“มื้อเที่ยงฉันจะออกไปทานข้างนอก จะได้สะดวก” เธอบอกเหตุผล โดยการก้มหน้าหลบสายตา
“กับใคร ?” โทนน้ำเสียงของกตตน์ดูเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินภรรยาพูด“อย่าเอาฉันไปเปรียบกับคุณนะ !” เธอตอบกลับพร้อมใช้มืออีกข้างแกะมือของชายหนุ่มออกก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาสมเพช “ใครจะไปเหมือนคุณกันล่ะ”“งั้นไปทานมื้อกลางวันพร้อมกับผม เพราะผมก็กินคนเดียวเหมือนกัน”จรีภรณ์ทำสายตาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด“ตกลงนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว ส่งสายตามองรอคำตอบจากเธอหญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยความลังเลก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง“แน่ใจนะว่าคุณจะไม่ทิ้งฉัน รับรองว่าถ้าคุณผิดคำพูด ฉันเอาคุณตาย !” จรีภรณ์พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวพลางส่งสายตามองชายหนุ่มตรงหน้า เขายิ้มและหัวเราะออกมา...มันน่าขำตรงไหนกัน นี่เธอจริงจังนะ !“ได้สิ ถ้าผมทิ้งคุณวันนี้ เอาผมให้ตายเลย” กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งในขณะที่สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวเอนตัวหลบเหลือบสายตามองด้วยความแปลกใจกับการกระทำของเขา “งั้นวันนี“ที่ผมไม่ให้คุณยุ่งเรื่องของอาธีทัต...” กตตน์หลบสายตาไปทางอื่นก่อนจะสบตามองกับดวงตากลมใสของภรรยาที่กำลังจ้องมองรอคำตอบ “...เพราะผมเป็นห่วงคุณ”จรีภรณ์เกิดความรู้สึกสับสนอยู่ในอก ความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เคยเป็น หญิงสาวแค่ยิ้มรับและพยักหน้าให้ก่อนรีบขยับมือออกจากเขาและเปิดประตูลงไปทันที ก้าวเดินเข้าไปข้างในบริษัทโดยไม่คิดจะหันมองอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งยกขึ้นทาบที่หน้าอก ตึก...ตึก เสียงเต้นของหัวใจไม่เป็นจังหวะกลับขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าสวยแผ่วร้อนจนแทบทำอะไรไม่ถูกความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งเธอถลำลึกมากเท่าไหร่ยิ่งถอนตัวไม่ได้ ...เธอกลัว“คุณพริมครับ” ภพธรลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยเรียกเจ้านายสาวหญิงสาวหยุดเดินแล้วหันมอง“เออ...ลูกค้าของคุณธีทัตมาขอพบคุณพริมครับ”จรีภรณ์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “พบฉันหรือคะ ?”“ครับ เห็นว่ารู้จักกับคุณพริมเป็นการส่วนตัว ตอนนี้รอคุณพริมอยู่ที่ห้องรับรองแขกครับ”หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะยิ้มหวานให้แล้วเดินตรงไปที่ห้องรับรองในทันที ในใจก็คิดเพียงว่าเป็นใคร
