“คุณชาย ข้าต้องขออภัย ปล่อยข้าไปเถิด จะให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ยอม ขอร้องเถิดขอรับ” เมื่อใช้แรงสู้ไม่ได้ผล และพิจารณาดูแล้ว ชายผู้นี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา คนที่เคยอวดเบ่งก็ต้องใช้วิธีขอร้องอ้อนวอนแทน
“ฮึ เจ้าสุนัขนี่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย” เขาสะบัดมือออก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดอย่างถือตัว ยิ่งทำเช่นนั้น เยว่ชิงก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาน่าจะเป็นคุณชาย บัณทิต ขุนนาง หรือที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือทหารในกองทัพเลยทีเดียว ถึงได้มีความสามารถในการต่อสู้ และคงไว้ซึ่งท่าทางเย่อหยิ่งไปในคราวเดียวกัน “เอาละ ทีนี้ก็เอ่ยขออภัยแม่นางทั้งสองซะ” คำขอโทษพรั่งพรูออกมาจากปากไอ้สุนัขหน้าเหม็นพร้อมด้วยสีหน้าเศร้าสลด เยว่ชิงมองอย่างไร้ความหมาย บอกให้เพ่ยเพ่ยเอาเงินให้ชายชราที่ยืนตัวลีบอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะหันมาขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของนาง “คุณชายท่านนี้ ข้าต้องขอบคุณท่านมาก สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้” นางกล่าวด้วยเสียงและท่าทางที่ไม่อ่อนน้อมนัก เนื่องจากติดนิสัยพูดกับบ่าวรับใช้ในจวน แต่เมื่อรู้ตัวว่าถ้อยคำเหล่านั้นแสนจะห้วนสั้น จึงเติมคำที่ท้ายประโยคประโยคลงไปเพื่อความแนบเนียน “หมายถึง...ขอบคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ” “ข้ายินดีช่วย ว่าแต่เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาพัวพันกับเหตุการณ์นี้ได้” คุณชาย ที่เยว่ชิงเข้าใจไปเองเอ่ยถาม มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย ที่จริงแล้วฐานะของเขาสูงกว่านั้นมากโข แต่หลี่อวี้อ๋องก็ตัดสินใจจะไม่เปิดเผยตัว เพื่อดูว่านางจะทำอย่างไรต่อไป “ข้าเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่บังเอิญเดินมาเห็นเหตุการณ์” เย่วชิงตอบ ก่อนจะก่นด่าตัวเองในใจอีกรอบที่ลืมว่านางกำลังปลอมตัวเป็นใครอยู่ “เจ้าค่ะ” แล้วนางก็รีบเติมคำต่อท้าย และทันได้เห็นว่าบุรุษตรงหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เขาช่างดูแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสุดขั้ว ชายผู้เยือกเย็นถูกแทนที่ด้วยคุณชายท่าทางสง่างามและนิ่งขรึมแทน “หญิงสาวชาวบ้านมีเงินทองมากถึงเพียงนั้นเชียว” คิ้วกระบี่เลิกขึ้น “ข้าเพิ่งขายผ้าได้เจ้าค่ะ” นางตอบอย่างไหลลื่น หลี่อวี้อ๋องทำเสียงในลำคอเป็นเชิงเข้าใจ เยว่ชิงถึงลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วเขากลับเอ่ยประโยคต่อมาที่ทำเอานางแทบจะล้มทั้งยืน “แต่เจ้าหน้าตาเหมือนท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิงมิผิดเพี้ยนเลย” ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางพินิจพิจารณา “ทะ ท่านเพิ่งสั่งสอนคนผู้นั้นไม่ให้ล่วงเกินข้า แต่ตอนนี้กลับมาทำเสียเอง” เยว่ชิงร้อนรนเล็กน้อย ทั้งตกใจท่าทางคุกคามของคนตรงหน้า เพ่ยเพ่ยกระตุกกระโปรงของนางให้ระวังไม่ทำให้ชายผู้นี้โกรธ แต่หากนางจะหนีเสือปะจระเข้ ก็ให้มันรู้กันไป “ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้มีเจตนาจะหยาบคาย เพียงแต่ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนในข้อสงสัยของตัวเอง และข้าก็มั่นใจว่าเจ้าคือบุตรสาวของท่าน แม่ทัพมู่หรงอย่างไม่ต้องสงสัย” “ท่านคงจำผิดกระมัง บุตรสาวท่านแม่ทัพก็น่าจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงและเครื่องประดับมากมาย นางจะมาเป็นข้าที่ซ่อมซ่อเช่นนี้ได้อย่างไร” นางยังคงพยายามที่จะรักษาบทบาทของตัวเองเอาไว้ “อีกอย่างหนึ่ง ท่านรู้จักนางดีหรือ ถึงได้เที่ยวพูดไปทั่วว่าคนโน้นคนนี้เป็นแม่นางมู่หรงเยว่ชิงอะไรนั่น” “ข้ารู้จักนางดีเลยล่ะ” “แต่ข้าไม่เห็นจะรู้จักท่านเลย อุ๊บ!” นางแทบจะเอามือตะครุบปากตัวเองที่ดันเผยความลับไปโต้ง ๆ ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม “นั่นปะไร เจ้าคือนางจริง ๆ ด้วย!” เยว่ชิงเห็นท่าไม่ดีนางหันไปหาเพ่ยเพ่ย พยักหน้าให้กันสองครั้ง แล้วทำท่าจะออกวิ่ง แต่โดนชายตรงหน้าดึงแขนเอาไว้อย่างรู้ทัน “จะไปไหนหรือ” “ข้าต้องไปแล้ว” นางละล่ำละลักตอบ “ยังไปไม่ได้ นี่บิดาของเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกจนเกือบจะเกิดอันตรายเยี่ยงนี้” “ถ้าท่านรู้แล้วว่าคุณหนูของข้าเป็นใครก็ปล่อยให้นางกลับจวนเสีย” เพ่ยเพ่ยออกโรงปกป้องนางเต็มที่ คนโดนขู่ยกยิ้ม ดวงตาฉายแววอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออก ยอมปล่อยมือจากเรียวแขนที่มีผิวเนื้อนุ่มเนียนอย่างเสียดาย คราวนี้เขาต้องจำใจปล่อยนางปล่อยไปก่อน แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น “แต่ข้าเป็นคนช่วยพวกเจ้าทั้งสอง จะตอบแทนกันเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ ท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิงจะไร้น้ำใจกับคนผู้หนึ่งได้ขนาดนี้เชียว ?” “ก็ได้ ๆ” เยว่ชิงหาทางจบปัญหา อย่างไรเสีย แผนการวันนี้ของนางก็ถูกทำลายลงแล้ว นางอยากกลับจวนเต็มที จึงอยากให้เรื่องนี้จบลงด้วย “ท่านไปรับรางวัลที่จวนของข้า เพราะดูจากการแต่งกายและท่าทางของท่านแล้วคงไม่ใช่คนธรรมดา แค่เงินจำนวนที่ข้ามีตอนนี้คงจะไม่พอ ทีนี้ท่านจะปล่อยเราสองคนไปได้หรือยัง” “ถ้าเช่นนั้นขอเป็นวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่” “ได้ แต่ข้ามีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง” “ข้าฟังอยู่” สำเนียงการพูดของเขาคล้ายเคยชินกับคนวางอำนาจ ซึ่งทำให้นางนิ่วหน้า เพราะทั้งชีวิตไม่เคยมีใครพูดจาเช่นนี้กับนางมาก่อน แต่นางต้องขออะไรบางอย่างจากเขา จึงจำใจปล่อยผ่าน “อย่าบอกบิดาข้าว่าท่านช่วยข้าจากเหตุการณ์นี้ ให้บอกว่าท่านเก็บเครื่องประดับของข้าได้ที่ตลาดเมื่อหลายวันก่อน” “นั่นคือคำสั่งหรือ” ใบหน้าที่เรียบเฉยเป็นนิจตอนนี้เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ดูออกอย่างชัดเจนว่าต้องการจะยั่วเย้าให้นางโมโห เยว่ชิงฮึดฮัดอยู่ในใจ นึกอยากจะย้ำเตือนว่านางเป็นใคร แต่หากทำให้เขาไม่พอใจ นางจะเจอเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่า อย่างเช่นการลงโทษจากบิดา จึงทำได้เพียงเม้มปากแน่น