“ฉันเอารถมา”
“กลับกับผม” กตตน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมสั่ง“แต่ฉันเอารถมา” หญิงสาวพูดย้ำอีกครั้งก่อนขยับตัวลุกขึ้นปิดแฟ้มเอกสารลงเดินมายังตู้เก็บเอกสารกตตน์มองคนตัวเล็กที่เดินเก็บเอกสารโดยไม่สนใจ เขาสาวเท้าเดินเข้าไปหายืนอยู่ด้านหลังของเธอเงียบๆ ทันทีที่หญิงสาวหันมา...“เฮ้ย ! อกอีแม่แตกกระจาย !” เธออุทานเสียงดังทำเอากตตน์เบิกตากว้างด้วยความตกใจเช่นกัน เป็นครั้งที่สองที่ได้ยินประโยคนี้จากปากภรรยา“คุณมาทำไมเนี่ย ! ตกใจนะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงตกใจชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก ขำท่าทางและสีหน้าของคนตัวเล็ก เขาก้าวเข้ามาใกล้ส่งสายตามองหญิงสาวใกล้ๆ ดวงตากลมกะพริบมองใบหน้าคมเข้มก่อนจะรีบเบี่ยงหน้าหลบสายตา“วันนี้กลับกับผมนะ” พูดเน้นชัดคำแล้วเฝ้ารอจนกระทั่งจรีภรณ์ พยักหน้าตอบรับจึงขยับตัวออกห่างเธอถอนหายใจอย่างโล่งอกส่งสายตามองคนตัวใหญ่แล้วพูดขึ้น “แน่ใจนะ ว่าอยากให้ฉันกลับด้วย”ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม“ฉันคิดว่าบางทีคุณอาจจะไปอยู่กับหวานใจสุดรักสุดหวงสักหลายวันที่ผ่านมานี้ เธอพยายามที่จะส่งข้อความติดต่อหรือว่าโทรหาเขา แต่ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่ายเลยสักนิด จะมีก็นานครั้งไม่เหมือนเมื่อก่อน จนสุดท้ายแล้วต้องมาเพื่อพบเขา แค่ยังอยากรับรู้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกต่อเธอยังคงเหมือนเดิม“แพรวรักไม้นะ” แพรวรุ้งพูดเสียงแผ่ว สบตามองชายหนุ่มที่แววตานิ่งจนคาดเดาอะไรไม่ออกเขาแทบไม่รู้สึกเลยสักนิด กับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า“อืม” ชายหนุ่มเพียงขานรับเท่านั้น เขามองหญิงสาวใบหน้าสวยดวงตาเรียวก่อนจะก้มหน้าและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แพรวรุ้งรู้ดีว่าวันหนึ่งต้องมาถึงวันที่กตตน์เริ่มหมดรักเธอ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วเพียงนี้“ไม้ยังรักแพรวไหมคะ ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่น แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว...“อืม” ขานรับในลำคอเช่นเดิมหญิงสาวก้มหน้าลงราวกับว่าต้องยอมรับความเจ็บปวดนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มตรงหน้าเปลี่ยนไป ระยะห่างหรือว่าความใกล้ชิด“วันนี้เราไปดินเนอร์กันนะ...”แพรวรุ้งพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นส่งสายตามองชายหนุ่มด้วยความหวัง กตตน์ไม่สามารถตอบรับความต้อง
เช้าวันหยุดจรีภรณ์เดินลงมารับประทานอาหารเช้า ระหว่างที่เดินไปในห้องอาหารนั้น เห็นบวรลักษณ์และมารวีกำลังช่วยจัดของจึงเดินเข้าไปหา“นั่นไงคะคุณแม่ ยัยพริมตื่นแล้ว” มารวีพูดขึ้นในขณะที่จัดเตรียมของอยู่บวรลักษณ์หันมามองลูกสะใภ้คนเล็กที่เดินเข้ามา“คุณแม่กับพี่เมย์ทำอะไรอยู่คะ”“วันนี้คือวันครบรอบของพ่อ แม่เลยจัดของเตรียมเพื่อไปทำบุญที่วัด”จรีภรณ์พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่มองใบหน้าของแม่สามีที่ยิ้มออกมาด้วยความเศร้าและคิดถึง เธอแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของ พริมมาและครอบครัวสามีของหล่อน ยิ่งพอมาเจออะไรแบบนี้ก็ยิ่งไปต่อไม่ถูก“ตาไม้ตื่นหรือยังล่ะ”“น่าจะตื่นแล้วมั้งคะ” หญิงสาวตอบแล้วเอ่ยถามต่อไปว่า “ให้พริมช่วยไหมคะ”“ใกล้เสร็จแล้วล่ะ แม่ว่าหนูไปตามตาไม้ลงมาทานอาหารเช้าดีกว่า จะได้ออกไปพร้อมๆ กัน”หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ”เมื่อขานรับเสร็จก็หมุนตัวเดินขึ้นบันไดไปในทันที หญิงสาวถอนหายใจออกมาจนกระทั่งเดินมาถึงหน้าห้องนอน เธอเปิดประ