เวลาล่วงเลยผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม แสงสาดส่งเข้ามาผ่านทางหน้าต่างของห้องทำงาน จรีภรณ์หรี่ตาและขยับตัวปิดคลายกล้ามเนื้อก่อนจะเก็บรวมเอกสารตรงหน้าที่ทำเสร็จแล้วไว้ข้างมุมโต๊ะ หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นปิดจอคอมพิวเตอร์หันหยิบกระเป๋าและเดินไปเอื้อมมือเปิดประตู เธอหยุดชะงักในทันทีเมื่อเห็นร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมองแล้วถอยออกเว้นระยะห่างกตตน์มองหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กลับบ้านกันเถอะ”เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินนำไป จรีภรณ์ส่งสายตามองเบ้ปากใส่ให้กับท่าทางนิ่งขี้เก๊กของชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ แล้วจึงเดินตามไปติดๆจรีภรณ์ส่งสายตามองชายหนุ่มเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่ง ครั้นจะก้าวไปก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นวิญญาณของ พริมมาปรากฏขึ้นเลื่อนรางแวบหนึ่งก่อนจะหายไป หญิงสาวส่ายหน้ายกมือขยี้ตาทั้งสองข้างและมองใหม่อีกครั้งหนึ่ง...หายไปแล้ว เธอตาฝาดไปหรือเนี่ย ?ส่ายหน้าสลัดภาพที่เห็นเมื่อครู่ออกก่อนจะเดินขึ้นรถไปในทันที“เป็นอะไรหรือเปล่า ?”กตตน์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูไม่ดีนัก“เปล่า...ไม่มีอะไร&rd
“นั่นไม่ใช่ปัญหา”จรีภรณ์ส่งสายตามองพลางครุ่นคิดไปด้วยก่อนพยักหน้าตอบรับ“โอเคค่ะ” เธอตอบรับ เอื้อมมือเก็บของลงกระเป๋าสะพายและเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม ฉีกยิ้มหวานให้ “ฉันหวังว่า ไม่ต้องกลับเองนะคะ”กตตน์ส่งสายตามองภรรยานิ่งๆ“ไปกับผม ก็ต้องกลับพร้อมกับผมสิ”เมื่อพูดจบเขาก็เดินนำออกจากห้องไปทันทีปล่อยให้หญิงสาวมองแผ่นหลังแกร่งลับสายตาไป เธอเบ้ปากด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เล็กน้อย“ให้มันจริงเถอะ !”ร้านเสื้อผ้าหรูใกล้ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองที่มีการจราจรค่อนข้างหนาแน่ในช่วงตอนเย็น กว่าจะมาถึงก็เสียเวลาไปเกือบชั่วโมง กว่าจะเลือกชุดที่เหมาะกับการใส่ไปงานอีกก็กินเวลาไปนานพอสมควรเหมือนกัน...จรีภรณ์เดิมทีไม่ใช่คนที่เรื่องมากกับการเลือกชุดออกงานเพราะจะใส่อะไรไปก็ได้แค่ดูดีและไม่ทำให้ตัวเองน่าอายก็พอ ทว่าการที่เธอเลือกชุดใส่เนี่ยสิ...ทำไมเขาต้องทำหน้านิ่งแล้วพูดขึ้นว่า ‘ลองชุดอื่นดูอีกสิ’จนสุดท้ายแล้วก็ยังเลือกไม่ได้ จรีภรณ์ทนไม่ไหวจนต้องเดินเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วกัดฟันพูดว่า “ตกลงแ
ทุกครั้งที่เงียบมักเป็นเรื่องปกติจนชินแล้ว ทว่าคราวนี้ต่างออกไป บรรยากาศรอบๆ แปลกมาตั้งแต่รับประทานอาหารมื้อค่ำจนกระทั่งตอนนี้เดินเข้าห้องนอนมาแล้ว แววตาที่ดูเยือกเย็นบวกกับใบหน้าที่ดูนิ่งจนเดาอะไรได้ยากนั้นทำให้ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ จรีภรณ์ยังคงเหล่มองอีกฝ่ายที่ทำท่าทางนิ่งเก๊กขรึมอยู่ ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ตรงกันข้ามกับกตตน์ที่พยายามเก็บอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้ในใจ“คุณดูอารมณ์ไม่ดีนะ” จรีภรณ์พูดขึ้นขณะที่เดินเข้าไปหา แม้ใบหน้าเขาจะนิ่งขรึมหรือว่าเก๊กยังไงแต่ก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกที่ทำให้เธออึดอัดเช่นนี้ออกมาก่อน “คุณโดนแฟนทิ้งใช่ไหม ?”นั่นเป็นคำถามที่ไม่อยากจะพูดออกไปเลย แต่เธอก็รู้ว่าอาจเป็นเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีกตตน์ส่งสายตามองภรรยานิ่งๆ ด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วนใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก เขาพยายามมากที่จะเก็บอารมณ์ไว้โดยไม่แสดงออกมา“คุณจะโทรหาเธอก็ได้นะ” จรีภรณ์ข่มน้ำเสียงพูดแล้วเบนสายตาออกไปทางอื่น “หมายถึงโทรไปง้อเธอน่ะ” ทำเหมือนเป็นคนใจกว้างทั้งๆ ที่ข้างในอกเจ็บปวดขึ้นมาจนแท
มันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ !หญิงสาวขยับตัวขึ้นนั่งมองสภาพของตัวเองและหันมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆ เธอถึงกับอยากจะเอาหัวชนกำแพงให้ความจำเสื่อมหรือวิญญาณออกจากร่างนี้ไปเลยที่ทำอะไรน่าอายเช่นนี้ออกไป ไม่คิดว่าแค่จูบเดียวจะต่อยาวจนมาถึงบนเตียง จรีภรณ์ค่อยๆ ขยับตัวลงจากเตียงหยิบเสื้อผ้าของเธอที่กระจายตามพื้นและรีบเดินเข้าห้องน้ำไปทันทีทางด้านของกตตน์รู้สึกตัวเมื่อหญิงสาวขยับตัวลงจากเตียง ชายหนุ่มส่งสายตามองที่ประตูห้องน้ำก่อนจะขยับตัวลงจากเตียงเก็บเสื้อผ้าลงตะกร้าและเดินไปหยิบชุดนอนออกมาไว้รอไม่นานนักประตูห้องน้ำเปิดออกจรีภรณ์เดินออกมาแล้วหยุดชะงักลงเมื่อเห็นชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นเดินเข้ามาหา เธอเดินหลีกออกห่างเบือนสายตาหนีไม่กล้ามองกตตน์ขำกับท่าทางของคนตัวเล็กที่ดูระแวง เขาจึงสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้และดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด“หอมจัง” เพียงแค่คำพูดของอีกฝ่ายถึงกับทำให้จรีภรณ์ขนลุกซู่ทันทีหญิงสาวยกมือขึ้นดันแผ่นอกเขาออกห่าง ในตอนนี้กตตน์เปลือยเปล่ามีเพียงผ้าขนหนูที่ปกปิดช่วงล่างเขาไว้เท่านั้น“อยากตัวหอมก็ไปอาบน้ำสิ อี๋ !” เธอดัน
“ขอบคุณนะคะที่ตอบข้อความแพรว” แพรวรุ้งข่มน้ำเสียงพูดไม่ให้สั่นเครือ ขณะที่ส่งสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บปวด“อืม” กตตน์ขานรับในลำคอเธอไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรต่อเพื่อทำลายบรรยากาศที่อึดอัดนี้ลงดีผ่านไปไม่นานนัก อาหารถูกเสิร์ฟลงตรงหน้าของทั้งคู่…กตตน์ส่งสายตามองหญิงสาวด้วยความรู้สึกผิดเเละอึดอัดใจ“แพรวยังจำได้นะ ครั้งเเรกที่เจอไม้” อยู่ๆ ก็พูดขึ้นทำให้กตตน์เงยหน้าขึ้นมอง เขายิ้มที่มุมปากรับ เเน่นอนว่าต้องจำได้...ครั้งเเรกที่เจอแพรวรุ้ง เธอทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ในผับตอนกลางคืน ส่วนกลางวันไม่ได้ทำ ทีแรกเขาไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ แต่ในคืนหนึ่งที่เขานัดเจอเพื่อนเพื่อเลี้ยงสละโสดตามประสาเพื่อนเก่า ตอนนั้นเขาเมาและดันเดินชนกับพวกกลุ่มนักเลงเข้าแพรวรุ้งยื่นมือเข้าช่วยทั้งยังทำบาดแผลบนใบหน้าให้กับเขา ขณะที่คนอื่นต่างก็เดินมองและผ่านไปโดยไม่สนใจ การทำความรู้จักและพัฒนาความสัมพันธ์มาค่อนข้างนานกว่าที่จะลงสถานะว่าแฟน พอเปิดตัวเธอเพียงเท่านั้นคนที่บ้านกลับไม่ยอมรับและบอกว่าแพรวรุ้งตั้งใจจะจับเขาแต่งงานเพื่อเงินแล
เขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดเท่าที่เคยคบมา...หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องพัก เธอวางกระเป๋าลงบนโซฟาและนั่งลงอย่างเงียบๆ หยดน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดนี้มันยากที่จะบอกได้กตตน์เป็นผู้ชายที่ดี ดีมากจนบางครั้งเธอก็รู้สึกว่าเขาดีเกินไป ตั้งแต่เริ่มคบกันมาเขาให้เกียรติเธอมาเสมอ ไม่เคยแตะตัวเธอมากไปกว่าการจับมือกัน ไม่เคยจูบเธอ ไม่เคยขอเธอนอนด้วย และเขาก็ดูแลเธอดีทุกอย่าง มันดีมากเกินจนอยากหยุดช่วงเวลานั้นเอาไว้ หญิงสาวยอมรับว่าตั้งความหวังกับการที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขาเอาไว้มาก และก็อดทนรอมาตลอด รอว่าสักวันจะได้แต่งงานกับเขาและชีวิตจะมีความสุขมากกว่านี้รอจนกระทั่งสุดท้าย...โดนทิ้งแพรวรุ้งหัวเราะสมเพชให้กับตัวเอง ทว่าน้ำตาก็เริ่มปริ่มที่ขอบตาจนแทบมองไปยังเบื้องหน้าไม่ชัด หญิงสาวยกมือขึ้นปาดหยดน้ำใสที่ไหลริน เธอคิดว่าการที่รอชายหนุ่มอีกสักนิดจะหลุดพ้นกับชีวิตที่ต้องทนอยู่ตอนนี้ชีวิตของผู้หญิงที่ต้องทำงานหากินตอนกลางคืน...มันน่าขยาดขนาดไหนกับการหาเงินเลี้ยงตัวเอง หลายต่อหลายครั้งตั้งแต่คบกับเขามาเธอพยายามที่จะหางานอื่นทำ ทว่าจำนวนเงินนั้นยังไม่มากพอที่จะเลี้ย
“ฝันไปเหอะ !” เธอรีบตอบกลับทันที ขณะที่ดิ้นเพื่อให้เขาปล่อยลงแต่ไม่มีท่าทีสำเร็จ กตตน์หมุนตัวอุ้มเธอกลับเข้ามาในห้องและเดินตรงไปยังห้องน้ำทันทีประตูห้องน้ำปิดลง จรีภรณ์ถูกวางลงนั่งตรงอ่างล้างหน้าโดยที่ไม่มีทางหนีได้อีกแล้ว เธอยกมือขึ้นดันคนตัวใหญ่ที่ขยับตัวเข้ามาชิดออกห่าง สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลยมันอันตรายต่อหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอกตตน์เงยหน้าขึ้นสบตามองภรรยาที่กำลังก้มหน้าเบี่ยงสายตาหลบ เขาโน้มใบหน้าลงไปประทับจูบที่แก้มสีชมพูแล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ“ถอยไปไกลๆ” จรีภรณ์พูดด้วยน้ำเสียงห้วนพลางยกมือขึ้นดันหน้าเขาออกห่างกตตน์ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยจับมือของภรรยาออก ใบหน้าคมสันโน้มลงมาและประชิดติดหน้าผากของเธอ ริมฝีปากของเขากำลังจะจูบหญิงสาว แต่เธอเบี่ยงหลบหนีในทันที“ผมกับแพรว...” เขาพูดขึ้นก่อนเว้นช่วง ในขณะที่คนฟังได้ยินรู้สึกเจ็บลึกๆ ที่หน้าอก จรีภรณ์กลั้นข่มความรู้สึกและรอฟังคำพูดต่อจากนี้ “...เราสองคนเลิกกันแล้ว”เลิกกันแล้ว...?จรีภรณ์สบตามองอีกฝ่ายในทันที เธอกำลังงุนงงกับคำพูดของคนตรงหน้า เขา
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง