ตามคาด มุมปากของพีซที่เคยยิ้มอยู่ค่อย ๆ หุบยิ้มลง ไม่นานความรู้สึกเศร้าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ถ้าเงินสามารถแก้ปัญหาได้ ผมก็เลือกที่จะไม่ใช้กำลัง ผมเป็นคนแบบนั้น เฮ้ คนสวย ผมให้โอกาสคุณได้หลีกเลี่ยงเรื่องนั้นแล้ว แต่คุณไม่คว้ามันไว้เอง ในเมื่อเราตกลงกันไม่ได้ ก็อย่ามาโทษว่าผมโหดร้าย!”ดวงตาของเขาดุร้ายและโหดเหี้ยม เขาโบกมือขึ้นและตะโกนออกคำสั่ง “ฆ่าผู้ชายซะและจับตัวผู้หญิงมา!” “ครับนายน้อย!” บอดี้การ์ดยิ้มอย่างชั่วร้ายและเดินไม่กี่ก้าวตรงไปที่เฟนด์กับเซเลน่า พวกเขาถูกสั่งให้ฆ่าเขาซะ เฟนด์ก้าวออกมาข้างหน้าและยืนบังเซเลน่าไว้ เขากำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงแขนใส่บอดี้การ์ดสองคน “ฮึ! เด็กน้อย ดูร่างกายปวกเปียกของแกสิ แก...” บอดี้การ์ดหนึ่งในสองคนนั้นพูดออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นทั้งคู่ก็กำหมัดและพุ่งเข้าไปต่อยเฟนด์ ปัง! น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ทั้งคู่ก็ถูกอัดลอยกระเด็นถอยหลังไปหลายเมตรและร่วงลงกระแทกกับพื้นอย่างแรงตรงที่ไกล ๆ “ฟิ้วว!” ทั้งคู่กระอักเลือดออกมาตอนที่ตกถึงพื้น หน้าของพวกเขาซีดเผือด สีหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาว “บ้าเอ๊ย เป็นไปไม่ได้! คนของเราคนหนึ่งเที
ในสายตาของคนอื่นนายน้อยแชฟฟ์แมนอ้วนอย่างกับหมู เขาหนักประมาณ 200 ปอนด์เลยแต่เขากลับดูเบาราวกับขนนกตอนที่เขาถูกเฟนด์เตะเข้าจัง ๆ เขากระเด็นถอยหลังไปหลายเมตรแล้วร่วงลงบนพื้น ปัง! คาเลบทนความเจ็บปวด กัดฟัน และลุกขึ้นยืน แต่เขาก็ล้มลงอีกครั้ง เพราะพีซที่กระเด็นลอยมานั้นชนเขาจนล้มลงกับพื้นทำให้เขาบาดเจ็บอีกครั้ง เลือดก็ทะลักออกมาจากปาก มันเป็นภาพที่น่าเวทนามากหลังจากที่สอนบทเรียนให้อีกฝ่ายแล้ว เฟนด์ก็เดินไปและมองที่นายน้อยทั้งสองคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด “ฉัน เฟนด์ วู๊ด ไม่ใช่คนเลว ฉันใจดีมาก แต่ไอ้อ้วนอย่างแกที่น่าเกลียดแบบนี้ ยังฝันที่จะมาจับมือภรรยาของฉันอีกงั้นเหรอ? แกที่เหมือนคางคกโหยหาเนื้อหงส์ หวังมากเกินไปจนไม่ได้ดูตัวเองเลย แกกล้าดียังไงจะมาจับตัวภรรยาของฉัน แกอยากตายมากเหรอ!” หลังจากที่พูดจบ เฟนด์ก็หยุดไปพักหนึ่งเพื่อครุ่นคิดเรื่องนี้ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “จำเหตุการณ์วันนี้เอาไว้เป็นบทเรียนนะ ฉันหวังว่าต่อจากนี้ไปแกจะประพฤติตัวดี ๆ ไม่งั้นมันอาจจบไม่สวยแน่ และแกอาจจะลากครอบครัวของแกลงไปในโคลนนี้ด้วย ฉันเข้าใจว่าการใช้ชีวิตเป็นเรื่องยากและฉันก็เป็นคนประเภทที
“หมอคนนั้นพูดถูกและมีความคิดดีมาก!” เฟนด์พยักหน้าอย่างพอใจและพูดพึมพำออกมา “คุณสองคนมาหาหมอเหรอ?” หมอชราคนนั้นเดินออกมาต้อนรับเฟนด์กับเซเลน่าทันที ตอนที่เขาเห็นเฟนด์กับเซเลน่าเดินเข้ามาในร้าน “เปล่า เราเห็นป้ายประกาศที่ติดอยู่หน้าประตู ร้านแห่งนี้ไม่ได้ประกาศขายเหรอ? ผมสนใจร้านนี้ ขายราคาเท่าไหร่?” เฟนด์ตอบกลับหมอราคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “คุณครับ ร้านแห่งนี้อยู่ในทำเลดีและข้างในยังกว้างขวางมาก! เข้ามาข้างในก่อน แล้วผมจะพาคุณเดินดูรอบ ๆ ดีไหม?” เจ้าของร้านขายยาปรารถนาเดินเข้ามาหาพวกเขาทันทีหลังจากที่รู้ว่าเฟนด์สนใจร้านแห่งนี้ แม้ว่าเจ้าของร้านจะคิดว่าคงเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะมาซื้อร้านนี้ต่อก็ตาม แต่เจ้าของร้านก็ยังยิ้มอย่างอบอุ่นและต้อนรับพวกเขาอย่างดี เพราะยังไงซะก็หาได้ยากมาที่จะมีคนมาสนใจร้านแบบนี้ “เป็นความคิดที่ดี! ไปดูรอบ ๆ กัน” เฟนด์พยักหน้าเห็นด้วยและเดินตามเจ้าของร้านไปเดินดูบริเวณรอบ ๆ ของร้านขายยา เมื่อพวกเขาเดินดูกันเสร็จแล้ว เฟนด์ก็ถามออกมาตรง ๆ ว่า “ร้านนี้ขายราคาเท่าไหร่? แล้วคุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าจะติดต่อผู้ขายวัตถุดิบยาจีนได้ที่ไหน?” “ไม่
“พ่อหนุ่ม คุณไม่ได้กำลังโม้ใช่ไหม? คุณรู้วิธีการรักษามะเร็งหรือเปล่า?”เสียงของเจ้าของร้านสั่นด้วยความตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำพูดของเฟนด์ เขาสงสัยว่าเขาได้ยินผิดไปหรือเปล่า“พ่อหนุ่ม คุณไม่พูดเกินจริงไปหน่อยเหรอ? แม้แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงก็ยังรักษาโรคมะเร็งไม่ได้เลย ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน โรคมะเร็งยังเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นมะเร็งระยะที่สี่!”หมอชราที่เป็นแพทย์แผนจีนลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินอย่างช้า ๆ มาทางพวกเขา ขาและเสียงของเขาสั่น“เฮ้ เมื่อกี้คุณทั้งคู่ไม่ได้คุยกันเรื่องนั้นอยู่เหรอ? ความจริงที่ว่าแพทย์แผนตะวันตกดีไม่เท่าแพทย์แผนจีนในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่พึ่งพาเครื่องมือทุกอย่างในการรักษาโรค ถ้าหากไม่มีเทคโนโลยีและเครื่องมือ พวกเขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคนี้คืออะไรกันแน่ จริงไหม?”เฟนด์หัวเราะออกมาเสียงดัง ด้วยสีหน้างุนงง“ใช่ นั่นคือสิ่งที่เราคุยกัน แต่ฉันไม่คิดว่าคุณจะมีความรู้มากขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย!”หมอชรามองเฟนด์ด้วยสายตาเคารพและยกย่อง “ถ้าสิ่งที่คุณพูดมาเป็นความจริง คุณสามารถรักษาโรคแปลกประหลาดที
หมอชราตกใจมากกับจำนวนเงินนั้น “คุณครับ คุณจะให้ฉันเรียกคุณว่ายังไงดี? ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนดี แต่สามหมื่นเหรียญนั่นมันมากเกินไป!” “โอ้ ไม่เลย ไม่เลย! วันนี้ผมอยากให้คุณช่วยดูแลร้านให้หน่อย! และชื่อของผมคือ เฟนด์ วู๊ด!” เฟนด์หัวเราะแล้วมองไปที่ภรรยาที่น่ารักของเขาซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ “ผมกับภรรยาขอตัวก่อน” เขาพูด “ได้ครับ คุณวู๊ด ฉันชื่อ เทอร์เรนซ์ แชฟฟรี่ เรียกฉันว่า เทอร์รี่ ก็ได้” เทอร์เรนซ์พูดออกมาด้วยเสียงอบอุ่นและเดินไปส่งทั้งคู่ที่ประตู “เฟนด์ ฉันรู้ว่าคุณพยายามจะช่วย แต่คุณใจกว้างเกินไป ไม่คิดงั้นเหรอ?” เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากร้านขายยา ระหว่างทางกลับบ้าน เซเลน่าอดไม่ได้ที่จะแซวเฟนด์ “คุณใจกว้างเกินไปจนทำให้หมอชรากลัว!”“ฮ่าฮ่า! เอาน่า เทอร์รี่กับครอบครัวของเขาดูฐานะไม่ค่อยดี และแน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตในเมืองนางแอ่น เพราะยังไงซะ การเป็นเจ้าของบ้านสักหลังในเมืองนางแอ่นก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับคนทั่วไปและเป็นภาระจริง ๆ เทอร์รี่เป็นคนจิตใจดี เขาทำงานก็เพื่อช่วยลดภาระบนบ่าของลูกชายของเขา” มุมปากของเฟนด์โค้งขึ้นเล็กน้อย “เฮ้อ! พ่อแม่มักจะเป็นห่วงลูก ๆ เสมอ!” เฟนด์พู
“นายล้อเล่นใช่ไหม? มัวร์ นายเนี่ยนะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ?” ราชาสงครามสี่ดารามีสีหน้าประหลาดใจ “มีนักสู้ชั้นยอดหลายคนในเมืองนางแอ่นก็จริง แต่มัวร์ก็ไม่ใช่คนธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ ก็เอาชนะได้! ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง! เป็นไปได้ยังไง?” ฮันเตอร์พยักหน้าออกมา “ฉันก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดนั้น วันก่อนพวกนั้นมาดูถูกหลานชายของฉัน บังคับให้เขาคุกเข่ากลางแดดที่ร้อนระอุเป็นเวลานาน พวกนั้นซ้อมเขาและจัดการกับบอดี้การ์ดของเขาด้วย! ฉันก็เลยไปช่วยหลานชายของฉัน แต่ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะแข็งแกร่งขนาดนี้ และสุดท้ายเธอก็เอาชนะฉันได้!” หลังจากได้ยินข่าวใหม่นี้ ราชาสงครามทั้งสามคนก็ชำเลืองมองตากันเพื่อส่งข้อความบางอย่างระหว่างพวกเขา พวกเขาไม่ได้โง่ พวกเขารู้และเข้าใจนิสัยของฮันเตอร์กับหลานชายของเขาดี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เลยว่าใครเป็นคนผิด หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์แล้ว ทั้งสามคนก็สันนิษฐานว่าหลานชายของเขาคงจะไปหลงใหลความงามของอีกฝ่ายและอยากเป็นเจ้าของเธอ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ฮันเตอร์ปกป้องหลานชายของตัวเองอย่างมาก ทุกคนรู้ดี ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าฮันเตอร์พ่าย
“บ้าเอ๊ย! ฉันมาช้าไป! ช้าไปไม่กี่นาทีเอง!” คาเลบถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวัง และพูดไม่ออก “นายน้อยควินตัน หมายความว่าไง ที่บอกว่ามาช้าไป?” มิสเตอร์วอลเลซงงกับคำพูดของคาเลบ ไม่เข้าใจว่าคาเลบหมายถึงอะไร “มันไม่เกี่ยวกับนาย!” คาเลบถลึงตาใส่มิสเตอร์วอลเลซและพูดโพล่งออกมาหลังจากพูดคำสุดท้ายจบ คาเลบก็ขึ้นรถและเตรียมขับรถไปที่บ้านของเฟนด์ เพื่อไปเป็นสักขีพยานตอนที่เฟนด์ตาย คราวนี้ลุงที่สองของเขาไม่ได้ไปคนเดียว เขายังพาราชาสงครามอีกหลายคนไปด้วย ด้วยกำลังที่รวมกันของพวกเขาพูดได้เลยว่าน่ากลัวและน่าเกรงขาม ดังนั้น คาเลบจึงมั่นใจว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเฟนด์ที่จะได้มีชีวิตอยู่บนโลก ผ่านไปไม่กี่นาที ก็มีราชาสงครามหกคนมารวมตัวกันที่หน้าบ้านของเฟนด์ “ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ใหม่เหรอ? แล้ววิลล่าพวกนี้ล่ะ?” ราชาสงครามคนหนึ่งขมวดคิ้วขณะพยายามแอบมองวิลล่าที่มีกำแพงล้อมรอบ “ใช่แล้ว แต่ฉันไม่รู้ว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่าราชาสงครามสี่ดารามาอาศัยอยู่ที่นี่!”ราชาสงครามอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา พวกเขายืนอยู่ที่หน้าประตูทางเขาบ้านของเฟนด์ แต่กลับถูกบอดี้การ์ดสองคนรขวางไว้ตรงทางเข้า“พวกค
“อาจารย์ครับ มีทั้งหมดหกคนและผมจำหนึ่งในนั้นได้ แต่อีกห้าคนผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร! ถ้าอาจารย์จะออกไปสู้กับพวกนั้น มันจะไม่แย่เหรอ?”บอดี้การ์ดยิ้มบาง ๆ ออกมาสงสัยในการตัดสินใจของสกายเลอร์“นายรู้จักหนึ่งในนั้นใช่ไหม? อืมมม แล้วฉันรู้จักพวกนั้นไหม?” สกายเลอร์ฟังที่ลูกศิษย์ของเขาพูดอย่างตั้งใจและถามพร้อมกับขมวดคิ้ว“โอ้ อาจารย์รู้จักคนคนนี้แน่! เขาเคยเป็นลูกน้องของคุณ แต่เขาไม่รู้จักผมแน่นอน!”บอดี้การ์ดพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ปนเปกัน “เขาคือ คุณ ไมล์ สโตน อาจารย์จำได้ไหม? เขาไม่ใช่แค่ลูกน้องของคุณ แต่อาจารย์ยังเคยช่วยชีวิตเขามาก่อนด้วย!” “อ๋อ! เขานั่นเอง!”ทันทีที่สกายเลอร์ได้ยินชื่อนั้น เขาตื่นเต้นมากและแทบรอไม่ไหวที่จะได้พบกับเพื่อนเก่าที่แสนดีคนนี้ แต่หลังจากก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุด จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเที่ยว แต่อีกฝ่ายมาเพื่อหาเรื่อง ถ้าเขาออกไปแบบนี้อาจทำให้อีกฝ่ายอับอายต่อหน้าราชาสงครามคนอื่น ๆหลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็ถามลูกศิษย์อีกครั้งว่า “คนที่ตะโกนอยากฆ่านายท่านเฟนด์ไม่ใช่เขาใช่ไหม? ไมล์เป็นคนดีและจิตใจดี เขาไม่เคยไปท
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