การมาถึงของหลี่อวี้อ๋องเงียบเชียบปราศจากความเอิกเกริก เฉกเช่นเดียวกับการไปปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ ของเขาเพื่อสืบราชการลับ แม้ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่จะใหญ่โตกว้างขวาง แต่กลับไม่มีบ่าวไพร่เดินให้ขวักไขว่ดังเช่นจวนขุนนางอื่น ๆ หากเทียบกันแล้วจวนแห่งนี้มีบ่าวไพร่เพียงหนึ่งในสามของจวนขุนนางเหล่านั้นเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นการแสดงความอัตคัดขัดสนแม้แต่น้อย ตระกูลมู่หรงแม้เพียงกระถางต้นไม้หนึ่งต้น ย่อมมีราคากว่าที่ดินสิบแปลง
หลี่อวี้อ๋องรู้สึกรู้สึกพึงพอใจในบรรยากาศของจวนแห่งนี้ไม่น้อย ขณะที่กำลังเดินอยู่เขาได้สอดส่ายสายตาไปมาเพื่อจะมองหาท่านหญิง จอมแก่นด้วยตนเอง พยายามนึกว่าสาวน้อยเช่นนางจะโปรดปรานการทำสิ่งใดในช่วงสายของวันเช่นนี้ หากเป็นหญิงสาวทั่วไปที่เขารู้จัก คงจะไม่พ้นการไปนั่งพักผ่อน พูดคุยกับคนสนิทข้างกาย หรือเข้าอบรมบ่มนิสัย ไม่เช่นนั้นก็นั่งจิบชาเสียเฉย ๆ แต่ดูแล้ว มู่หรงเยว่ชิงคงจะไม่เป็นเช่นนั้น จวนใหญ่โตมักจะสร้างสวนเอาไว้หลายแห่ง ทั้งเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ อวดความมั่งคั่ง หรือเพื่อปิดบังตัวเรือนชั้นในจากสายตาคนนอก นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจนัก หากจะนึกให้พิเรนท์สักหน่อย ก็เห็นจะมีเพียงโรงครัวและโรงม้าที่น่าจะสร้างความตื่นตาให้กับสาวน้อยแสนซุกซนที่กล้าแอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ “รีบมาเถอะ ก่อนที่เขาจะได้พบกับท่านพ่อ” เสียงเล็ก ๆ ที่พยายามลดเสียงลงเอ่ยขึ้น “แต่เขารับปากแล้วนะเจ้าคะว่าจะไม่บอกท่านแม่ทัพถึงสาเหตุที่แท้จริง ว่าทำไมถึงได้พบกับคุณหนู” “ชู่ว!!” หลี่อวี้อ๋องได้ยินเสียงสนทนามาจากมุมสวนเล็กข้างหน้า เขาจึงหยุดเดิน เพื่อจะรอให้ผู้พูดเป็นฝ่ายตรงเข้ามาหาเอง เขาจำเสียงนางได้ตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวเสียด้วยซ้ำ “อย่าพูดถึงเรื่องเมื่อวานอีก หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หากคุณชายทั้งสามของเจ้ามาได้ยินเข้าจะทำอย่างไรฮึเพ่ยเพ่ย พวกเขาไม่ผลัดกันมานั่งเฝ้าข้าด้วยตัวเองเลยหรือ” เสียงสวบสาบของชุดและฝีเท้าย่ำถี่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เสียงบ่นถึงนิสัยของพี่น้องทั้งสามของนางก็ดังไม่หยุด “คุณหนูจะกังวลไปไย อย่างไรเสีย บุรุษท่าทางสง่างามแบบคุณชายท่านนั้นก็ไม่มีทางจะกลับคำที่เคยลั่นวาจาหรอกเจ้าค่ะ” “เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไร หากเขาเป็นคนดีจริง คงไม่ข่มขู่ว่าจะฟ้องท่านพ่อหรอก เราต้องเอาทองนี่ไปปิดปากเขา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจในตอนหลัง” “พูดถึงข้ากันอยู่หรือ” “โอ๊ย!” จู่ ๆ ร่างสูงก็ก้าวออกมาขวางบนทางเดินกะทันหัน เยว่ชิงไม่ทันได้ตั้งตัวเลยปะทะเข้ากับแผงอกแกร่งเต็มแรง “คุณหนู!” เพ่ยเพ่ยเตรียมจะเข้ามาพยุงร่างของเจ้านาย แต่บุรุษที่พรวดพราดออกมากลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แล้วรับร่างของเยว่ชิงเอาไว้ใน อ้อมแขน “ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวหกล้มขึ้นมาบิดาของเจ้าได้เอาโทษข้าแน่” เสียงทุ้มแกล้งตำหนิ เขาก้มลงสบตากับร่างเล็กที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึง “เอ๊ะ แต่ข้าคงไม่มีโอกาสได้พบท่านแม่ทัพใหญ่หรอกใช่ไหม ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะใช้ทองมาปิดปากข้า” นัยน์ตาเขาฉายแววเจ้าเล่ห์ “ทะ...ท่าน ได้ยินด้วยหรือ” นางตื่นตกใจในคราแรก พอได้สติจึงพยายามจะขืนตัวออกจากอ้อมแขนที่โอบรัดเอาไว้แน่น แต่กลับทำไม่ได้ “ปล่อยข้านะคะ” เขาปล่อยนางออกแต่โดยดี ใบหน้าเจือรอยยิ้มขำขัน “ข้าได้ยินทั้งหมดนั่นแหละ ทีนี้เจ้าจะทำอย่างไรกับข้าดี หืม” เขานึกสนุกอยากรู้ “ไม่ทำอย่างไรหรอก นอกจากชดใช้สิ่งที่ติดค้างกันเอาไว้” พูดจบนางก็หันไปพยักหน้าให้สาวใช้ ซึ่งหยิบถุงที่บรรจุทองเอาไว้จนเต็มแน่น แต่กลับถูกอีกฝ่ายยกมือห้าม “ข้าไม่ต้องการของเหล่านี้” เจ้าของทองมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงเศษเงินของนาง ที่นางหลอก เอ๊ย…ที่บรรดาคุณชายทั้งหลายเต็มใจให้นางต่างหาก เอาเป็นว่าทองเต็มถุงนี้ถือว่ามากมายเหลือเกินสำหรับคนทั่วไปที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินแล้วใช้จ่ายได้เป็นปีหรือหลายปี แต่ชายตรงหน้ากลับปฏิเสธ “แล้วท่านต้องการสิ่งใด ขอเพียงเอ่ยปาก ข้าจะหามาให้ เพื่อตอบแทนสิ่งที่ท่านทำ” “ข้ายังไม่ทันคิด” “เมื่อวานท่านก็พูดเช่นนี้ มาวันนี้ยังคิดไม่ออกอีกหรือ” ถ้าเช่นนั้นท่านจะมาที่นี่ทำไมกัน นางทำได้เพียงต่อประโยคในใจ จะเอ่ยออกไปก็เกรงว่าจะเสียมารยาท ถึงแม้เขาสมควรได้รับคำถามแบบนั้นก็เถอะ “ตอนแรกข้าคิดออกแล้ว แต่พอเห็นเจ้า ความคิดของข้าก็พลันมลายหายไป ต้องโทษความงามอันชวนตะลึงของเจ้าเสียแล้ว” หลี่อวี้อ๋องใส่น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ลงไปด้วย และนางก็ฟังออก จึงไม่ได้ออกอาการเอียงอายอะไร มีแต่อยากจะต่อปากต่อคำกลับไปก็เท่านั้น เหตุใดหนอ เขาถึงได้จงใจจะกลั่นแกล้งนางนัก ราวกับรู้ว่ายิ่งนางเกรงกลัวบิดาเพียงใด ก็ยิ่งอยากจะแกล้งมากเท่านั้น “ความงามเป็นเหตุจริงเชียว” นางพึมพำแต่ตั้งใจให้คนที่อยู่ตรงหน้าได้ยินด้วย หากเป็นสตรีอื่นคงอายม้วนไปแล้ว แต่นางคือมู่หรง เยว่ชิง รู้ว่าตัวเองงาม จะถ่อมตัวไปทำไม ชายหนุ่มหัวเราะลงลูกคอ ก่อนจะดึงนางเข้ามาใกล้ เป็นเพียงการสัมผัสอันแผ่วเบา ไม่ได้มีความรุกล้ำใด ๆ แต่ทำให้นางถึงกับประหวั่นกับความใกล้ชิดแบบปุบปับ “นี่ท่าน…” “เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าความงามเช่นนี้ สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้อื่นเพียงใด” “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” นางสั่งเสียงแข็งและพยายามขืนตัวออกแต่ทำไม่ได้ ชายหนุ่มทำเป็นหูทวนลมแล้วแกล้งรัดนางแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ท่าน…” พอนางเอ่ยปาก เขาก็รัดนางแน่นขึ้นอีก เยว่ชิงขัดใจ ขบเม้มริมฝีปากแล้วเบือนหน้าหนี ผู้คนใต้หล้าที่เคยยลโฉมนางล้วนพรรณนาถึงความงามนี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยได้ประสบพบเจอก็ยังเอาไปกล่าวขานในบทกวี นางจึงไม่รู้สึกว่ามันคือความพิเศษแต่อย่างใด คิดแค่เพียงว่าเป็นเพราะบิดาซึ่งมีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนัก ทุกคนจึงอยากจะสรรเสริญเยินยอเขาโดยผ่านนาง ซึ่งเป็นบุตรธิดาเพียงคนเดียว แต่เมื่อบุรุษแปลกหน้าที่นางไม่ทราบแม้แต่ชื่อมาพูดแบบนี้เข้านางกลับรู้สึกแปลก ๆ แล้วยิ่งถูกวงแข็นแกร่งกอดรัดอยู่อย่างนี้ ทำไมนางถึงไม่รู้สึกรังเกียจขยะแขยงนะ หัวใจของนางกลับสั่นระรัวเสียนี่ “ท่านช่วยขยับถอยออกไปด้วยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้สงบนิ่ง ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล คงต้องใช้วิธีถนัด “ทำเช่นนี้มีแต่จะเสียมารยาท หากท่านยังนึกไม่ออกว่าต้องการสิ่งใด ก็เชิญกลับไปก่อนเถิด พอท่านนึกได้แล้วค่อยมาบอกข้าดีหรือไม่เจ้าคะ” “นี่คือการไล่กันทางอ้อมหรือ” “ข้าเปล่า แต่ในเมื่อท่านไม่ทราบความต้องการของตัวเอง แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร” นางเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกคำรอบ เมื่อเห็นเขายังทำหน้ายียวน จะเอาอย่างไรก็ไม่เอาสักทาง “ความจริงข้ารู้นะว่าข้าต้องการสิ่งใด” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับจ้องหน้านาง นางกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด เสียงเรียกอันร้อนรนของบิดาก็ทำให้การสนทนายุติลง และนางได้แต่หันไปมองเขาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นความตื่นตกใจฉายอยู่บนใบหน้าของท่านพ่อ “คาราวะหลี่อวี้อ๋อง เสด็จมาถึงนี่มีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ” หลี่อวี้อ๋อง เยว่ชิงหันขวับ มองคนตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหันไปหาเพ่ยเพ่ยที่มีท่าทางไม่ต่างกัน “เยว่ชิง! ท่านอ๋องเสด็จมา เหตุใดเจ้าจึงไม่แจ้งพ่อ” แม่ทัพมู่หรงก้าวเข้ามาประชิดตัว แล้วกระซิบเสียงเครียด “บุรุษผู้นี้...” นางยกมือชี้ไปยังคนตรงหน้า “คือท่านอ๋องหรือเจ้าคะ” นางกล่าวช้า ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่เดี๋ยวนี้” บิดาของนางกัดฟัน ก่อนจะหันมาหาหลี่อวี้อ๋องที่ดูฉากตรงหน้าด้วยใบหน้ากลั้นยิ้ม ทั้งสงสารแม่ทัพมู่หรงที่กลัวตัวเองและบุตรสาวจะคอขาด แต่ก็ขำกับท่าทางตกตะลึงของเยว่ชิงที่เมื่อครู่ยังขู่เขาฟ่อ ๆ “ข้านี่แหละ หลี่อวี้อ๋อง หรือคุณชาย ที่เจ้าเข้าใจไปเองน่ะ” เสียงนุ่มทุ้มแทรกขึ้น นางอ้าปากค้าง แต่แล้วก็หุบปาก พอดีกับที่ถูกบิดาถลึงตาใส่ตาเขียว จึงตั้งสติแล้วย่อตัวลงต่ำจนแทบจะติดพื้น ก่อนจะละล่ำละลักเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่อ่อนลง “ขอพระราชทานอภัยในความโง่เขลาของเยว่ชิงที่บังอาจล่วงเกินท่านอ๋อง หากจะทรงมีพระกรุณา ได้โปรดประทานอภัยโทษแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ” อันที่จริงนางแกล้งนอบน้อมเขาไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่ในใจนางเดือดดาลคนตรงหน้าเป็นอย่างมากที่ปั่นหัวนางอยู่เป็นนานสองนาน “เขาว่ากันว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่หากถึงขนาดไม่รู้ฟ้ารู้ดินเช่นนี้จะทำเยี่ยงไรดี” ผู้มีศักดิ์เป็นท่านอ๋องแกล้วกล่าวเสียงเข้ม “ท่านอ๋องโปรดเมตตา” มู่หรงเซียนหลิวทำท่าจะเข้ามาขอความเมตตาจากผู้ที่ตัดสินชะตาชีวิตของผู้คนได้ในคำเดียว แต่ถูกยกมือห้ามไว้ จึงจำใจถอยกลับไปยืนที่เดิม แม้จะไม่รู้เลยว่าธิดาของเขาไปทำสิ่งใดไว้ หรือหูหนวกตาบอดถึงขนาดไม่รู้ว่านี่คือพระอนุชาองค์โปรดของฮ่องเต้ แต่เขาก็จะต้องออกโรงปกป้องนางด้วยชีวิต “แต่ก็เอาเถอะ เจ้ายังเยาว์นัก ถึงขนาดที่ชอบออกไปเที่ยว...” พูดไม่ทันจบประโยค คนมีชนักติดหลังก็เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เขา แต่พอนึกได้ก็ปรับดวงตาให้เจือแววน่าสงสารอย่างรวดเร็ว นางสบตาเขาด้วยความขอร้องไม่ให้เขาเผยความลับออกไป ทั้งที่ตัวเองไม่อยู่ในจุดที่จะต่อรองสิ่งใดทั้งสิ้น หลี่อวี้อ๋องพลันหัวเราะในใจกับท่างทางเสแสร้งของนาง “กระหม่อมขอบังอาจทูลถามว่าเยว่ชิงน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่ชอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก” คนเป็นบิดาเหงื่อตกด้วยรู้นิสัยของบุตรสาวตัวเองดี ครั้งนี้เกรงว่าจะไปทำอะไรเป็นการล่วงเกินผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าเข้า “ก็...” ชายหนุ่มเว้นจังหวะ มองเยว่ชิงหน้าถอดสีจากเดิมที่ ซีดเผือดอยู่แล้ว ก่อนจะทำเป็นโบกไม้โบกมือ “ข้าอาจจะพูดผิดไป หรือไม่เช่นนั้นคงจำคนผิด” “เห็นจะจำคนผิดเพคะ” หญิงสาวคลายมือที่กำอยู่กับกระโปรง ปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เยว่ชิงอยู่แต่ในเรือน จนถึงขนาดไม่ทราบว่าพระองค์ผู้ทรงสง่าราศีเป็นถึงท่านอ๋อง ทั้งนี้ก็เพราะขาดการออกไปเปิดหูเปิดตาในโลกกว้าง ถึงได้ทำผิดพลาดร้ายแรง ลบหลู่พระเกียรติของพระองค์” ร้ายจริงเชียว ผิดอยู่เห็น ๆ ยังจะพูดให้ตัวเองได้ประโยชน์อีก หลี่อวี้อ๋องนึกเอ็นดูนางนัก แต่ก็อยากจะสั่งสอน จึงอาศัยความได้เปรียบทางบรรดาศักดิ์ชิงความเป็นต่อ “ข้าจะไม่ถือโทษโกรธเจ้า เหมือนที่ข้าไม่ต้องการจะให้มีพิธีรีตองเมื่อข้ามาปรากฏตัวที่นี่ หรือการต้องใช้คำพูดคำจายุ่งยากมากความอะไร เพียงแต่เจ้าจะต้องทำสิ่งหนึ่งให้แก่ข้า” “เชิญรับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ และถ้าเยว่ชิงทำไม่ได้ กระหม่อมผู้เป็นบิดาของนางจะขอรับผิดชอบแทนเอง” “เรื่องนี้ง่ายมาก” เขาจับตัวนางให้ยืนขึ้นเต็มความสูงดังเดิม ก่อนจะบังคับให้สบตา เห็นทั้งความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวย แต่ประกายดื้อดึงก็แทบจะฝังกลบเอาไว้ไม่มิด “อันใดหรือเพคะ” “เจ้าจะต้องสละเวลาทำงานเพื่อแผ่นดินโดยไม่ปริปากบ่น เมื่อใดก็ตามที่ข้าเรียกหา เจ้าจะต้องยินดีมาพบตามคำสั่ง แล้วข้าจะมอบหมายหน้าที่ให้เจ้านำไปปฏิบัติ” จวนทั้งจวนพลันเงียบเสียงลง จากที่สงบเงียบอยู่แล้ว ตอนนี้กลับสงัดกว่าเดิม กระทั่งเข็มตกอาจได้ยิน ทว่าคำสั่งของท่านอ๋องถือเป็น ประกาสิทธิ์ที่อยู่เหนือทุกอย่าง น้ำเสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ แม้แต่ท่าทางก็ยังดูขึงขัง เห็นจะมีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายประกายความพึงพอใจ ต่างจากปกติที่มักเฉยชาจนจับความรู้สึกไม่ได้ มู่หรงเซียนหลิวจับสังเกตนี้ได้ เพราะตัวของหลี่อวี้อ๋องเองจงใจให้ว่าที่พ่อตาเห็นอยู่แล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่คิดว่าหากตนไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างบุตรสาวของตนเองจนเกินไปนัก เขาก็คิดว่าหลี่อี้อ๋องต้องพอพระทัยเยว่ชิงมากเกินกว่าที่คาดเอาไว้ และมันยิ่งแจ่มชัดกว่าวันที่เขาได้พบกับท่านอ๋องครั้งแรกในจวนแห่งนี้ที่เข้ามาคุยกับเขาในเรื่องที่ทำให้ตกตะลึง3245 คำแก้ไข“อย่างเช่นสิ่งใดหรือเพคะ” เยว่ชิงทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจึงเอ่ยปากถาม “อย่างเช่นพูดกับข้าเหมือนตอนก่อนที่เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นอ๋องน่ะ” “อ้อ” นางหลุบตาต่ำ รู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วเรื่องที่หม่อมฉัน…ข้าต้องทำ…อย่างเช่นสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “อย่างเช่นไปช่วยข้าเลือกลูกม้าตัวใหม่” “ลูกม้า!” สองพ่อลูกอุทานแล้วมองหน้ากัน “ใช่ แล้วข้าจะให้เจ้าตัวหนึ่งด้วย เลือกเอาตัวที่แพงที่สุดก็ได้ จะไปหรือไม่ไป” น้ำเสียงของหลี่อวี้อ๋องไม่ใช่การถามความสมัครใจ แต่เยว่ชิงไม่ได้สังเกต นางรีบตอบตกลงเพราะตื่นเต้นที่จะลูกม้าตัวที่แพงที่สุด ก่อนที่บิดาจะเป็นฝ่ายหยิกนางจนเนื้อเขียวแล้วตอบตกลงให้แทน ถึงแม้นางจะงุนงงไม่น้อยว่าการเลือกลูกม้าเป็นการทำคุณให้แผ่นดินไปได้อย่างไร และนางก็ไม่ได้อยากจะไปในที่แบบนั้นกับบุรุษที่เป็นถึงท่านอ๋อง แต่กลับหาเรื่องกลั่นแกล้งนางมาตั้งแต่เมื่อวานก็ตาม แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นใดหลงเหลืออยู่เลย และหากจะคิดปลอบใจตนเอง ก็คงกล่าวได้ว่าอย่างน้อย นางก็จะได้เจ้าม้าน้อยน่ารักกลับมาด้วย “ข้าจะพานางกลับมาก่อนค่ำโดยไม่ทำให้นางเสื่อมเสียเกียร
การฝึกขี่ม้าที่หลี่อวี้อ๋องแอบอ้างจบลงในเวลาไม่นานนัก ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะทำให้หญิงสาวบอบบางเช่นนางจะต้องปวดเมื่อยเนื้อตัว หากหักโหมฝึกฝนจนเกินไป แต่อันที่จริง เขาเพียงแต่คิดว่าการจะเป็นผึ้งที่ได้ดอมดมเกสรดอกไม้ จะต้องระวังไม่ให้ดอกไม้อันสวยงามชอกช้ำ การที่เขาให้เยว่ชิงนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันแล้วเหยาะย่างไปรอบทุ่งเพื่อกินลมชมทิวทัศน์ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับในวันนี้ อีกประการหนึ่ง ในการที่จะทนต่อสิ่งเร้าอย่างเช่นเรือนร่างที่แม้จะอยู่ภายใต้อาภรณ์ปกปิด แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นความเย้ายวนใจได้ เส้นผมนุ่มสลวยดำขลับที่มักจะถูกลมพัดผ่านใต้จมูกของเขา คละเคล้าไปกับกลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนร่างของนางเอง ก็เป็นการยากเหลือเกินที่จะทำจิตใจให้สงบอยู่ได้ “สรุปว่าเอาตัวนี้นะ” เขาถามย้ำ เมื่อเห็นนางลังเลใจในการจะเลือกลูกม้ากลับไปเลี้ยงตามที่เขาได้ลั่นวาจาเอาไว้ เยว่ชิงยกมือลูบจมูกลูกม้าสีขาวท่าทางปราดเปรียวเกินอายุ ก่อนจะเหลียวมองเจ้าตัวสีดำที่อยู่ในคอกถัดไป แล้วหันมามองท่านอ๋องที่ยืนเอามือไพล่หลังรออยู่ “ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางถูกชะตากับเจ้ามาสีขาวตัวนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ถามค
“ข้าพูดจริงนะ เรื่องความงามของเจ้า” เยว่ชิงไม่ตอบอะไร เพียงแต่เม้มปากแน่น มันเป็นการกระทำที่ติดเป็นนิสัย และสร้างความน่าเอ็นดูให้กับนางไปโดยปริยาย “ท่านอย่าชมให้ข้าได้ใจไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ” อันที่จริงนางรู้ตัวและได้ยินได้ฟังจนเบื่อแล้ว คนงามถึงอย่างไรก็งามอยู่วันยังค่ำ “ข้าพูดความจริง เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการชดเชยที่ทำให้เจ้าต้องเก้อในวันนี้ ข้าจะพาเจ้ามาเดินเล่นและทำทุกอย่างที่เจ้าอยากจะทำในครั้งหน้า ตกลงไหม” “ตกลงเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ” “ทีนี้ ข้าจะให้รถม้าไปส่งเจ้ากลับจวน ส่วนข้าจะแยกไปตรงนี้ เพราะธุระของข้าเร่งด่วนมาก จะเป็นอันใดหรือไม่” “จะเป็นอันใดกันเล่าเจ้าคะ ขอเพียงไม่ต้องเดินกลับ ข้าก็พอใจแล้ว” นางกล่าวด้วยเสียงที่ร่าเริงขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี ข้าขอโทษจริง ๆ นะ วันของเจ้าไม่ควรหมดสนุกเพียงเท่านี้” หลี่อวี้อ๋องแตะข้อศอกนางให้เดินกลับไปรอที่หน้าถนน ก่อนจะทำมือให้ฉีฟ่างไปเรียกรถม้ามาให้ “ทำคุณประโยชน์ให้กับทางการ จะสนุกได้อย่างไร” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย “แต่มันก็ไม่ควรต้องน่าเบื่อ เอาละ ไปได้” มู่หรงเยว่ชิงย่อตัว
“ท่านพ่อ ไม่มีทางใดที่จะทำให้พวกเราได้ตามเสด็จหลี่อวี้อ๋องไปด้วยเลยหรือขอรับ” ชายหนุ่มหน้ามนเกาะชายเสื้อผู้เป็นบิดาพลางพูดด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ ขณะที่คนถูกอ้อนวอนกลับรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า เช้าตรู่ของวันใหม่ในจวนท่านแม่ทัพได้ต้อนรับคนสนิทของ หลี่อวี้อ๋อง ที่รีบร้อนมาแจ้งว่าท่านอ๋องต้องการตัวมู่หรงเยว่ชิงให้ไปทำธุระทางราชการด้วยกัน โดยจะเดินทางมาในช่วงบ่ายเพื่อให้นางได้มีเวลาเตรียมตัว ซึ่งนางก็จำต้องตอบรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่ในใจอยากจะอยู่ที่จวนเพื่อดูแลลูกม้าตัวใหม่ของนางโดยไม่ทำอะไรอื่นเลย “มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเราเลยแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะอยากไปทำไม” “ไม่ใช่ได้อย่างไรกัน พี่หญิงของข้าต้องออกไปเสี่ยงชีวิต ตกระกำลำบาก เดินทางระหกระเหิน เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวกับเราโดยตรงนะขอรับท่านพ่อ” “เซียวเฟิง พี่สาวของเจ้าแค่จะออกไปล่องเรือกับท่านอ๋อง!” ท่านแม่ทัพใหญ่ขึ้นเสียงพลางดึงมือบุตรชายคนเล็กประจำตระกูลที่เกาะแขนอยู่ออก กำลังจะเดินหนีไปอีกทาง แต่ก็ยังช้ากว่าลูกอีกสองคนที่ตรงรี่เข้ามาหา “ท่านพ่อ ข้าเพิ่งทราบว่าพี่หญิงจะออกไปเผชิญอันตรายข้างนอก เราจะ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ นางไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้เลยว่าหลี่อวี้อ๋องเป็นอย่างไรกันแน่ เขาจะแค่หาเรื่องแก้เบื่อโดยการลากนางไปทั่วทั้งเมือง หรือโกรธที่นางไปลบหลู่ดูหมิ่นตนเข้า จึงอยากจะทรมานนางให้พบเจอกับความยากลำบากของการต้องทำงานเพื่อไถ่โทษกันแน่ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่นางแอบสงสัย งานที่ท่านอ๋องว่านั้นว่ากันตามตรงไม่สร้างความลำบากให้นางแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำนางยังสนุกสนานเพลิดเพลินที่ได้ออกจากจวนอีกต่างหาก หรือความจริง…พอนึกมาถึงตรงนี้นัยน์ตาดอกท้อก็เบิกโตขึ้น หรืออาจจะเป็นแบบที่เพ่ยเพ่ยว่า คือท่านอ๋องสนใจในตัวนาง แบบที่บุรุษทุกผู้ทุกนามให้ความสนใจ แม้นนางไม่ใช่คนหลงตนเองนัก แต่ก็รู้ดีว่าผู้คนมากมายพากัน ชื่นชมความงามนี้ แต่หลี่อวี้อ๋องผู้ซึ่งอยู่ในรั้วในวัง เจอสาวงามนับร้อยนับพัน ขอแค่ไม่ใช่คนในพระประสงค์ของฮ่องเต้ จะชี้นิ้วเลือกใครก็ได้ทั้งนั้น จะสนใจนางได้อย่างไร แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็จะถือได้ว่ามีผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินถึงสองคนมาติดพัน หนึ่งคือองค์ชายชาง ซึ่งบิดาเคยเปรยเอาไว้ หรือสองคือท่านอ๋อง ผู้ที่นั่งมองนางไม่ละสายตาอยู่ในตอนนี้ เพียงแต่ว่า…กับเขาผู้นี้…ค
คนแจวเรือยืนทำหน้าที่แข็งขันให้เรือล่องไปได้เรื่อย ๆ ท่ามกลางกระแสน้ำสงบและลมพัดแผ่วให้ความรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลาย เยว่ชิงแหงนหน้ามองดวงดารากระจัดกระจายบนท้องฟ้าสีหมึก ขณะที่หลี่อวี้อ๋องก็มองนางอย่างเพลิดเพลิน “ดูท่าเจ้าจะชอบออกมาข้างนอกมาก” “ข้าชอบที่จะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ เจ้าค่ะ” “ก็คิดว่าชอบออกมาซื้อของเสียอีก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ก็ท่านเป็นฝ่ายบอกให้ข้าหาเหตุผลที่ควรจะซื้อ หากเห็นว่าเข้าท่าก็จะซื้อให้ ตอนนี้จะมาบ่นย้อนหลังไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ” น้ำเสียงนางแง่งอนเล็กน้อย แต่คนฟังกลับมองว่าน่ารัก “ข้าไม่ได้บ่น” เขายิ้มละมุน “แล้วเราได้ข้อมูลอะไรมาบ้างหรือไม่จากการเล่นเป็นคู่รักกันเช่นนี้” วันทั้งวันนางไม่เห็นท่านอ๋องจะทำสิ่งใดนอกจากโอบเอวหรือโอบไหล่นางเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ช่วยนางเลือกของ ควักเงินจ่าย นางไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ แม้แต่น้อย “ได้สิ แต่ข้าคิดว่ามันจับตาดูเราอยู่โดยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ท่านเห็นมันหรือเจ้าคะ” นางตกใจอยากรู้ “แม้แต่คนแจวเรือข้ายังสงสัยเลย” เขาพูดให้นางกลัวซึ่งก็ได้ผล ดรุณีน้
“อันใดหรือ” “ต้องทำงานอย่างหนักและเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้” “เจ้าคิดว่าคนเป็นอ๋องทำเพียงแค่กินกับนอนหรืออย่างไร” ด้วยความที่น้ำเสียงของเขาไม่ได้เจือความโกรธเกรี้ยว เยว่ชิงจึงกล้าพูดมากขึ้น “เจ้าค่ะ และมีแต่หญิงงามรายล้อมรอบกาย” “ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องไร้สาระ ส่วนเรื่องผู้หญิง หากข้ารู้สึกพอใจใครจริง ๆ แล้วละก็ ข้าก็คงไม่ชายตาแลคนอื่นอีกต่อไป” นางผ่อนลมหายใจเบา ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องโล่งใจกับคำตอบนั้นก็ตาม “เจ้าอยากตัดชุดใหม่หรือไม่” เยว่ชิงยังคงงุนงงกับคำถามปุบปับ เขาจึงถามย้ำอีกรอบ “ข้าชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่เพียงแต่ชอบสวมใส่ แต่ยังใส่ใจเรื่องเนื้อผ้า การออกแบบและการตัดเย็บด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้าไม่ชอบอยู่เฉย ๆ สินะ” “ข้ามักจะเบื่อหน่ายจนต้องหาอะไรทำอยู่บ่อย ๆ ในวันข้างหน้าเมื่อม้าของข้าโตพอ ข้าคงจะได้ขี่มันไปยังที่ต่าง ๆ” ขณะพูดใบหน้าของนางเคลิ้มฝัน ดวงตาเป็นประกาย “แล้วบิดาของเจ้าจะยอมหรือ” “พี่น้องข้ามากกว่าที่จะห้าม แต่ข้าค่อยแอบไปตอนพวกเขาไม่อยู่ก็ได้” นางตอบอย่างมุ่งมั่น “แต่หากแต่งงาน เจ้าก็ต้องทำตั
ตลอดชั่วชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบของมู่หรงเย่วชิง นางสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตัวเองมีวันอันงดงามมากมายเกินกว่าจะนับได้ แต่เมื่อนางเห็นของที่กองอยู่ตรงหน้า พร้อมด้วยช่างตัดเสื้อกับพับผ้าที่เรียงกันเป็นตั้งของเขา นางก็สามารถสรุปได้อย่างง่ายดายว่านี่คือช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดมากกว่าวันไหน ๆ เลยทีเดียวความจริงก็อาจจะตัดสินยากอยู่สักหน่อย หากนึกไปถึงของที่องค์ชายชางพระราชทานให้เมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งกองพะเนินเทินทึกส่องประกายวับวาวราวกับรัศมีของแสงอาทิตย์กระจายอยู่ในห้อง แต่เยว่ชิงก็แทบลืมไปแล้วเมื่อมีเรื่องของหลี่อวี้อ๋องให้ต้องขบคิดในหลายวันที่ผ่านมานี้อันที่จริง นางออกจะเอนเอียงไปทางท่านอ๋องเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะเขามีรสนิยมดี ในอันที่จะรู้ว่าหญิงสาวควรจะแต่งกายอย่างไร หรือเครื่องประดับชิ้นไหนเหมาะกับชุดเหล่านี้ และจับคู่มาอย่างพิถีพิถัน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง“ท่านอ๋องทรงเลือกของทุกอย่างด้วยพระองค์เองจริงหรือ” นางถามช่างตัดเสื้อวัยสี่สิบปลาย ๆ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือว่าจะตัดชุดสวยงามออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในเมื่อชุดท