“คนทำงานอย่างพวกผมก็อย่างนี้แหละ อีกอย่างผมบอกหลายครั้งแล้วว่าห้ามติดต่อมา โดยเฉพาะเวลาทำงาน เพราะผมยุ่งมากจ้ะ เห็นไหม พอไม่ฟังกันก็ต้องมาอารมณ์เสีย”
“หนูคิดว่าเป็นผู้หญิงของคุณซะอีก แต่ถึงใช่ก็ไม่สน วันนี้ไหนๆ คุณก็มาแล้ว หนูไม่ให้กลับไปง่ายๆ แน่ หนูเปิดห้องไว้แล้วค่ะ คืนนี้ใครจะรอคุณอยู่ก็เตรียมตัวรอเก้อไปได้เลย” กรี๊ด! ไม่ไหวแล้ว ทุเรศที่สุด ที่ทางออกตั้งเยอะ ยังมาเลือกจู๋จี๋กันอยู่บนหัวฉันนี่นะ! พราวพิชชาหายใจถี่ เมื่อสดับรับฟังจนมั่นใจว่าแหล่งเสียงกระซิบระริกระรื่นนั้นดังอยู่เหนือศีรษะเธอ...มันจ่อใกล้นิดเดียว...ยังดีนะที่มีพุ่มไม้เตี้ยๆ ในกระถางวางประดับกั้นไว้พอพรางสายตา ไม่อย่างนั้นภาพอุจาดก็คงตามจ่อให้เธอเห็นเต็มๆ ด้วยแน่ หญิงสาวกลั้นอารมณ์เดือดปุดไว้ เมื่อนึกต่อว่าชายหญิงที่กำลังพลอดกัน ไม่ใช่คู่รักหวานชื่น แต่ฟังดูเหมือนว่าเป็นพวกหนีเมียมาหาผู้หญิงนอกบ้านเสียมากกว่า... “ใครรอกันจ๊ะ ไม่มี บอกกี่ครั้งก็ไม่เชื่อกัน” เสียงห้าวกระซิบยังดังตามมา มือเรียวของพราวพิชชากำแน่น ยิ่งฟังถ้อยคำมากเข้า เธอก็ยิ่งรู้สึกขนลุกขนชัน จนเกินสุดจะทนต่อได้อีก ให้ตายเถอะ ถึงไม่เคยมีประสบการณ์ตรง แต่เธอก็เกลียดเรื่องทรยศหักหลังพวกนี้จริงๆ! ร่างบางลุกขึ้นยืนพรวด นึกอยากจะพาตัวเองออกจากบรรยากาศชวนสะอิดสะเอียนนี้เต็มทน เพล้ง... “ว้าย!” พราวพิชชาผงะ เมื่อเสียงหวานฉอเลาะเปลี่ยนเป็นดังแผดจนแสบแก้วหู ก้มมองบนพื้นจึงเห็นว่าแก้วเครื่องดื่มอะไรสักอย่างตกแตกกระจาย และเมื่อเลื่อนสายตาขึ้นสูง ภาพที่เห็นกลับทำให้เธอต้องนิ่งงัน กะพริบตาถี่ “เป็นบ้าหรือไง จู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมา ตกใจหมด คิดว่าผีหลอก” เจ้าของเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ถามเสียงแหว แต่ไม่อาจดึงความสนใจของพราวพิชชาไปหาได้ สายตาของเธอจับจ้องอยู่กับผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดคนทำงานด้วยเชิ้ตแขนยาวและกางเกงสแล็ก...ดูสุภาพ และดวงหน้าคมคายที่แม้จะอยู่ในเงาสลัว มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟตรงระเบียงส่องห่างๆ แต่เธอก็จดจำได้แม่นยำ ยิ่งจ้องมอง กวาดสายตาสำรวจทั่วร่างนั้นเท่าไร มันก็ยิ่งใช่...ใช่จนพราวพิชชาไม่ต้องขยี้ตามองซ้ำ “นี่คุณเองหรือ” หล่อนครางถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ...แม้สายตาจะยืนยันว่าสิ่งที่เห็นนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม “ไม่...คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง” ความรู้สึกขัดแย้งเกิดขึ้นในหัวของพราวพิชชา หล่อนมองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง และเจ็บปวดแทนกัน... “แล้วนี่เธอเป็นใคร ถึงมายืนจ้องพวกเราอยู่ได้” สมองอื้ออึงไปหมด ไม่รับรู้ต่อคำถามของผู้หญิงคนนั้น ความสนใจของเธอยังอยู่ที่ผู้ชายซึ่งยังยืนจ้องสบตากันอย่างไม่สะทกสะท้านพราวพิชชายิ่งแค้นเคืองใจ เมื่อคิดว่าเขาคงทำอย่างนี้จนชินชาแล้วสินะ...ถึงไม่ตกใจ ไม่รู้สึกว่ากำลังทำผิดอยู่เลย! “ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ คุณรู้จักหรือเปล่า” พราวพิชชามือสั่น เนื้อตัวสั่นเทิ้มไปหมด คิดไม่ออกว่าอยากจะได้ยินคำตอบใดดังออกมา แต่เมื่อเขายังปิดปากเงียบ...หล่อนก็ไม่อาจทนอยู่กับเหตุการณ์บ้าบอนี้ได้อีก หากหล่อนก็ยังเหลือสติ ก้มคว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางบนโต๊ะเล็กใกล้เก้าอี้สานที่เอนนอนเมื่อครู่ติดมือขึ้นมา แล้วหันกายพรืด ก้าวออกห่างจากหญิงร้ายชายเลวคู่นั้น แต่แค่ไม่กี่ก้าว สองเท้าของหญิงสาวก็ถูกตรึงเอาไว้กับที่...ถ้อยคำที่ลอยตามมาทำให้สติที่พอจะควบคุมได้นั้นหลุดผึงลง “ไม่รู้สิ ผมไม่รู้จัก ผู้หญิงบ้าที่ไหนก็ไม่รู้” หล่อนหันขวับไปมองสองคนที่ยังยืนเด่นอย่างหน้าไม่อาย ฉวยวัตถุใกล้มือ...ไม่สนใจละว่ามันเป็นอะไร แล้วสิ่งนั้นก็ปลิวปะทะร่างสูงใหญ่อย่างเหมาะเหม็ง “ไปตายซะ ผู้ชายทรยศ!” เสียงกรีดดังอย่างคนกำลังโกรธสุดขีด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหลุดออกจากปากเธอได้อย่างไร ตลอดมาพราวพิชชาควบคุมตัวเองได้เสมอ แต่คราวนี้มันเกินไปจริงๆ แล้วเสียงตึงใหญ่ คล้ายวัตถุหนักตกกระแทกพื้นก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงโหยหวนคล้ายคนเจ็บเจียนตาย พราวพิชชาไม่หยุดมองเหตุการณ์นั้น หล่อนจ้ำเท้าออกมาเมื่อเห็นว่าพนักงานรีสอร์ตวิ่งหน้าตื่นจากอีกด้าน ตามมาด้วยใครต่อใครก็ไม่รู้ ในระยะไกลๆ เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของผู้หญิงยังแว่วมาให้ได้ยิน ประสานด้วยเสียงห้าวร้องโอดโอย ถ้าพราวพิชชาจะหยุดฟังสักนิด ถ้อยคำของพวกเขาคงทำให้หล่อนตกใจซ้ำอีกรอบ...“โอ๊ย! เจ็บ มือหนักเป็นบ้า เป็นหมอหรือหมากันแน่วะ จะขย้ำแผลฉันซ้ำหรือไง” เสียงโอดครวญจากผู้ชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อคลุมนอนตัวเดียวดังขึ้น เมื่อหมอหนุ่มเสร็จภารกิจปิดแผลบนขมับให้ แล้วเจ้าตัวก็ผ่อนลมหายใจตาม หากดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงทอประกายกล้า“แผลเย็บเสร็จแล้ว แค่สองเข็ม โวยวายยังกับโดนระเบิดถล่ม”“มันเจ็บใจโว้ย ไม่มาเป็นฉัน ไม่รู้หรอก” คนเจ็บมองคนสบประมาทตาขวาง พร้อมโต้ด้วยเสียงกัดฟันกรอด “เล่าได้หรือยัง นายไปโดนใครตีหัวมา” หมอแฟรงค์หรี่ตามองคนที่ตนไปหามปีกมาจากจุดเกิดเหตุ แล้วพามาส่งถึงห้องพักส่วนตัวชั้นบนสุดของโรงแรมหรูกลางเมืองเชียงราช ด้วยการโดยสารลิฟต์สำหรับผู้บริหารขึ้นมา เพื่อความเป็นส่วนตัวและป้องกันแขกของโรงแรมเห็นแล้วจะแตกตื่น “นายแย่งผู้หญิงกับใครมาหรือเปล่า หรือว่ารถไฟชนกัน”“รถไฟบ้าอะไร ยายนั่นมันซาเล้งดีๆ นี่เอง ไม่มีทางเป็นรถไฟให้ฉันเสยได้หรอก” คนถูกถามตอบด้วยอารมณ์ที่ยังหงุดหงิดไม่จางหาย“พูดอย่างนี้แสดงว่าคู่กรณีเป็นผู้หญิง...ผู้หญิงใช่ไหมที่จะฉีกอกนาย แต่พลาด ดันไปทำหัวแบะเข้าแทน”“ไอ้หมอปากหมา หยุดพูดเลย เสร็จธุระของนายแล้ว กลับไปเลย แล้วไม่ต้องเสนอหน้ามาอีก”“เอ
เกือบสว่าง พราวพิชชายังเดินวนอยู่ในห้องพักของรีสอร์ต ทุกอย่างดูนิ่งเงียบจนเธอแปลกใจ...เงียบเสียจนเธอไม่อาจข่มตาหลับจนถึงตอนนี้“เป็นไปได้ยังไง สามีของลดาเป็นคนกว้างขวางของเมืองเชียงราช เกิดเรื่องขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีใครตามเราไปเคลียร์ ถึงเขาจะจำเราไม่ได้จริงๆ แต่พนักงานรีสอร์ตก็เห็น ต้องรู้ว่าเราเป็นแขกที่มาเปิดห้องพักเมื่อช่วงบ่าย หรือว่านายคุณใหญ่ห้ามไว้เพราะกลัวรู้ถึงหูลดา...มันต้องใช่แน่ๆ”หล่อนพึมพำถามตัวเอง หัวจิตหัวใจไม่อาจสงบด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหัวค่ำ“เขาคงโกรธเรามาก...” พราวพิชชายังจำเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดนั้นติดหู เพิ่งนึกออกว่าของที่หยิบมาจากโต๊ะลูกค้าข้างๆ แล้วทุ่มใส่เขานั้นเป็นเหยือกเบียร์ขนาดใหญ่...แรกทีเดียวเธอก็นึกสยดสยองตาม แต่วินาทีถัดมาก็ไหวไหล่ เมื่อคิดว่าสาสมกับสิ่งที่เขาทำกับน้องสาวของเธอแล้วดวงตาหวานก็สลดลงเมื่อนึกว่าภาพพจน์ดีงามของรัชตะที่เธอหลงเชื่อตาม จนวางใจมอบชีวิตของปิ่นลดาให้อยู่ในมือของเขานั้นล้วนแต่ลวงตา“ทำไมต้องทำร้ายกันด้วยนะคุณใหญ่ ถ้าไม่รักลดาก็คืนมาให้เราสิ น้องกับหลานแค่สองคน ทำไมเราจะเลี้ยงไม่ได้”ยิ่งคิด ยิ่งเจ็บแค้นใจ แล้วที่ผ่านมาเ
“คุณแหววมีอะไรหรือคะ บอกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น ลดายินดีให้บริการเต็มที่ ทดแทนที่ทำให้พี่สาวมาค้างด้วยกันที่บ้านไม่ได้” ท้ายประโยคเป็นเสียงขึ้นจมูกของปิ่นลดา ทำให้พราวพิชชาต้องรีบบอก กลัวน้องสาวจะไม่เข้าใจในเจตนาของตนตั้งแต่แรก“ไม่นะ อย่าคิดมากสิลดา พี่อยากพักข้างนอก เพราะสะดวกสบายสำหรับพี่มากกว่า ไหนลดาบอกว่าให้พี่เลือกตามใจชอบแล้วไง”“ลดาพูดเล่นค่ะ ลดาเข้าใจคุณแหววแล้ว คุณใหญ่ยังบอกไม่ให้ลดาไปคาดคั้นคุณแหววมาก คนทำงานหนักมาตลอด พอได้ช่วงลาพักร้อนก็อยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง มีความเป็นอิสระ ได้ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง ลดาเข้าใจดีค่ะ ให้คุณแหววมาพักอยู่ใกล้ๆ ขาดเหลืออะไรได้บอกกัน ลดาก็รู้สึกดีมากแล้วค่ะ”“พี่ขอบใจนะ ที่เข้าใจ”“ค่ะ”“พี่ขอสัญญาอีกข้อได้ไหม ลดาจะให้พี่ได้ไหม”“มีอะไรหรือคะ คุณแหววถามอย่างนี้ลดาไม่กล้ารับปากเลย”“ไม่มีอะไรมากหรอก พี่อยากเห็นลดามีความสุขจริงๆ อยากเห็นชีวิตของลดานับจากนี้มีแต่รอยยิ้ม ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ลดาไม่ต้องฝืนทน ลดายังมีพี่อยู่ทั้งคน จำได้ไหมจ๊ะ เราเป็นพี่น้องกัน เรามีกันอยู่แค่นี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับลดา ให้บอกพี่ทันที พี่จะดูแลลดาให้ดีที่สุ
ขณะที่พราวพิชชากำลังครุ่นคิดถึงแผนการช่วยน้องน้อย ทางด้านเจ้าตัวเมื่อกดตัดสาย ก็หันไปยิ้มกร่อยให้กับคนนั่งพิงหัวเตียง กอดอกมองเธออยู่“คุณแหววไม่ได้มาหาลดาสักหน่อย”“มานี่ มา”รัชตะดึงเรียวแขนเสลาของคนอุ้มท้องอุ้ยอ้ายที่ยืนปักหลักคุยโทรศัพท์เสียงเจื้อยแจ้วอยู่หน้าเตียง ก่อนจะเห็นสีหน้าเธอเจื่อนลงเรื่อยๆ แม้หล่อนจะฝืนทำเสียงร่าเริงอยู่ก็ตาม ทำให้คนเฝ้ามองอดสงสารไม่ได้“ได้ยินว่าจะไปหาพี่สาวเย็นนี้ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ” ปิ่นลดาพยักหน้า โอนอ่อนตามแรงดึงเข้าซบอกกว้างของสามี แต่เมื่อนึกบางอย่างได้จึงเงยหน้ามองเขา “ไม่ต้องห่วงนะคะ ลดารู้ว่าคุณใหญ่ติดประชุม คงกลับมาไม่ทัน คุณใหญ่บอกล่วงหน้าตั้งหลายวันแล้วว่าวันนี้ต้องกลับบ้านค่ำ ลดาจะให้คนรถไปส่งแล้วรอรับกลับ แล้วจะรายงานคุณใหญ่ให้รู้ทุกชั่วโมงเลยค่ะ”“ครึ่งชั่วโมง”“คะ?”“โทร.หาฉันทุกครึ่งชั่วโมง เริ่มจากที่ออกจากบ้าน จนกลับเข้าบ้าน ฉันจะได้ไม่ห่วง”“แต่คุณใหญ่ประชุม ลดาว่า...คงดูไม่จืดแน่ ถ้าประธานใหญ่ต้องคอยรับสายถี่ขนาดนั้น”“งั้นส่งข้อความมาบอก”“ได้ค่ะ แต่คุณใหญ่ต้องปิดเสียงนะคะ ลดาไม่อยากให้รบกวนคนอื่น”“นี่สั่งประธานใหญ่เลยนะ มากไปหรือเปล่
รัชตะเสียงกร้าวขึ้น มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับเขาที่จะมีใครมาหยามกันถึงเพียงนี้ แต่อีกฝ่ายกลับใจเย็นจนดูผิดเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น“ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่นี้ฉันรับมือไหว” รัชตะต้องหรี่ตามองน้องชายฝาแฝดอย่างแปลกใจอีกรอบ...ก็เมื่อกี้มันยังทำฉุนเฉียวตอนบอกว่าต้องเจ็บตัวเพราะเกิดการเข้าใจผิดกัน คงเข้าอีหรอบตีผิดคนนั่นแหละ เขาก็อยากรู้ว่าตัวเองมีศัตรูที่ไหนเหมือนกัน แต่พอคิดจะจัดการมือดีพวกนั้นให้ น้องชายตัวดีกลับทำเหมือนมีลับลมคมในเสียนี่“เอาเป็นว่าจบเรื่องนี้ นายไม่ต้องยุ่ง เพราะฉันจะจัดการเอง” รัชภาคย์ย้ำตัดบท ทำท่าทางว่ารำคาญพี่ชายเสียอย่างนั้น “แล้ววันนี้ฉันก็จะเข้าประชุม แต่จะเป็นตัวของฉันเอง และสัญญาว่าจะไม่ทำให้หุ้นส่วนของนายแตกตื่น ฉันแค่เบื่อไอ้พวกเสื้อผ้าอย่างของนาย ทีหลังไม่ต้องให้คุณทิพย์มาจัดหาของพวกนี้มาให้อีกนะ อย่าให้ต้องใส่สูท ผูกเนกไทเป็นคุณชายอย่างนายด้วยเลย เห็นแล้วเอือมตัวเองชะมัด”รัชภาคย์ทำเสียงและสีหน้าว่าเบื่อหน่ายเต็มทน ยกมือลูบปลายผมที่ท้ายทอยอย่างแสนเสียดายที่ต้องตัดเล็มออก พอไล่มาจนถึงปลายคางที่เมื่อวานยังเกลี้ยงเกลา แต่วันนี้สัมผัสหนวดเคราสั้นๆ จนเมื่อเหลื
การประชุมระดับผู้บริหารประจำปีของธุรกิจผลิตรถยนต์หรูที่มีโรงงานฐานผลิตตั้งในฝั่งพม่า ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ในฝั่งไทย ซึ่งอยู่ภายใต้อาณาเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษระหว่างสองประเทศ เริ่มต้นขึ้นในเวลาสิบนาฬิกาก่อนถึงเวลาประมาณห้านาที รัชภาคย์เข้ามาในห้องประชุมด้วยเครื่องแต่งกายกางเกงยีนส์สีน้ำเงินกับเสื้อทีเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวใน สวมทับด้วยสูทสีดำสนิท...เขาหยิบมันมาสวมเป็นชิ้นสุดท้ายเพื่อไม่ให้ประธานในงานขัดสายตาโดยเฉพาะด้วยรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมสัน หล่อสมาร์ตไม่ต่างกัน พวกเขาจึงดูโดดเด่นท่ามกลางนักธุรกิจอีกหลายสิบคน เมื่อรัชภาคย์เดินมาหยุดใกล้รัชตะซึ่งกำลังสนทนากับนักธุรกิจฮ่องกง จึงเห็นสไตล์ที่แตกต่างของสองหนุ่มอย่างเด่นชัด...หากก็ดึงดูดสายตาไม่แพ้กัน“วันนี้ผมโชคดี มาไม่เสียเที่ยว เพราะได้เจอคุณรัชภาคย์ จะได้ขอหารือเรื่องสัมปทานเหมืองแร่ทองคำในเวียดนาม ทางผมอยากเชิญคุณเข้าร่วมในฐานะผู้มีประสบการณ์ เพราะเรายังใหม่สำหรับงานนี้อยู่มาก”มิสเตอร์จางทักทายด้วยท่าทีเคร่งขรึม จริงจัง รัชภาคย์เหลือบมองพี่ชายฝาแฝดแวบหนึ่ง แววตาคมที่สงบนิ่ง แทบจะไม่ส่อความรู้สึกใดๆ ให้คนนอกได้สัมผัส แต่พวกเขาสามารถสื่อ
ทางด้านคนที่ปิ่นลดารอคอยอยู่ เมื่อลงจากรถสองแถวก็รีบวิ่งเข้ามาในรีสอร์ต จากหน้าถนนใหญ่จนถึงตัวรีสอร์ตนับระยะทางกว่าสองร้อยเมตร เธอวิ่งฝ่าสายลมหนาวที่พัดกรูปะทะ จนมาถึงส่วนบริการก็ถึงกับหนาวสั่นทีเดียวท่าทางของเธออยู่ในสายตาของผู้ชายสองคน แรกทีเดียวพวกเขาหันไปสบตา เชิงว่าไม่มั่นใจว่าจะใช่ตามที่เห็น เพราะช่างผิดจากคำบอกที่ได้รับมามากนัก จนต้องยกโทรศัพท์มือถือเพื่อจะเพ่งดูภาพถ่ายในจอพราวพิชชาวิ่งซอยเท้าต่อไปยังห้องรับรองเพราะไม่อาจฝืนสู้กับลมหนาวด้วยเสื้อยืดตัวเดียวกับกางเกงผ้าฝ้ายแบบลำลอง หลังจากสอบถามพนักงานถึงปิ่นลดา จนรู้ว่าน้องสาวมานั่งรออยู่ก่อนแล้วทันทีที่เปิดประตูออก ปิ่นลดาหันขวับมามอง ดวงตาเบิกโต เกือบจะโผนมาหาทั้งตัว ถ้าพราวพิชชาไม่ตรงดิ่งไปหาเสียเองก่อน“คุณแหวว คุณแหววมาแล้ว โอ๊ย...ลดาคิดถึงจังเลย” จากที่คิดเอาไว้ร้อยแปดว่าเมื่อพี่สาวกลับมาถึงจะต่อว่า คาดคั้น และบอกว่าเธอแสนห่วงสักแค่ไหน แต่พอได้พบหน้าสิ่งเหล่านั้นก็หายหมด เหลือเพียงความดีใจจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อีกปิ่นลดากอดพี่สาวเอาไว้แน่น ขณะอีกฝ่ายโอบหล่อนไว้หลวมๆ พราวพิชชาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำตัวไม่ถูกเมื
“คุณพราวพิชชานั่งรถสองแถวรับจ้างไปพบผู้ชายคนนี้ที่รีสอร์ตแสงตะวันครับ”เพราะภาพในจอมือถือที่ถูกวางบนโต๊ะของลูกน้องคนสนิทที่ถูกสั่งให้คอยจับตามองพราวพิชชาตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้รัชภาคย์ต้องหยิบมาดูใกล้ๆ ผู้ชายในจอภาพที่นั่งคุยอยู่กับพราวพิชชานั้นคุ้นตาชะมัด...เขาแตะปลายนิ้วเลื่อนดูไปเรื่อยๆ จนเห็นภาพซูมเต็มหน้าชัดๆ รัชภาคย์ถึงกับหันมองลูกน้องเต็มตา“มีใครเห็นพวกนายหรือเปล่า”“ไม่มีครับ ผมระวังตัวอย่างดีครับนาย”“เข้าไปใกล้ผู้ชายคนนี้แค่ไหน”“ไม่ถึงสิบเมตรครับ แต่คนค่อนข้างหนาตา เพราะลูกเห็บลงพอดี คนเลยเข้าไปนั่งในร้านของรีสอร์ตเต็มทุกโต๊ะ พวกผมอยู่เยื้องไปทางด้านหลังโต๊ะเป้าหมายครับ” ฟังคำตอบ สีหน้าของรัชภาคย์ก็ยังดูแคลงใจในบางอย่าง จนลูกน้องต้องถาม“แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครหรือครับนาย”“ไรวินทร์ เจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ที่กำลังย้ายฐานจากเพิร์ทมาตั้งที่เชียงราช” เขาหลุบตามองภาพในมือถือ ปลายนิ้วยังแตะหน้าจอ เลื่อนดูต่อไปเรื่อยๆ “พวกนายเข้าใกล้จนได้ภาพชัดเจนหลายช็อต ยากที่นายไรวินทร์จะไม่รู้ตัว”“ผมสังเกตอยู่ตลอด เขานั่งคุยกับคุณพราวพิชชา ไม่มีท่าทีผิดปกติเลยนะครับ”“นายจับสังเกตไรวินทร์คนเด
คำถามจากด้านหลังทำให้พราวพิชชาสะดุ้งด้วยไม่ทันรู้ตัว หันขวับมองเขา อื้ออึงในคำถาม ทบทวนซ้ำอีกรอบก็ไม่รู้ว่าคำถามครอบคลุมแค่ไหน“น่าอยู่สิคะ ไม่อย่างนั้นจะมีคนมากมายเข้ามาปักหลักที่นี่หรือ...คุณไรวินทร์ก็จะย้ายออฟฟิศจากเพิร์ทมาที่นี่เหมือนกัน”พราวพิชชาคิดดีแล้วว่าจะขอยืมชื่อของผู้ชายที่รู้จักกันไม่นานนัก หากชอบพออัธยาศัยของเขามากระตุ้นคนตรงหน้ารัชภาคย์มองหญิงสาวนิ่ง แววตาไม่เปลี่ยนไป เขาพยักหน้าเหมือนรับรู้...แค่นั้น ทำให้พราวพิชชาใจแป้วได้อีก แต่เมื่อคิดจะรุก ก็ควรเดินหน้าต่อ เพราะคนอย่างพราวพิชชาไม่ชอบทำอะไรค้างๆ คาๆ“คุณเล็กถาม...”“แล้วคุณล่ะอยู่ได้ไหม ถ้าผมขอให้คุณอยู่เชียงราช คุณจะรับข้อเสนอของผมไหม”หัวใจสาวเต้นโครมคราม ริมฝีปากบางสั่นระริกกับคำถามที่สวนมาก่อนเธอจะพูดจบ...คำถามนี้ไม่ใช่หรือที่เธอรอคอย“แล้วจะให้แหววอยู่เพื่ออะไรคะ แหววมีชีวิตและมีงานที่เพิร์ท แถมพ่อกับแม่ก็ย้ายไปอยู่ด้วย พวกท่านตั้งใจจะใช้ชีวิตในบั้นปลายที่นั่น”“ผมคิดว่าพ่อแม่คุณย้ายไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับคุณต่างหาก
“ทำไมทำหน้าไม่ค่อยดี ผมไม่รู้จะปลื้มดีหรือเปล่า คุณตอบรับรักด้วยสีหน้าแบบนี้” บอกว่าไม่รู้ตัวเองควรรู้สึกอย่างไร แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่าชอบอกชอบใจจนเกินร้อยแล้วและอีกคนก็รำพึงตอบลอยๆ เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด“แหววเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองขี้หึง”“เพิ่งรู้สึก…”“แหววไม่เคยคบใคร...บางทีอาจทำตัวไม่ถูก”“กังวลอยู่หรือเปล่า อยู่กับผม คุณสบายใจได้ ผมไม่ใช่มนุษย์สมบูรณ์แบบ ถ้าคุณคิดว่ามีอะไรแย่ๆ ในตัว ปล่อยออกมาเลย ผมรับรองว่ามันไม่มากกว่าที่ผมเป็นอยู่ อย่างเช่นขี้หึง ขอบอกว่าผมเป็นมากกว่าคุณ...ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่มาอยู่ในบ้านผมได้หรอก”รัชภาคย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ พราวพิชชาเอียงคอมอง แต่เลือกที่จะไม่ถามในเวลานี้ กลับทบทวนถึงความรู้สึกตัวเอง“แปลกดีนะ เมื่อปลายปีก่อน มนุษย์คนสุดท้ายที่ฉันจะอยากอยู่ใกล้และอยากเห็นหน้า...ก็คือคุณ แต่พอวันนี้กลับเป็นคุณที่ฉันหวง ไม่อยากให้ไปอยู่ใกล้ใคร”“ญาณิน...คุณติดใจอะไรญาณิน” รัชภาคย์หรี่ตาถาม เมื่อจับจุดในถ้อยคำของเธอได้
ผู้หญิงสาวผิวขาวร่างโปร่งบางที่พราวพิชชาตามมาห่างๆ เดินช้าลง หล่อนรอจนผู้ชายสองคนผละแยกไปคนละทางรัชภาคย์เดินมาสู่ทิศทางสำนักงาน...เคบินที่ใช้เป็นห้องทำงานส่วนตัว โดยอ้อมไปทางด้านหน้า ทางเดียวกับที่ธนัทเพิ่งใช้นำเธอมา...ส่วนผู้หญิงคนนั้นกลับเดินสวน ผ่านหน้าสโมสรเลยไปพราวพิชชาซอยเท้าตามอย่างอยากรู้สุดฤทธิ์ กระทั่งเห็นภาพเบื้องหน้าเต็มๆ ถึงกับอ้าปากค้าง ตาโตเบิกกว้างผู้หญิงสวยเด่นตรงไปหาแขกหนุ่มคนนั้น...หล่อนไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่รัชภาคย์!โล่งใจมากอยู่หรอก ไม่ปฏิเสธว่ายินดีจนเหมือนท้องฟ้าพลันสว่างโล่งจากที่เห็นแต่ความอึมครึมเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนสองคนนั้นรู้จักกัน...แต่ในแง่ไหนพราวพิชชาก็ไม่รู้ หากคงไม่ใช่ในสถานะธรรมดา เพราะเห็นผู้หญิงทำลับๆ ล่อๆ เหมือนไม่อยากให้ใครรู้เห็นตอนไปหาเขาอยู่จนฝ่ายหญิงวิ่งไปใกล้ ฝ่ายชายกำลังเปิดประตูรถตอนหลังจะก้าวขึ้นไปนั่งก็ชะงักแล้วหันมอง สองคนนั้นพูดอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางผู้ชายไม่สนใจ ผู้หญิงตามไปยื้อประตูรถ จนลูกน้องตัวใหญ่สองคนมาประกบข้าง แล้วดึงตัวหล่อนออกมาพราวพิชชากำมือแน่น กัดฟันกรอด ผู้ชายสอ
พราวพิชชานั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานไม้เนื้อดี เก้าอี้ที่มีเพียงตัวเดียว นอกเหนือจากเก้าอี้ตัวใหญ่ของรัชภาคย์ห้องทำงานบอกความเป็นตัวตนของเขา แม้ข้างนอกที่เห็นจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยผุดอยู่กลางป่าเขา แต่พอเป็นพื้นที่ส่วนตัว เช่นห้องทำงานก็มีแต่ของใช้จำเป็น จะว่าไปพราวพิชชาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเท่าที่เห็นและสัมผัสตัวตนของเขา รัชภาคย์ก็เป็นแบบนี้แหละ เรียบง่ายเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งห้องนอนที่เธอได้เห็น...และเคยใช้ร่วมกันพราวพิชชาหน้าแดงก่ำอยู่คนเดียว กัดริมฝีปากกลั้นยิ้มระงับความขวยเขิน หลายวันมานี้เธอกับเขาขลุกอยู่ด้วยกัน บางวันถึงขั้นลืมวันลืมคืน จะมีก็วันนี้แหละที่รัชภาคย์ต้องเข้าเหมือง บอกว่ามีธุระจำเป็น เขาอิดออดอยู่นาน พราวพิชชาก็งงในท่าที กระทั่งมาเข้าใจดีเมื่อใกล้จะถึงเวลาแล้วบอกให้เธอไปแต่งตัวใหม่เพื่อจะได้ตามเขามาที่นี่ด้วยพราวพิชชายินดีอยู่แล้ว แม้จะชอบช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ ขลุกอยู่ด้วยกันภายในบ้านของเขา หากเธอก็ยังอยากเปิดหูเปิดตาอยู่ แต่พอเขาจะพาออกไปรับประทานอาหารข้างนอก กลับเป็นเธอที่อึกอัก...กลายเป็นวัวสันหลังหวะที่ทำผิดไว้จนกลัวใครจับได
พราวพิชชาจับตามองว่าเขาจะทำอย่างไรต่อ และหล่อนก็ไม่มีทางช่วยเขาให้ผ่านช่วงเวลายุ่งยากนี้ไปง่ายๆ แน่นอนว่าถ้ารัชภาคย์อยากผ่านก็ต้องก้าวข้ามมันมาหาเธอด้วยตัวเองหญิงสาวให้คะแนนความพยายามของเขาเต็มร้อย ส่วนผลของความโรแมนติกนั้นหรือ...ต้องรอให้ถึงเวลานั้นเสียก่อนแล้วรัชภาคย์ก็เดินมาถึงพร้อมกับลิลลี่หอบใหญ่ ทุกย่างก้าวเขารู้สึกราวว่ากำลังข้ามภูเขาลูกใหญ่ๆ นับสิบลูกซ้อน...“ดอกไม้ช่อแรกจากผมให้คุณ พร้อมความตั้งใจว่าตั้งแต่นี้ต่อไปชีวิตผมจะมีคุณอยู่เคียงข้าง และทุกสิ่งที่เกิดกับคุณ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ผมพร้อมจะแบ่งบัน แค่คุณเปิดรับผม”แม้ตั้งใจว่าจะใจแข็งอีกนิด ไม่ใช่ด้วยอยากพิสูจน์หัวใจและความจริงใจของเขา แต่พราวพิชชาต้องการเวลาสำหรับตัวเองต่างหาก หัวใจเอนเอียงหารัชภาคย์ตั้งเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่หล่อนยังมีภาระและมีสิ่งค้างคาเก่าก่อน อยากสะสางมันให้เรียบร้อยก่อนตกลงใจรับเขาเข้ามาเมื่อคิดจะร่วมทางกัน พราวพิชชาก็อยากให้ตัวเองเกื้อหนุนรัชภาคย์ได้เช่นกัน ไม่ใช่เข้ามาเพื่อจะกอบโกยจากเขาหรือหักล้างในบางสิ่งที่ยังติดค้างกันอยู่“ขอบคุณค่ะคุ
“ถามตัวเองเถอะค่ะว่าแหววควรมั่นใจคุณแค่ไหน”“จะให้ผมสาธยายให้คุณฟัง หรือยกแม่น้ำกี่ร้อยพันสายมายืนยัน มันก็ไม่เท่ากับคุณอยู่พิสูจน์เอง”“แล้วก็วกมาเรื่องชวนลูกสาวเขาหนีมาอยู่กับตัวเอง”“อยากได้อะไรเป็นหลักประกันล่ะ”“ทั้งตัวและหัวใจของคุณ...มั่นใจเมื่อไหร่ว่ายกให้แหววจริงๆ แล้วค่อยมาบอก”“วันนี้เลยไง”“ไม่ค่ะ คุณยังไม่ได้ทวนถามตัวเอง แหววเกรงว่าคุณแค่อยากเอาชนะ หรือรั้นจะตามใจตัวเอง”“ผมอายุตั้งเท่าไหร่แล้วคนสวย มองความจริงบ้างสิ ส่วนคุณแม้จะไร้เดียงสาในบางเรื่องซึ่งผมก็มั่นใจว่ามีฝีมือพอจะสอนคุณ” เขาพูดถึงเรื่องอะไร พราวพิชชารู้ทัน ยกมือขึ้นหยิกหมับเข้าให้ ไม่อยากให้เขาเถลไถลออกนอกเรื่อง “คุณเป็นคนมีความคิด เป็นผู้หญิงที่ช่างมีเหตุผล และค่อนข้างมั่นคง ผมเชื่อตัวเองว่าดูคุณไม่ผิด ดังนั้นถ้าเราจะตัดสินใจอะไรในตอนนี้ ผมเชื่อว่าทั้งคุณและผมต่างก็ทำเพราะหัวใจและความต้องการของเรา...ผมรักคุณ เชื่อในตัวคุณ แม้เวลาสั้นมาก แต่อยากให้คุณจำไว้”&ld
“เอางั้นเหรอ ความลับที่ว่าคืออะไร ถ้าเรื่องส่วนตัว...ผมไม่ห่วงว่าจะลึกซึ้งขนาดไหน ผมมั่นใจในตัวคุณ”รัชภาคย์ว่าอย่างมั่นใจ พราวพิชชาย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้ แม้ลึกๆ จะแอบดีใจที่เขาไว้ใจหล่อนในเรื่องนี้ เพราะหล่อนยังมีบางเรื่องที่ต้องทำต่อ...และเกี่ยวพันกับไรวินทร์โดยตรง“ทำมาเป็นพูดดี ทีตอนแรกระแวงยังกับอะไรดี ว่าแหววเสียๆ หายๆ ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่”“ผมขอโทษ ปากไม่ดี ทั้งที่เชื่อใจคุณอยู่แล้ว แต่ไม่ชอบที่เอะอะก็พูดถึงแต่นายนั่น เขาสำคัญกับคุณมากหรือไง ได้ข่าวว่าย้ายมาจากเพิร์ทด้วยนี่”“ไม่ได้รู้จักกันเป็นส่วนตัวหรอกค่ะ รู้จักผ่านงาน แหววเป็นเลขาในบริษัทคู่ค้าของคุณไรวินทร์ แหววเคยสมัครงานในออฟฟิศคุณไรวินทร์ด้วย แต่เขาไม่รับเพราะคุณสมบัติไม่ถึง”“แล้วยังไปยุ่งกับเขาอีกทำไม”พอนึกว่าไรวินทร์ไม่เห็นค่าของพราวพิชชา...จะแง่ไหนก็เถอะ ฟังแล้วรัชภาคย์ก็ฉุนกึก“คุณสมบัติไม่ถึงเพราะแหววไม่ใช่คนออสซี่ เขาต้องการคนที่คล่องแคล่วมากกว่าแหวว แต่พอเขาจะย้ายมาเชียงราชก็เกิดสนใจขึ้นมา แต่ติดป
ความสุขที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริงกำลังโถมหาพราวพิชชาจนเธอตั้งรับแทบไม่ทัน...มันยังคงทักทายเธออยู่จนอยากจะลืมวันลืมคืนสองข้างทางที่รถแล่นผ่านดูงดงาม ขุนเขาที่เธอเห็นไกลจนคุ้นตายิ่งขยับมาใกล้สายตาเรื่อยๆ“สวยจังค่ะ เหมือนไม่ใช่ทัศนียภาพเมืองไทยเลย”“คุณไม่คุ้นเองมากกว่า ภาคเหนือของไทยก็มีที่สวยๆ แบบนี้อีกหลายแห่ง”คนขับรถที่สวมแว่นตากันแดดราคาแพงปิดบังดวงตาคมเบือนมองเธอ ขยับมุมปากได้รูปยิ้มนิดเดียว หญิงสาวมองเขากลับ จับจ้องใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่มีหนวดเคราสั้นๆ ประดับทั่ว จมูกโด่งเป็นสันสวยอย่างที่คนมีเชื้อสายตะวันตกผสมจะพึงมี ปลายคางของเขาบึกบึน ไล่ลงมาเป็นแผงอกหนาที่หล่อนสัมผัสและจดจำได้ดีว่าแข็งแกร่งและทรงพลังแค่ไหน เรือนกายของเขาสูงใหญ่ แถมยังดูสมาร์ตทุกท่วงท่า...ยิ่งมองก็ยิ่งเพลินจนจับหัวใจตัวเอง“คุณเท่จัง”“หือ อะไรนะ”“แหววว่า...คุณดูดีมาก”เสียงหัวเราะห้าวดังก้องในรถจี๊ปสปอร์ต พราวพิชชายังทำใจกล้า มองเขายังไม่ยอมเบือนหลบ ตาสบตาที่ยังมีแว่นตากันแดดกางกั้นท
กลิ่นอาหารอวลอยู่ใกล้ พราวพิชชาย่นจมูกเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นหอมๆ ยิ่งชัดเจนขึ้น จนเมื่อปรือตาเปิด แสงไฟสลัวจากหัวเตียงทำให้เธอเห็นต้นเหตุของมันรัชภาคย์ในเครื่องแต่งกายด้วยเสื้อยืดสวมสบายกับกางเกงขายาวผ้ายืดสำหรับสวมใส่นอนกำลังจัดแจงโต๊ะอาหารขนาดเล็กที่มีอาหารวางอยู่สามสี่จานให้เลื่อนมาชิดขอบเตียง พราวพิชชานอนตะแคงมองเขานิ่ง ชั่วขณะหนึ่งนึกถึงรัชตะที่เธอจดจำได้ดี รู้สึกแปลกก็คราวนี้...ทำไมถึงเพิ่งสัมผัสว่าคู่แฝดสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้หน้าตาจะคล้ายกันจนเกือบแยกไม่ออก แต่พวกเขากลับมีความต่างแทบจะสุดขั้ว...อย่างยากที่เธอจะอธิบายออกมาได้พราวพิชชามองเขาเพลิน คุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้จนนึกประหลาดใจตัวเอง ยามใกล้ชิดกันเธอไม่เคยต้องฝืนตัวเองสักครั้งตลอดมาเธอปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่เสนอตัวเข้ามาในชีวิต ด้วยรู้สึกว่าพวกเขามักทำให้เธออึดอัด ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เกิดความไม่สะดวกสบายขึ้นกับตัวเอง จนต้องถอยออกมาพราวพิชชาเคยนัดเดตกับผู้ชายที่คิดดีแล้วว่าเขาเหมาะสมและเป็นคนดีพอ ตลอดช่วงที่ดื่มกินและเที่ยวด้วยกันนั้น เธอรู้สึกสนุก แต่ถ้าถามถึงความสุข ก็พบว่าม