การจราจรบนถนนติดบ้างไม่ติดบ้างกว่าจะขับเข้าตัวเมืองได้ ก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง จรีภรณ์หลับจนกระทั่งสะดุ้งตื่นเองเมื่อรถเลี้ยวเข้าลานจอดในห้างสรรพสินค้า เธอยกมือปิดปากหาวด้วยความง่วงก่อนจะฟาดฝ่ามือไปที่แก้มสองข้างเบาๆ เพื่อปลุกสติให้ตื่น“ไปกินข้าวกันก่อนไหมแล้วค่อยไปซื้อของ” กตตน์พูดขึ้นเมื่อดูเวลาที่หน้าปัดรถ เขาหันมองคนตัวเล็กหาวไป พยักหน้าไป ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนที่จะเปิดประตูลงจากรถ ในขณะที่จรีภรณ์ก็เปิดประตูลงจากรถเช่นกัน หญิงสาวเดินตามชายหนุ่มไปโดยที่มือยังลูบใบหน้าอยู่ ให้ตายสิเผลอนอนเพียงนิดเดียวก็รู้สึกติดจนอยากจะนอนต่ออีก...“คุณจะไปไหน ?” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มกำลังเดินผ่านร้านอาหารโซนฟู้ดคอร์ท“ร้านฝั่งโน้น ผมจำได้ว่าคุณชอบไปทานบ่อยๆ” กตตน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าจรีภรณ์ก็ขมวดคิ้วแล้วงงอยู่สักพักที่อยู่ๆ เขาดูใส่ใจอะไรเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น อันที่จริงตัวเธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าร้านไหนคือร้านโปรดของพริมมาบ้างแต่ว่าการกระทำของเขามันดูแปลกๆ พิลึกน่าขนลุกยังไงก็ไม่รู้พริมมาอาจจะดีใจแต่เธอน่ะเริ่มสยิว !
“ขอโทษนะคะ คือฉัน...” จรีภรณ์เว้นช่วงในการพูดแล้วพูดต่อไปว่า “ฉันแต่งงานแล้วค่ะ”นี่คงเป็นมุกตลกใช่หรือไม่ เธอไม่ต้องการสานสัมพันธ์หรือทำความรู้จักกับเขาขนาดนี้เลยหรือ ?“คุณดูไม่เชื่อ ?” จรีภรณ์ส่งสายตามองฝ่ายตรงข้ามที่ดูจะไม่เชื่อ ทั้งสีหน้าและแววตายังแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า ‘เรื่องที่พูดมาเป็นเรื่องโกหก’ชายหนุ่มหัวเราะกับท่าทางของหญิงสาว“งั้นฉันขอตัวก่อนนะ มีธุระต่อค่ะ” หญิงสาวพูดตัดบทสนทนาอีกฝ่าย และรีบเดินจากไปทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดหรือรั้งไว้อีกบทสนทนาของทั้งสองจบลงเช่นเดียวกับสายตาที่มองอยู่ในระยะไกลของอีกฝั่ง กตตน์ยืนนิ่งด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ครั้นมองเห็นภรรยาเดินจากฝั่งตรงข้ามมาฝั่งที่ตนยืนอยู่ก็ไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปหามองหน้าของหญิงสาวด้วยใจที่มีคำถามอยากจะถาม“คุณซื้อของเสร็จแล้วใช่ไหม ?” สุดท้ายก็ไม่แม้แต่จะกล้าถามออกไป...ทั้งที่อยากจะเดินเข้าไปแล้วถามกับเธอว่า ‘ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร’ แต่พอเห็นใบหน้า
“เพื่อนมั้ง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงห้วนพร้อมกับดันอกคนตัวใหญ่ออกห่าง “ปล่อยได้แล้ว”เป็นคำตอบที่ไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่อยากจะถามอะไรมากเพราะคิดดูแล้วเขาเองก็ยังคบกับแพรวรุ้งอยู่เหมือนกัน กตตน์มองคนตัวเล็กในวงแขนก่อนจะค่อยๆ คลายออก เมื่อชายหนุ่มปล่อยแล้วจรีภรณ์ก็ค้อนเหน็บทางสายตาด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนและเดินเข้าห้องน้ำไปทันทีส่วนกตตน์ก็เดินกลับมานั่งหยิบอ่านเอกสารบนโต๊ะต่อ การดำเนินงานเงียบๆ เรื่องสืบรายจ่ายและงบประมาณของอาธีทัตนั้นได้หลักฐานหลายอย่างที่มากพออยู่ แต่การที่ตัวเลขบัญชีขาดไปด้วยที่เงินไม่ตรงกันในจำนวนน้อยหรือว่าคลาดเคลื่อนกับรายได้ที่ทำออกมาก่อนหน้าในจำนวนไม่มากนั้น ทำให้ไม่เป็นที่แปลกใจหรือสงสัยเพราะอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ทว่าหากรวมๆ ดูแล้วเป็นหนึ่งปีหรือสองปีสามปีนั้นก็มีจำนวนตัวเลขที่เยอะมากอยู่เหมือนกันชายหนุ่มนั่งทำงานเป็นเวลาล่วงเลยจนเกือบเที่ยงคืน จึงเริ่มขยับตัววางแฟ้มและลุกขึ้น ครั้นก้าวผ่านเตียงก็หันหน้ามองหญิงสาวที่หลับไปเรียบร้อยแล้ว...แสงจันทร์ในยามค่ำคืนสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้า สายลมเบ
“มื้อเที่ยงฉันจะออกไปทานข้างนอก จะได้สะดวก” เธอบอกเหตุผล โดยการก้มหน้าหลบสายตา“กับใคร ?” โทนน้ำเสียงของกตตน์ดูเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินภรรยาพูด“อย่าเอาฉันไปเปรียบกับคุณนะ !” เธอตอบกลับพร้อมใช้มืออีกข้างแกะมือของชายหนุ่มออกก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาสมเพช “ใครจะไปเหมือนคุณกันล่ะ”“งั้นไปทานมื้อกลางวันพร้อมกับผม เพราะผมก็กินคนเดียวเหมือนกัน”จรีภรณ์ทำสายตาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด“ตกลงนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว ส่งสายตามองรอคำตอบจากเธอหญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยความลังเลก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง“แน่ใจนะว่าคุณจะไม่ทิ้งฉัน รับรองว่าถ้าคุณผิดคำพูด ฉันเอาคุณตาย !” จรีภรณ์พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวพลางส่งสายตามองชายหนุ่มตรงหน้า เขายิ้มและหัวเราะออกมา...มันน่าขำตรงไหนกัน นี่เธอจริงจังนะ !“ได้สิ ถ้าผมทิ้งคุณวันนี้ เอาผมให้ตายเลย” กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งในขณะที่สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวเอนตัวหลบเหลือบสายตามองด้วยความแปลกใจกับการกระทำของเขา “งั้นวันนี
“ที่ผมไม่ให้คุณยุ่งเรื่องของอาธีทัต...” กตตน์หลบสายตาไปทางอื่นก่อนจะสบตามองกับดวงตากลมใสของภรรยาที่กำลังจ้องมองรอคำตอบ “...เพราะผมเป็นห่วงคุณ”จรีภรณ์เกิดความรู้สึกสับสนอยู่ในอก ความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เคยเป็น หญิงสาวแค่ยิ้มรับและพยักหน้าให้ก่อนรีบขยับมือออกจากเขาและเปิดประตูลงไปทันที ก้าวเดินเข้าไปข้างในบริษัทโดยไม่คิดจะหันมองอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งยกขึ้นทาบที่หน้าอก ตึก...ตึก เสียงเต้นของหัวใจไม่เป็นจังหวะกลับขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าสวยแผ่วร้อนจนแทบทำอะไรไม่ถูกความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งเธอถลำลึกมากเท่าไหร่ยิ่งถอนตัวไม่ได้ ...เธอกลัว“คุณพริมครับ” ภพธรลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยเรียกเจ้านายสาวหญิงสาวหยุดเดินแล้วหันมอง“เออ...ลูกค้าของคุณธีทัตมาขอพบคุณพริมครับ”จรีภรณ์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “พบฉันหรือคะ ?”“ครับ เห็นว่ารู้จักกับคุณพริมเป็นการส่วนตัว ตอนนี้รอคุณพริมอยู่ที่ห้องรับรองแขกครับ”หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะยิ้มหวานให้แล้วเดินตรงไปที่ห้องรับรองในทันที ในใจก็คิดเพียงว่าเป็นใคร
เวลาล่วงเลยผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม แสงสาดส่งเข้ามาผ่านทางหน้าต่างของห้องทำงาน จรีภรณ์หรี่ตาและขยับตัวปิดคลายกล้ามเนื้อก่อนจะเก็บรวมเอกสารตรงหน้าที่ทำเสร็จแล้วไว้ข้างมุมโต๊ะ หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นปิดจอคอมพิวเตอร์หันหยิบกระเป๋าและเดินไปเอื้อมมือเปิดประตู เธอหยุดชะงักในทันทีเมื่อเห็นร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมองแล้วถอยออกเว้นระยะห่างกตตน์มองหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กลับบ้านกันเถอะ”เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินนำไป จรีภรณ์ส่งสายตามองเบ้ปากใส่ให้กับท่าทางนิ่งขี้เก๊กของชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ แล้วจึงเดินตามไปติดๆจรีภรณ์ส่งสายตามองชายหนุ่มเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่ง ครั้นจะก้าวไปก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นวิญญาณของ พริมมาปรากฏขึ้นเลื่อนรางแวบหนึ่งก่อนจะหายไป หญิงสาวส่ายหน้ายกมือขยี้ตาทั้งสองข้างและมองใหม่อีกครั้งหนึ่ง...หายไปแล้ว เธอตาฝาดไปหรือเนี่ย ?ส่ายหน้าสลัดภาพที่เห็นเมื่อครู่ออกก่อนจะเดินขึ้นรถไปในทันที“เป็นอะไรหรือเปล่า ?”กตตน์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูไม่ดีนัก“เปล่า...ไม่มีอะไร&rd
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง