาเกิดใหม่ในตระกูลที่มีอันจะกิน นิสัยขี้งก เอ้ย เอาเป็นว่า เห็นคุณค่าของเงินยังติดตัวมาอีก แต่ถ้าจะให้แก้ตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้วกระมัง “คุณหนูเจ้าคะ” เสียงเรียกของสาวใช้คนสนิทขัดความคิดของนาง “ท่านอ๋องมาถึงแล้วหรือ” “ถึงแล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ ก้าวเดินไปยังประตูห้อง นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อสิบวันที่แล้ว และแน่นอนว่าปิ่นที่นางเลือกใช้คือปิ่นทองลายหลันฮวาที่หลี่อวี้อ๋องมอบให้แก่นาง ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่นางใช้ปักอยู่ทุกวันนี้ ตอนนี้เท่ากับว่านางผ่านพ้นจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และพร้อมสำหรับการออกเรือนแล้ว ช่างรวดเร็วจนน่าใจหาย นางเพียงแค่อายุสิบหกหนาวเท่านั้น ร่างบางที่นับวันความงามยิ่งฉายชัดเดินมาหยุดยืนข้างร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่ศาลากลางสวน เมื่อเขาเห็นนางก็เผยยิ้มต้อนรับ กวาดสายตามองนางอย่างถวิลหา ช่วงนี้ทั้งสองคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับพิธีอภิเษกที่จะมาถึงในไม่ช้า และนางก็จะต้องถนอมเนื้อตัวจน
“รับปิ่นข้าไปแล้วเท่ากับว่าเจ้าเป็นของข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว รอหลังเจ้าปักปิ่นเราจะจัดงานมงคลกันทันที” “ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ” “ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว” “นี่ท่าน” หญิงสาวเบิกตาโต “ข้าจะยอมให้เจ้าตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไรกัน ไหนจะหลานชายข้าอีก” “แล้วฝ่าบาท…” “เสด็จพี่ย่อมทำตามที่ข้าต้องการ” เขาพูดพลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาชูให้นางดู เป็นม้วนผ้าสีทอง “นี่อย่างไรล่ะ รอเพียงเจ้าฟื้นจะได้ประกาศราชโองการฉบับนี้เสียที” “ราชโองการอันใดเจ้าคะ” นางคาดเดาไว้ในใจ แต่ก็เอ่ยปากถาม “สมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องเฉินหลี่อวี้ พระอนุชาใน เสวียนจงฮ่องเต้ กับท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิง ธิดาของแม่ทัพใหญ่มู่หรง เซียนหลิวอย่างไรเล่า” “ท่านมั่นใจอย่างไรว่าข้าจะแต่งกับท่าน” นางนึกหมั่นไส้ “เจ้าย่อมแต่งให้ข้า เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าและใจกว้างเท่าข้าอีกแล้ว” “องค์ชายชาง…” นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเขาขโมยจูบ “หากยังพูดถึงชายอื่นข้าจะจูบเจ้าอีก” “ท่านนี่มัน…ร้ายกาจนัก ฮึ่ย! แต่ข้าก็รักท่าน” นางแสร้งต่อว่าและบอกรักเขาไปในตัว ก็เขาอยากฟัง
มู่หรงเยว่ชิงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความฝันหรือจริงกันแน่ หรือว่านางอาจตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง เพราะหลายวันมานี้นางได้แต่ตามดูชีวิตของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกันกับนางมิผิดเพี้ยน นางได้ยินเสียงเรียกชื่ออันคุ้นเคยมาจากที่ไกล ๆ แต่นางกลับสนใจที่จะตามดูชีวิตของหญิงสาวนางนี้มากกว่าสถานที่ที่หญิงสาวนางนี้อยู่คล้ายโลกที่นางไม่รู้จัก ผู้คนแต่งตัวผิดแผก มีสิ่งก่อสร้างแปลกตา บ้างก็สูงเสียดฟ้าจนนางนึกว่าอาจเชื่อมไปถึงสวรรค์ก็เป็นได้ ข้าวของที่นางไม่รู้จักมากมาย บนถนนก็มียานพาหนะแปลก ๆ แล่นไปด้วยความเร็วสูงโดยที่ไม่ต้องใช้ม้าเทียมหญิงสาวนางนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากกว่านางนัก เริ่มตั้งแต่ตื่นแต่เช้าออกจากบ้านที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ไปทำงาน เวลาที่นางต้องการซื้ออะไรแม้จะเป็นอาหารก็ตาม นางจะต้องคอยนึกถึงเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา พอเวลานางอยู่คนเดียวในห้องก็มักจะเหม่อมองแล้วหยิบภาพคนซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของนางขึ้นมาดู และทุกครั้งแววตาของนางจะสะท้อนทั้งความรู้สึกเศร้าเสียใจ เจ็บช้ำ และสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชี
แม่ทัพมู่หรงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องด้วยความร้อนใจเมื่อเพ่ยเพ่ยสังเกตเห็นว่านิ้วของเยว่ชิงกระตุกและมีเสียงแผ่วเบาออกมาจากลำคอของนางอันเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นคืนสติ เขาจึงตามหมอมาตรวจอาการอย่างเร่งด่วน ผ่านมาเป็นครู่ใหญ่แล้ว หมอก็ยังตรวจไม่เสร็จสักที “ท่านพ่อทราบเรื่องหรือยังขอรับ” เซียวหนานเดินหน้าตั้งเข้ามาหา “เรื่องอะไร ตอนนี้หมอกำลังตรวจน้องเจ้าอยู่ จะมีอะไรเร่งด่วนไปกว่านี้อีก” “เรื่องที่ฝู่อิงเว่ยเป็นคนวางแผนฆ่าเยว่ชิง” “เจ้าว่าอะไรนะ” “บุตรีใต้เท้าฝู่เป็นคนวางแผนปองร้ายน้องทั้งสองครั้งขอรับ” “ทำไม” เขานึกไม่ออกว่าจะมีเหตุผลใดให้นางกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้ ในเมื่อทั้งสองตระกูลไม่เคยมีความบาดหมางต่อกันมาก่อน ใต้เท้าฝู่เองก็มีไมตรีจิตรกับเขามาโดยตลอด ยิ่งกับลูกสาวแล้ว เขาไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เยว่ชิงเลย “ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่านางเคยถูกทาบทามเอาไว้ให้อภิเษกกับท่านอ๋องขอรับ” “อย่างนั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องก็พอจะเข้าเค้า” “ขอรับ แต่ไม่ใช่การตกลงอย่างจริงจัง เป็นเพียงการรับสั่งของฮ่องเต้ครั้งสองค
จวนมู่หรงไม่เคยอึมครึมและหม่นเศร้าขนาดนี้มาก่อน เมื่อไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่มักจะปรากฏตัวพร้อมกับความ รื่นเริงเสมอ ทุกอย่างก็เงียบเหงาลงจนไม่เหลือความรื่นรมย์ใด ๆ อีก แม้แต่ดอกไม้ในสวนก็ดูจะเหี่ยวเฉาตามร่างที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงในห้องที่ รายล้อมไปด้วยของมีค่าที่นางรักนักหนา สมาชิกทุกคนจะผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่เป็นเพื่อน หวังอย่าง เต็มเปี่ยมว่านางจะตื่นขึ้นมาและเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งและนั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา แค่รอเวลาที่นางจะตื่นขึ้นมาเท่านั้น และวันนี้ถึงทีหลี่อวี้อ๋องที่จะได้นั่งอยู่กับนาง เขาเอาหนังสือมาอ่านให้นางฟังด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แวววว่านางจะรู้สึกตัว เขานั่งมองหน้านางอยู่เป็นนานจนกระทั่งตัดสินใจกลับ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลทำให้มู่หรงเยว่ชิงได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ กระดูกบางส่วนหัก ทุกคนได้แต่หวังว่าการกระทบกระเทือนนี้จะไม่ส่งผลต่อสมองหรือความทรงจำ ซึ่งแม้แต่ หมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาให้ก็ไม่อาจรับประกันได้ “ท่านอ๋อง” “ข้าจะต้องเห็นนางบาดเจ็บอีกกี่ครั้งกัน ฉีฟ่าง” องครักษ์หนุ่มหยุดยืนอยู่ด้าน
เป็นอย่างที่คาดเมื่อฮูหยินคิดว่าการมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากจะเพื่อตอบแทนน้ำใจไมตรีแล้วยังแสดงออกถึงการยอมรับความรู้สึกที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ นางจึงยอมให้ลูกสาวออกไปหาซื้อของ ข้างนอกถือเป็นการแก้เบื่อด้วย โดยให้บ่าวรับใช้อีกสองคนนอกจาก เพ่ยเพ่ยตามไปด้วย มู่หรงเยว่ชิงไม่เคยเบื่อหน่ายต่อความคึกคักของผู้คนข้างนอก ร้านรวงที่พ่อค้าแม่ค้าขยันเรียกความสนใจจากลูกค้าและร้านอาหารที่มีกลิ่นหอมเชิญชวนให้นักเดินทางแวะเข้าไปตลอดเวลา นางได้ของเต็มไม้เต็มมือเช่นเคย แต่ความคิดที่จะถักเชือกประดับหยกสวย ๆ สักเส้นดูจะเข้าท่ากว่าความคิดอื่น จึงวางใจที่จะกลับจวนเพื่อไปดำเนินการต่อ ไม่ได้อยู่เดินเล่นอ้อยอิ่งดังเช่นทุกครั้ง บ่าวรับใช้หนึ่งคนไปเอารถม้า อีกสองคนคอยประกบนางไม่ห่าง แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มาสักที “จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ” “ข้าจะไปตามนะขอรับ” “เอาสิ” เยว่ชิงพยักหน้าอนุญาต แล้วบ่าวชายก็วิ่งหายไปอีกทาง คราวนี้รอไม่นานนัก รถม้าประจำตระกูลก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ทั้งนางและ เพ่ยเพ่ยก้าวขึ้นไปนั่งด้านในอย่างเรียบร้อย แรกเริ่มเดิมท