สูดหายใจเข้าแล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและใบหน้าออดอ้อน ซึ่งนางมั่นใจว่านี่เป็นไม้ตายของนาง “คุณชายได้โปรดทำตามคำขอของข้าด้วยเถอะนะเจ้าคะ แล้วข้าจะตอบแทนท่านอย่างดี ถือว่าเห็นแก่หญิงสาวตาดำ ๆ คนหนึ่ง” หลี่อวี้อ๋องรู้ดีว่านั่นคือการขอร้องที่แสนจำใจของนาง แต่เมื่อโฉมงามมาขอร้องด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ทั้งยังทำดวงตาเป็นประกาย ใครเลยจะใจแข็งอยู่ได้ “ข้ายอมรับคำขอของเจ้า แต่เรื่องที่เจ้าต้องตอบแทน เอาไว้ข้าคิดออกแล้วจะบอกเจ้าทีหลัง” “ขอบคุณเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านมีนามว่าอย่างไรหรือ” นางถามด้วยความใคร่รู้ แต่ก็เพราะอยากจะจำชื่อเขาเอาไว้ หากวันข้างหน้าได้โอกาสแก้เผ็ด นางจะได้ไม่จำผิดตัว “ข้าจะแนะนำตัวกับบิดาของเจ้าในวันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้เจ้ากับสาวใช้ต้องกลับจวนได้แล้ว ก่อนที่จะมีใครรู้ว่าคุณหนูคนเดียวของจวนแม่ทัพออกมาเที่ยวเล่นซุกซนเยี่ยงนี้” “เข้าไม่ได้ซุกซน” เยว่ชิงตอบกลับทันควัน ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ฮึ่ย! “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” สุดท้ายนางกล่าวด้วยความพยายามที่จะไม่กระแทกกระทั้น แต่เมื่อเงยหน้าสบกับดวงตาสีเข้มที่มีประกายแรงกล้า นางก็รีบเบนสายตาหลบแล้วหันหลังเดินจากมาด้วยความเร่งรีบ หลี่อวี้อ๋องยังคงมองแผ่นหลังอันบอบบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดที่ตัดเย็บอย่างสวยงาม นึกชื่นชมหลังยืดตรงและศีรษะที่เชิดขึ้นของนาง หญิงสาวคนใดจะมีทุกอย่างอยู่ในตัวอย่างมู่หรงเยว่ชิงได้อีก ทั้งความงาม ความไร้เดียงสาและความมีชีวิตชีวา1915 คำแก้ไขการมาถึงของหลี่อวี้อ๋องเงียบเชียบปราศจากความเอิกเกริก เฉกเช่นเดียวกับการไปปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ ของเขาเพื่อสืบราชการลับ แม้ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่จะใหญ่โตกว้างขวาง แต่กลับไม่มีบ่าวไพร่เดินให้ขวักไขว่ดังเช่นจวนขุนนางอื่น ๆ หากเทียบกันแล้วจวนแห่งนี้มีบ่าวไพร่เพียงหนึ่งในสามของจวนขุนนางเหล่านั้นเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นการแสดงความอัตคัดขัดสนแม้แต่น้อย ตระกูลมู่หรงแม้เพียงกระถางต้นไม้หนึ่งต้น ย่อมมีราคากว่าที่ดินสิบแปลง หลี่อวี้อ๋องรู้สึกรู้สึกพึงพอใจในบรรยากาศของจวนแห่งนี้ไม่น้อย ขณะที่กำลังเดินอยู่เขาได้สอดส่ายสายตาไปมาเพื่อจะมองหาท่านหญิง จอมแก่นด้วยตนเอง พยายามนึกว่าสาวน้อยเช่นนางจะโปรดปรานการทำสิ่งใดในช่วงสายของวันเช่นนี้ หากเป็นหญิงสาวทั่วไปที่เขารู้จัก คงจะไม่พ้นการไปนั่งพักผ่อน พูดคุยกับคนสนิทข้างกาย หรือเข้าอบรมบ่มนิสัย ไม่เช่นนั้นก็นั่งจิบชาเสียเฉย ๆ แต่ดูแล้ว มู่หรงเยว่ชิงคงจะไม่เป็นเช่นนั้น จวนใหญ่โตมักจะสร้างสวนเอาไว้หลายแห่ง ทั้งเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ อวดความมั่งคั่ง หรือเพื่อปิดบังตัวเรือนชั้นในจากสายตาคนนอก นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจนัก หากจะนึกให้พิเรนท์สักหน่อย ก็เห
“อย่างเช่นสิ่งใดหรือเพคะ” เยว่ชิงทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจึงเอ่ยปากถาม “อย่างเช่นพูดกับข้าเหมือนตอนก่อนที่เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นอ๋องน่ะ” “อ้อ” นางหลุบตาต่ำ รู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วเรื่องที่หม่อมฉัน…ข้าต้องทำ…อย่างเช่นสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “อย่างเช่นไปช่วยข้าเลือกลูกม้าตัวใหม่” “ลูกม้า!” สองพ่อลูกอุทานแล้วมองหน้ากัน “ใช่ แล้วข้าจะให้เจ้าตัวหนึ่งด้วย เลือกเอาตัวที่แพงที่สุดก็ได้ จะไปหรือไม่ไป” น้ำเสียงของหลี่อวี้อ๋องไม่ใช่การถามความสมัครใจ แต่เยว่ชิงไม่ได้สังเกต นางรีบตอบตกลงเพราะตื่นเต้นที่จะลูกม้าตัวที่แพงที่สุด ก่อนที่บิดาจะเป็นฝ่ายหยิกนางจนเนื้อเขียวแล้วตอบตกลงให้แทน ถึงแม้นางจะงุนงงไม่น้อยว่าการเลือกลูกม้าเป็นการทำคุณให้แผ่นดินไปได้อย่างไร และนางก็ไม่ได้อยากจะไปในที่แบบนั้นกับบุรุษที่เป็นถึงท่านอ๋อง แต่กลับหาเรื่องกลั่นแกล้งนางมาตั้งแต่เมื่อวานก็ตาม แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นใดหลงเหลืออยู่เลย และหากจะคิดปลอบใจตนเอง ก็คงกล่าวได้ว่าอย่างน้อย นางก็จะได้เจ้าม้าน้อยน่ารักกลับมาด้วย “ข้าจะพานางกลับมาก่อนค่ำโดยไม่ทำให้นางเสื่อมเสียเกียร
การฝึกขี่ม้าที่หลี่อวี้อ๋องแอบอ้างจบลงในเวลาไม่นานนัก ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะทำให้หญิงสาวบอบบางเช่นนางจะต้องปวดเมื่อยเนื้อตัว หากหักโหมฝึกฝนจนเกินไป แต่อันที่จริง เขาเพียงแต่คิดว่าการจะเป็นผึ้งที่ได้ดอมดมเกสรดอกไม้ จะต้องระวังไม่ให้ดอกไม้อันสวยงามชอกช้ำ การที่เขาให้เยว่ชิงนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันแล้วเหยาะย่างไปรอบทุ่งเพื่อกินลมชมทิวทัศน์ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับในวันนี้ อีกประการหนึ่ง ในการที่จะทนต่อสิ่งเร้าอย่างเช่นเรือนร่างที่แม้จะอยู่ภายใต้อาภรณ์ปกปิด แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นความเย้ายวนใจได้ เส้นผมนุ่มสลวยดำขลับที่มักจะถูกลมพัดผ่านใต้จมูกของเขา คละเคล้าไปกับกลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนร่างของนางเอง ก็เป็นการยากเหลือเกินที่จะทำจิตใจให้สงบอยู่ได้ “สรุปว่าเอาตัวนี้นะ” เขาถามย้ำ เมื่อเห็นนางลังเลใจในการจะเลือกลูกม้ากลับไปเลี้ยงตามที่เขาได้ลั่นวาจาเอาไว้ เยว่ชิงยกมือลูบจมูกลูกม้าสีขาวท่าทางปราดเปรียวเกินอายุ ก่อนจะเหลียวมองเจ้าตัวสีดำที่อยู่ในคอกถัดไป แล้วหันมามองท่านอ๋องที่ยืนเอามือไพล่หลังรออยู่ “ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางถูกชะตากับเจ้ามาสีขาวตัวนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ถามค
“ข้าพูดจริงนะ เรื่องความงามของเจ้า” เยว่ชิงไม่ตอบอะไร เพียงแต่เม้มปากแน่น มันเป็นการกระทำที่ติดเป็นนิสัย และสร้างความน่าเอ็นดูให้กับนางไปโดยปริยาย “ท่านอย่าชมให้ข้าได้ใจไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ” อันที่จริงนางรู้ตัวและได้ยินได้ฟังจนเบื่อแล้ว คนงามถึงอย่างไรก็งามอยู่วันยังค่ำ “ข้าพูดความจริง เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการชดเชยที่ทำให้เจ้าต้องเก้อในวันนี้ ข้าจะพาเจ้ามาเดินเล่นและทำทุกอย่างที่เจ้าอยากจะทำในครั้งหน้า ตกลงไหม” “ตกลงเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ” “ทีนี้ ข้าจะให้รถม้าไปส่งเจ้ากลับจวน ส่วนข้าจะแยกไปตรงนี้ เพราะธุระของข้าเร่งด่วนมาก จะเป็นอันใดหรือไม่” “จะเป็นอันใดกันเล่าเจ้าคะ ขอเพียงไม่ต้องเดินกลับ ข้าก็พอใจแล้ว” นางกล่าวด้วยเสียงที่ร่าเริงขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี ข้าขอโทษจริง ๆ นะ วันของเจ้าไม่ควรหมดสนุกเพียงเท่านี้” หลี่อวี้อ๋องแตะข้อศอกนางให้เดินกลับไปรอที่หน้าถนน ก่อนจะทำมือให้ฉีฟ่างไปเรียกรถม้ามาให้ “ทำคุณประโยชน์ให้กับทางการ จะสนุกได้อย่างไร” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย “แต่มันก็ไม่ควรต้องน่าเบื่อ เอาละ ไปได้” มู่หรงเยว่ชิงย่อตัว
“ท่านพ่อ ไม่มีทางใดที่จะทำให้พวกเราได้ตามเสด็จหลี่อวี้อ๋องไปด้วยเลยหรือขอรับ” ชายหนุ่มหน้ามนเกาะชายเสื้อผู้เป็นบิดาพลางพูดด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ ขณะที่คนถูกอ้อนวอนกลับรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า เช้าตรู่ของวันใหม่ในจวนท่านแม่ทัพได้ต้อนรับคนสนิทของ หลี่อวี้อ๋อง ที่รีบร้อนมาแจ้งว่าท่านอ๋องต้องการตัวมู่หรงเยว่ชิงให้ไปทำธุระทางราชการด้วยกัน โดยจะเดินทางมาในช่วงบ่ายเพื่อให้นางได้มีเวลาเตรียมตัว ซึ่งนางก็จำต้องตอบรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่ในใจอยากจะอยู่ที่จวนเพื่อดูแลลูกม้าตัวใหม่ของนางโดยไม่ทำอะไรอื่นเลย “มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเราเลยแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะอยากไปทำไม” “ไม่ใช่ได้อย่างไรกัน พี่หญิงของข้าต้องออกไปเสี่ยงชีวิต ตกระกำลำบาก เดินทางระหกระเหิน เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวกับเราโดยตรงนะขอรับท่านพ่อ” “เซียวเฟิง พี่สาวของเจ้าแค่จะออกไปล่องเรือกับท่านอ๋อง!” ท่านแม่ทัพใหญ่ขึ้นเสียงพลางดึงมือบุตรชายคนเล็กประจำตระกูลที่เกาะแขนอยู่ออก กำลังจะเดินหนีไปอีกทาง แต่ก็ยังช้ากว่าลูกอีกสองคนที่ตรงรี่เข้ามาหา “ท่านพ่อ ข้าเพิ่งทราบว่าพี่หญิงจะออกไปเผชิญอันตรายข้างนอก เราจะ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ นางไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้เลยว่าหลี่อวี้อ๋องเป็นอย่างไรกันแน่ เขาจะแค่หาเรื่องแก้เบื่อโดยการลากนางไปทั่วทั้งเมือง หรือโกรธที่นางไปลบหลู่ดูหมิ่นตนเข้า จึงอยากจะทรมานนางให้พบเจอกับความยากลำบากของการต้องทำงานเพื่อไถ่โทษกันแน่ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่นางแอบสงสัย งานที่ท่านอ๋องว่านั้นว่ากันตามตรงไม่สร้างความลำบากให้นางแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำนางยังสนุกสนานเพลิดเพลินที่ได้ออกจากจวนอีกต่างหาก หรือความจริง…พอนึกมาถึงตรงนี้นัยน์ตาดอกท้อก็เบิกโตขึ้น หรืออาจจะเป็นแบบที่เพ่ยเพ่ยว่า คือท่านอ๋องสนใจในตัวนาง แบบที่บุรุษทุกผู้ทุกนามให้ความสนใจ แม้นนางไม่ใช่คนหลงตนเองนัก แต่ก็รู้ดีว่าผู้คนมากมายพากัน ชื่นชมความงามนี้ แต่หลี่อวี้อ๋องผู้ซึ่งอยู่ในรั้วในวัง เจอสาวงามนับร้อยนับพัน ขอแค่ไม่ใช่คนในพระประสงค์ของฮ่องเต้ จะชี้นิ้วเลือกใครก็ได้ทั้งนั้น จะสนใจนางได้อย่างไร แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็จะถือได้ว่ามีผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินถึงสองคนมาติดพัน หนึ่งคือองค์ชายชาง ซึ่งบิดาเคยเปรยเอาไว้ หรือสองคือท่านอ๋อง ผู้ที่นั่งมองนางไม่ละสายตาอยู่ในตอนนี้ เพียงแต่ว่า…กับเขาผู้นี้…ค
คนแจวเรือยืนทำหน้าที่แข็งขันให้เรือล่องไปได้เรื่อย ๆ ท่ามกลางกระแสน้ำสงบและลมพัดแผ่วให้ความรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลาย เยว่ชิงแหงนหน้ามองดวงดารากระจัดกระจายบนท้องฟ้าสีหมึก ขณะที่หลี่อวี้อ๋องก็มองนางอย่างเพลิดเพลิน “ดูท่าเจ้าจะชอบออกมาข้างนอกมาก” “ข้าชอบที่จะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ เจ้าค่ะ” “ก็คิดว่าชอบออกมาซื้อของเสียอีก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ก็ท่านเป็นฝ่ายบอกให้ข้าหาเหตุผลที่ควรจะซื้อ หากเห็นว่าเข้าท่าก็จะซื้อให้ ตอนนี้จะมาบ่นย้อนหลังไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ” น้ำเสียงนางแง่งอนเล็กน้อย แต่คนฟังกลับมองว่าน่ารัก “ข้าไม่ได้บ่น” เขายิ้มละมุน “แล้วเราได้ข้อมูลอะไรมาบ้างหรือไม่จากการเล่นเป็นคู่รักกันเช่นนี้” วันทั้งวันนางไม่เห็นท่านอ๋องจะทำสิ่งใดนอกจากโอบเอวหรือโอบไหล่นางเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ช่วยนางเลือกของ ควักเงินจ่าย นางไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ แม้แต่น้อย “ได้สิ แต่ข้าคิดว่ามันจับตาดูเราอยู่โดยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ท่านเห็นมันหรือเจ้าคะ” นางตกใจอยากรู้ “แม้แต่คนแจวเรือข้ายังสงสัยเลย” เขาพูดให้นางกลัวซึ่งก็ได้ผล ดรุณีน้
“อันใดหรือ” “ต้องทำงานอย่างหนักและเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้” “เจ้าคิดว่าคนเป็นอ๋องทำเพียงแค่กินกับนอนหรืออย่างไร” ด้วยความที่น้ำเสียงของเขาไม่ได้เจือความโกรธเกรี้ยว เยว่ชิงจึงกล้าพูดมากขึ้น “เจ้าค่ะ และมีแต่หญิงงามรายล้อมรอบกาย” “ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องไร้สาระ ส่วนเรื่องผู้หญิง หากข้ารู้สึกพอใจใครจริง ๆ แล้วละก็ ข้าก็คงไม่ชายตาแลคนอื่นอีกต่อไป” นางผ่อนลมหายใจเบา ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องโล่งใจกับคำตอบนั้นก็ตาม “เจ้าอยากตัดชุดใหม่หรือไม่” เยว่ชิงยังคงงุนงงกับคำถามปุบปับ เขาจึงถามย้ำอีกรอบ “ข้าชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่เพียงแต่ชอบสวมใส่ แต่ยังใส่ใจเรื่องเนื้อผ้า การออกแบบและการตัดเย็บด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้าไม่ชอบอยู่เฉย ๆ สินะ” “ข้ามักจะเบื่อหน่ายจนต้องหาอะไรทำอยู่บ่อย ๆ ในวันข้างหน้าเมื่อม้าของข้าโตพอ ข้าคงจะได้ขี่มันไปยังที่ต่าง ๆ” ขณะพูดใบหน้าของนางเคลิ้มฝัน ดวงตาเป็นประกาย “แล้วบิดาของเจ้าจะยอมหรือ” “พี่น้องข้ามากกว่าที่จะห้าม แต่ข้าค่อยแอบไปตอนพวกเขาไม่อยู่ก็ได้” นางตอบอย่างมุ่งมั่น “แต่หากแต่งงาน เจ้าก็ต้องทำตั