คืนเดียวกันนั้นเผิงอี้หรูได้รับรายงานจากสาวใช้ของนางว่าแผนการส่งอาหารเข้าไปยังเรือนของพระชายานั้นสำเร็จแล้ว หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มระรื่นอย่างยินดี ก่อนจะเฝ้ารอฟังข่าวดีจนแทบทนไม่ไหว"คืนนี้ข้าจะแช่ตัวนานเสียหน่อย เจ้าอย่าลืมหยดน้ำอบกลิ่นใหม่ที่ข้าพึ่งได้มาลงไปในน้ำเสียด้วย""เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"หลังจากที่สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นให้นางเสร็จ เผิงอี้หรูก็ออกปากไล่นางออกไปคืนนี้หญิงสาวอยากจะใช้เวลาอยู่กับตนเองให้มากหน่อย ทั้งยังคิดเผื่อในวันรุ่งขึ้นมาว่าตนเองควรจะทำสีหน้าเศร้าเสียใจอย่างไรดีจึงจะยังคงความงดงามเอาไว้ได้"พรุ่งนี้ข้าควรสวมเสื้อผ้าสีใดดีนะ? ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นเช่นนี้จวนแห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่ข้าแล้ว จะจัดการเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว"เผิงอี้หรูรู้สึกมีความสุขยิ่ง เมื่อนึกภาพในวันรุ่งขึ้นที่สองแม่ลูกนั้นหมดลมหายใจไปพร้อม ๆ กัน"ใครใช้ให้เจ้าตายยากตายเย็นนักเล่า จะกล่าวโทษข้าไม่ได้จริง ๆ"เผิงอี้หรูแช่อยู่ในน้ำนานกว่าปกติก่อนที่หญิงสาวจะรู้สึกว่าน้ำในถังเริ่มเย็นจึงได้ลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากถังแล้วสวมเสื้อผ้าตัวบางพร้อมนอน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น จาก
"นายหญิงจะไปที่เรือนนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามนายสาวด้วยความไม่แน่ใจ แม้จะรู้ดีว่าอนุเผิงหาได้ติดโรคระบาดไม่ หากแต่สภาพของนางในตอนนี้ก็ช่างไม่น่าพิสมัยยิ่ง ตุ่มหนองขึ้นเต็มทั่วร่างกายแม้ยามนอนก็ได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความทุกข์ทรมาน"เจ้ากลัวหรือ" เมิ่งจิ่วซือหันไปถามสาวใช้ของนาง"ไม่กลัวเจ้าค่ะ เพียงแค่รังเกียจเท่านั้น ที่นั่นไม่สะอาดเลยสักนิดบ่าวว่านายหญิงอย่าไปเลยเจ้าค่ะ""ข้าอยากจะเห็นนางสักครั้ง อยากจะรู้ว่าชีวิตที่เอาแต่ทำร้ายคนอื่นมาตลอดเช่นนาง ยามที่ตกอยู่ในสภาพที่อยู่ไม่สู้ตายแล้วนางจะมีความรู้สึกเช่นไร" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยพร้อมกับประกายดวงตาที่วาวโรจน์ ชีวิตที่สร้างศัตรูเอาไว้มากมายเช่นนั้น สุดท้ายจุดจบก็คงไม่ต่างจากที่เป็นอยู่นางควรได้รับบทเรียนอย่างสาสม"ไปกันเถอะ""เจ้าค่ะ"เมิ่งจิ่วซือเดินตรงไปยังเรือนของเผิงอี้หรู หน้าเรือนและรอบ ๆ เรือนมีคนคุ้มกันอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาไปได้"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ข้ามาเยี่ยมอนุเผิง" ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนหันมามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะรีบเปิดประตูให้หญิงสาว พร้อมกับบังอาจเอ่ยเตือนนางเล็กน้อย"พระชายาได้โป
เมิ่งจิ่วซือยังคงรู้สึกว่านางและบุตรสาวมาอยู่ที่เจียงหนานได้เพียงไม่นานจริง ๆ แต่วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็กลับเข้าสู่เหมันต์ฤดูอีกครั้งอีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว หวาหวาที่ในตอนนั้นเพียงสองขวบปีมาถึงตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่สามขวบ เขาถึงว่ากันว่าความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอเมิ่งจิ่วซือลองคิด ๆ ดูแล้วว่านางควรจะกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกสักรอบหนึ่ง เพื่อบอกลาทุกคนที่นั่นและรับตัวคนของนางมาอยู่เจียงหนานเป็นการถาวร อย่างไรก็ตามเรื่องที่นางจะต้องปกป้องดูแลรั่วหวาไปจนกว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ก็ยังเป็นภารกิจที่หนักหนาจะมามัวแต่เขินอายมิได้ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนางและเป่ยติ้งหรงอ๋องแม้จะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับตนเองก็ตาม แต่เพราะนางไม่ต้องการหลอกลวงเขาจึงได้เว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้อยู่ในฐานะของคนรู้จักที่ไม่เคยเปลี่ยนเป็นคนรู้ใจได้อีก นางไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหากการที่นางดำเนินความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเขาต่อไปหญิงสาวเองก็รู้สึกไม่สบายใจ มันไม่เหมือนกับความรักของแม่ลูกที่ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น หากวันหนึ่งเขาได้ค้นพบว่านางนั้นไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหา
เมิ่งจิ่วซือพาบุตรสาวเดินทางกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ยามที่เดินทางมาถึงไห่หมัวมัวและเกาหมัวมัวต่างก็ดีอกดีใจ ก่อนจะรับตู๋กูรั่วหวาที่โตขึ้นมากไปดูแลทันที จากไปหลายเดือนแต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ในยามที่รถม้าจอดเทียบหน้าเรือนไม่นานก็มีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนหากแต่มิใช่ใครที่ไหนแต่ก็เป็นป้ากัวคนเดิม"นายหญิงเมิ่งกลับมาแล้วหรือ?" กัวอวิ๋นเอ่ยถามองครักษ์จางที่ทำหน้าที่ยกข้าวของเข้าเรือน"กลับมาแล้วขอรับ" จางเซียงอวี้ที่พอรู้จักกับกัวอวิ๋นจึงตอบนางไป ก่อนที่อาฉือที่เดินมาพอดีพบเข้า"อ้าว แม่นางอาฉือ สบายดีหรือ?""สบายดีเจ้าค่ะ ท่านป้ามีธุระอันใดงั้นหรือ?""เปล่า ๆ ไม่มีอันใดเพียงแต่เห็นว่านายหญิงเมิ่งไม่อยู่เสียนานเลยอยากจะแวะมาทักทาย""เช่นนั้นเชิญท่านเข้าเรือนก่อนเถิด" อาฉือเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายเข้าเรือน เพราะยามที่เดินทางกลับมาที่นี่เมิ่งจิ่วซือย้ำให้พวกนางเป็นมิตรกับคนในหมู่บ้านเสียหน่อย อาฉือจึงได้มีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนอยู่หลายส่วนกัวอวิ๋นที่เห็นว่าตนเองได้รับการต้อนรับก็รู้สึกยินดีตามประสาหญิงวัยกลางคนที่อยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงา เดิมทีสามีของนางนั้นเป็นทหารเพียงแต่เสียช
เมิ่งจิ่วซือที่เพิ่งกลับมาได้เพียงสองวันก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย วันนี้เป็นวันที่นางจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของแม่นางชุยฟางบ้านท่านผู้เฒ่า แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากเรือนอยู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาก่อนจะจอดเทียบบริเวณหน้าเรือนของนาง เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถม้าชายผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมหางโจวเนื้อดีราคาแพง ส่งผลให้รูปร่างที่สูงโปร่งของเขายิ่งขับเน้นให้ดูดียิ่งขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาทำให้เป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มราวกับว่ารู้จักกับนางมาก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"ท่านคงจะเป็นแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?" เมิ่งจิ่วซือเลิกคิ้วก่อนจะแก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายให้ถูกต้อง"รบกวนเรียกข้าว่าฮูหยินเมิ่งเถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่เหมาะสมหากว่าท่านจะเรียกขานเช่นนั้น" หญิงสาวกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย"อ้อ ข้าต้องขออภัย""ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วมาที่นี่มีธุระอันใด" เมิ่งจิ่วซือไม่อยากอ้อมค้อม"ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่าเสิ่นชิงหลวน""เสิ่นชิงหลวน คุณชายใหญ่เสิ่นน่ะหรือ
ตู๋กูรั่วหวาตื่นนอนกลางวันขึ้นมาอย่างงัวเงีย เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งบนเตียงดวงตาของนางยังคงหนักอึ้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งทำเอาเกาหมัวมัวที่เห็นท่าทางขี้เซาของคุณหนูน้อยของนางถึงกับขบขันอย่างเอ็นดู"คนดีของบ่าวตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อมารออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ" เกาหมัวมัวเอ่ยกับเด็กน้อย แต่เมื่อรั่วหวาที่ได้ยินว่าบิดาเดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้วก็ถึงกับแปลกใจ ก่อนจะคิดว่านี่พึ่งผ่านไปเพียงแค่สองวันเองไม่ใช่หรือ? เหตุใดบิดาของนางจึงได้มาเร็วนัก เด็กน้อยเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะแสร้งเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น"ท่านพ่อมาแล้วงั้นหรือ?""เจ้าค่ะ" หญิงชราพยักหน้าอาเป่ายกอ่างน้ำเข้ามาพอดีก่อนที่เกาหมัวมัวจะใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำพร้อมกำลังตั้งท่าที่จะเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวให้กับเด็กน้อยแต่รั่วหวาปฏิเสธ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นมาเช็ดใบหน้าของตนเองด้วยท่าทางราวกับไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบปี แล้วส่งคืนผ้าผืนนั้นให้กับเกาหมัวมัว จากนั้นปีนลงจากเตียงด้วยตนเอง"คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?" อาเป่าเอ่ยถามคุณหนูน้อยของนางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้อง"ไปหาท่านพ่อน่ะ" กล่าวจบเด็กน้อยก็เดิน
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นานสายลมก็พัดพาเอาความหนาวเข้ามาพร้อมกับการเข้าสู่เหมันต์ฤดูอย่างเป็นที่เรียบร้อย หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีที่ก่อนหน้าที่หิมะจะตกเพียงแค่หนึ่งเดือน เป่ยติ้งหรงอ๋องก็นำช่างฝีมือเข้ามาซ่อมแซมเรือนทั้งหมด ทั้งยังเพิ่มเตียงเตาให้กับทุกคนรวมถึงสาวใช้และเหล่าองครักษ์ไม่เว้นแม้แต่เรือนรับรองที่ถูกสร้างเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรือน แม้ว่าจะมีเสียงห้ามปรามจากหญิงสาวแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจฟังคำนางเลยแม้แต่น้อยอีกไม่นานก็จะย้ายไปอยู่ที่เจียงหนานแล้วเหตุใดจะต้องทำโน่นทำนี่ให้เสียเงินเปล่าด้วยเล่า ยามที่นางเอ่ยบ่นเขาก็มักจะมีคำโต้แย้งกลับมาเสมอ เช่นว่า ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ได้ย้ายก็เพียงซ่อมแซมให้ดี หากย้ายแล้วภายหน้าอยากจะมาเที่ยวพักผ่อนก็จะได้อยู่ได้อย่างสบายใจ เมื่อได้ยินคำแก้ต่างเช่นนั้นเมิ่งจิ่วซือก็ไร้ซึ่งเหตุผลจะกล่าวต่อหลายวันมานี้หิมะตกหนักจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ทุกเช้าจึงต้องให้ทุก ๆ คนในเรือนออกมาช่วยกันกวาดหิมะออกจากทางเดิน ส่วนนางและบุตรสาวก็ดูจะสนุกสนานกับการปั้นตุ๊กตาหิมะเป็นอย่างมาก กองหิมะที่ดูเหมือนไร้ค่าในตอนแรกเริ่ม เวลาต่อมาก็กลายเป็นสวนตุ๊กตาหิมะที่ม
เช้าวันต่อมาเมิ่งจิ่วซือลุกขึ้นเตรียมตัวตั้งแต่ฟ้ามืด นางให้หมัวมัวทั้งสองช่วยทำสำรับที่เอาไว้ใช้ทานในช่วงกลางวัน อาหารถูกเตรียมเอาไว้เป็นจำนวนมากเพียงพอต่อจำนวนคนสิบถึงยี่สิบคน หญิงสาวไม่ได้คิดที่จะไปเที่ยวสนุกเพียงแค่สามคนพ่อแม่ลูกแต่รองเท้าที่เตรียมไว้ยังมีเผื่อแผ่ถึงสาวใช้ทั้งสองและองครักษ์อีกหลายคู่เป่ยติ้งหรงอ๋องอุ้มบุตรสาวที่ตอนนี้สวมชุดกันหนาวที่มารดาตัดให้ ผ้าไหมสีแดงมีหมวกคลุมหัวตรงบริเวณชายเสื้อและบริเวณขอบหมวกตกแต่งด้วยขนจิ้งจอกนุ่มนิ่ม แขนทั้งสองข้างของนางโอบรอบลำคอของบิดาพร้อมกับซบหน้าลงที่ไหล่ของเขาเมิ่งจิ่วซือที่เดินออกมาถึงหน้าเรือนจึงได้เอ่ยถาม"เหตุใดจึงไม่ขึ้นไปรอบนรถเจ้าคะ""ข้ากับลูกรอเจ้า" ชายหนุ่มเอ่ยออกมาก่อนจะก้มหน้าอมยิ้ม ท่าทางของเขาทำให้เมิ่งจิ่วซือรู้สึกหงุดหงิดเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ก่อนจะก่นด่าเขาในใจหึ คนเจ้าเล่ห์แอบหลอกกินเต้าหู้นาง"เช่นนั้นก็รีบขึ้นรถม้ากันเถิดเจ้าค่ะ อากาศด้านนอกเย็นนัก""อื้ม หวาหวาพวกเราขึ้นไปบนรถม้ากันเถอะ""เจ้าค่ะ" เด็กน้อยพยักหน้ารับในขณะที่ทุกคนกำลังที่จะเตรียมตัวออกเดินทางอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า
เผิงฮองเฮายืนมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและฮ่องเต้แห้งแคว้นต้าซ่งด้วยแววตาเรียบนิ่ง ภายหลังจากวันที่นางเริ่มต้นที่จะดำเนินแผนการในขั้นตอนสุดท้าย นางก็ได้สั่งให้ยายเฒ่าลู่อาหลางวางยาพิษแก่ฝ่าบาทก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มป่วยลงแล้วนางก็ว่าราชการหลังม่านแทนในวันนี้จะเป็นการประกาศราชโองการแต่งตั้งให้โอรสองค์รองของนางขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ก่อนที่จะมีคำสั่งตัดสินโทษเป่ยติ้งหรงอ๋องในคราวเดียวกันไม่ว่าอย่างไรโอรสองค์โตผู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้"ท่านพ่อมีคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง" เผิงฮองเฮาเอ่ยกับหมัวมัวคนสนิท"นายท่านให
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มไม้มานานกว่าชั่วยาม นางไม่กล้าเสี่ยงออกไปจากตรงนี้เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาแล้วพบนางและน้องชายเข้า หากเป็นเช่นนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีคงไม่อาจต่อสู้กับทหารเหล่านั้นได้เป็นแน่ มิสู้อยู่รั้งรอตรงนี้ให้ท้องฟ้ามืดลงสักหน่อยแล้วค่อยออกจากที่ซ่อนจะดีเสียกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืดลงจ๊อกกกแต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น ตู๋กูรั่วหวาหันหน้ากลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเห็นน้องชายตัวน้อยนั่งทำตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดู พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บ่งบอกว่าหิวมากแล้ว
หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องถูกเชิญตัวไปที่ศาลอาญาเพียงชั่วยามอยู่ ๆ ก็มีเหล่าทหารรักษาเมืองจำนวนมากเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องของนางเอาไว้"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจวนอ๋องเพคะ" อาฉือเข้ามารายงานนายหญิงของตนหลังจากที่มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรักษาเมืองเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้าออกได้"ปิดล้อมจวนงั้นหรือ? ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นเช่นไรบ้าง""ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกจวนได้เลยเพคะ ในตอนนี้จึงยังไม่ทราบว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" อาฉือเอ่ยรายงาน"ให้องครักษ์ที่ท่านอ๋องทิ้งไว้หาทางติดต่อกับคุณชายเสิ่นและท่านชายอันชิงที่อยู่นอกประตูเมือง""เพคะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ"ขณะนั้นเกาหมัวมัวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนใบหน้าของหญิงชรามีท่าทางตื่นตระหนก"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?""เชิญพระชายาเสด็จออกไปดูด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ มีราชโองการมาเพคะ""ราชโองการ?" เมิ่งจ
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!อู่หมัวมัวรีบไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดเมื่อเห็นว่าเผิงฮองเฮากำลังจะอาละวาด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นหรือมาได้ยินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"บุตรชายตัวดีของข้าอีกแล้วหรือ?""ฮองเฮาทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ จะต้องมีทางแก้ไขอย่างแน่นอน" อู่หมัวมัวเอ่ยปลอบนายหญิงของตนเมื่อตอนกลางวันที่ยายเฒ่าลู่อาหลางได้เริ่มทำพิธีไสยเวทนั้นจู่ ๆ ก็ม
หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พายุฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมิ่งจิ่วซือรับผ้าจากมือสาวใช้ขึ้นมาซับที่ผมของลูก ๆ ของนาง สามีจึงได้เอ่ยขึ้น"เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปที่ใดเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา" กล่าวเสร็จเป่ยติ้งหรงอ๋องก็หันหลังเตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าหากแต่ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกจึงได้หยุดแล้วหันกลับมามอง"ท่านพี่!""หืม มีอันใดงั้นหรือ?""
วันงานพิธีด้วยเพราะฝนตกลงมาแล้วหากแต่งานพิธีได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทำให้การจัดงานพิธีขอฝนกลายเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองและขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานฝนแทน ยังคงมีการร่ายรำของเหล่าเทพธิดาทั้งหลายโดยชุดการแสดงนั้นมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำที่อ่อนช้อยตามที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนักในงานพิธีวันนี้จัดขึ้นที่ลานประลองนอกวังหลวงขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะระดับใดล้วนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้ ทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้เช่นกันโดยจะถูกจัดพื้นที่ให้อยู่กันคนละส่วนกับเหล่าขุนนาง ซึ่งในบรรดาขุนนางก็ยังถูกจัดที่นั่งให้ตามลำดับขั้นและตำแหน่ง
วันงานคัดเลือกเทพธิดาล้วนได้รับความสนใจจากเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั่วทั้งเมืองหลวง ด้วยว่าต้องการให้ลูกหลานของตนนั้นมีหน้ามีตาเพิ่มมากขึ้นหากแต่ข่าวการมาถึงเมืองหลวงของเป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นดูจะได้รับความสนใจยิ่งกว่า เมื่อขบวนรถม้ายาวนับลี้เดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาเหล่าทหารนายกองต่างพากันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจสิ่งใดก่อนระหว่างการที่เป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นเสด็จมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหรือควรตื่นตกใจเรื่องที่เมื่อขบวนรถม้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องมาถึงเมืองหลวงท้องฟ้ากลับตั้งเค้าเมฆฝนดำทะมึนก่อนจะโหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักในไม่กี่เพลาต่อมา ทำเอาประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญพระบารมีของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่มีต่อแคว้นต้าซ่ง ทั้งยังมีข่าวลือว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริงสร้างความไม่พอใจให้กับเผิงฮองเฮาที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮามีรับสั่งให้หมอเทวดาลู่อาหลางเข้าให้การรักษาฝ่าบาทจนกระทั่งหลายวันผ่านไปอาการของฝ่าบาทก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้ในตอนแรกเหล่าบรรดาหมอหลวงจะมีการคัดค้านหากแต่เมื่อเวลาต่อมาพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกันอีก แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้สึกคับข้องในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผยต่อพวกเขาก็ตามหากแต่สุดท้ายเพราะอำนาจของตระกูลเผิงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องเงียบปากไปเสียดื้อ ๆ ทางด้านหมอหลวงที่ให้การรักษาฝ่าบาทมาตลอดเองก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก หมอเทวดาลู่อาหลางผู้นั้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดรักษาฝ่าบาทจึงได้ดีวันดีคืนราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่มากแต่เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนกระทั่งในวันหนึ่งที่ต
ทางด้านวังหลวง แคว้นต้าซ่งหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่นชุลมุนเพราะสาเหตุที่อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็เกิดอาการประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ยังหาสาเหตุมิได้"เป็นเช่นไร ฝ่าบาทป่วยเป็นอันใดกันแน่?""ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทชีพจรไม่คงที่ ลมหายใจแผ่วเบา น่าจะเกิดจากการสะเทือนพระทัยเรื่องข่าวลือของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงที่เดิมทีก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่อาการที่ตรวจพบก็เป็นเช่นที่เขากล่าวทูลฮองเฮาไปจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับข่าวลือของเป่ยติ้งหรงอ๋องไม่มากก็น้อย