เฟนด์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นเพียงวิธีปกติในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะพลังยุทธของเขา และไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์เช่นนี้อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาถูกบีบอัดในขณะที่เขาดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมหาศาลเหล่านี้ เป็นผลให้ใบหน้าเขาซีดและอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากได้รับบาดเจ็บภายใน ถึงกระนั้นสำหรับเฟนด์สิ่งนี้เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้รับศิษย์ของสำนักสหัสบรรณจ้องตรงไปที่หุบเหวแห่งสุญญะและแสดงความคิดเห็นเบา ๆ "ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ออกมา? พวกเขาถูกย้ายไปยังอีกโลกหนึ่งหลังจากที่พวกเขาผ่านการทดสอบหรือเปล่า พวกเราถูกกำจัดแล้ว พวกเราอาจจะไม่สามารถเห็นได้ว่าพวกเขาผ่านการทดสอบที่กำลังจะมาถึงได้อย่างไร”ศิษย์ทั้งห้าในโลกสีโลหิตเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว และนักรบแห่งสุญญะทั้งสี่ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็หายไป นั่นหมายความว่าทุกคนผ่านการทดสอบแล้ว ถึงกระนั้น กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่บนหุบเหวแห่งสุญญะในตอนแรก ซึ่งนั่นสร้างความงุนงงให้กับทุกคนเป็นอย่างมากเนื่องจากทุกคนที่ถูกกำจัดจะถูกย้ายจากโลกโลหิตกลับไปยังหุบเหวแห่งสุญญะ เมื่อ
ชายสวมหน้ากากถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน และซาเมียนก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เบนจามิน เกล และเกรแฮม เอเลียตจากสำนักสหัสบรรณผ่านการท้าทายมาแล้ว เกรแฮมแข็งแกร่งกว่ามากและใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเบนจามิน”ชายสวมหน้ากากหันไปทางจุดที่เบนจามินอยู่และสังเกตว่าเขาหน้าซีดเล็กน้อย เบนจามินกลืนโอสถลงคอในขณะที่เขาจดจ่อกับการฟื้นฟูพลังงานที่แท้จริงของเขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนใช้พลังงานที่แท้จริงไปมากเมื่ออยู่ในโลกโลหิต"แล้วมีใครอีก?" ถามชายสวมหน้ากากอีกครั้งซาเมียนกระแอมเบา ๆ ขณะที่สีหน้าของเขาแข็งกร้าว เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก “มี…ศิษย์พี่เลนนอนจากสำนักของเรา แล้วก็…คุณ” ซาเมียนพูดตะกุกตะกัก และชายสวมหน้ากากก็หันกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจซาเมียนฝืนยิ้ม ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าของซาเมียน เขารู้สึกงงงวยเป็นอย่างมาก “ทำไมทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้? บอกฉันมาตรง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น พูดจาตะกุกตะกักทำไม?”จากนั้นก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัวของชายสวมหน้ากาก เขาเอ่ยถามออกไปว่า "นายพูดถึงพวกเราแค่สี่คนเท่านั้น แล้วใครคือคนที่ห้า?"ในที่สุดชายสวมหน้า
ในตอนที่อยู่ในนั้นเขาต่อสู้อย่างหนัก และใช้พลังที่แท้จริงไปเกือบหมดเพื่อฆ่าเหล่าผีดิบพวกนั้นลง ทุกคนกำลังประสบปัญหาเดียวกันเบนจามินมาจากสำนักเดียวกับเกรแฮม และเกรแฮมเคยถามเขาด้วยว่าเขาผ่านเวลาช่วงสุดท้ายมาได้อย่างไรหลังจากที่พวกเขาถูกย้ายกลับกลับมายังหุบเหวแห่งสุญญะ ท้ายที่สุด การต่อสู้กับผีดิบจำนวนมากทำให้พลังงานที่แท้จริงของพวกเขาหมดลงและทำให้พวกเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงหลังจากสอบถามรายละเอียดกับเบนจามิน เกรแฮมได้ข้อสรุปว่าไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในระดับแรกกำเนิด พลังงานที่แท้จริงของพวกเขาก็จะต้องถูกรีดใช้ไปจนหมด เหนือสิ่งอื่นใด ความเร็วในการสังหารของพวกเขาก็สัมพันธ์โดยตรงกับความแข็งแกร่งของพวกเขาด้วย ยิ่งพวกเขาฆ่าพวกมันไปได้มากเท่าไร ผีดิบก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้พวกเขายิ่งต้องใช้พลังงานของตัวเองมากขึ้นตามไปด้วย คู่ต่อสู้ที่ไม่แข็งแกร่งจะฆ่าศัตรูด้วยความเร็วที่ช้ากว่า และการโจมตีของผีดิบก็จะอ่อนแอกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักวายชนม์และตัวเขาเองนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทุกคนในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาฆ่าศัตรูได้เร็วที่สุด และผีดิบในพื้นที่ของ
จู่ ๆ เบนจามินก็เข้าร่วมวงสนทนาเกรแฮมมองไปและเห็นว่าเบนจามินก็จมอยู่ในความคิดของตัวเองขณะที่เขามองไปที่เฟนด์เช่นกัน เขารู้ว่าเบนจามินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเองก็ได้สัมผัสกับการต่อสู้กับผีดิบหนึ่งร้อยยี่สิบตัวมาแล้ว และเกือบจะล้มเหลวในท้ายที่สุด บาดแผลของเบนจามินรุนแรงกว่าตัวเขา เช่นนั้นเขาถึงได้สับสนกับสภาพในปัจจุบันของเฟนด์"ฉันเข้าใจแล้ว!" ทันใดนั้น ชายสวมหน้ากากซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควรก็พูดขึ้น แววตาที่คำนวณแวบหนึ่งฉายผ่านดวงตาของเขา และดูเหมือนว่าเขาได้รับคำตอบในคำถามที่ยากที่สุดในชีวิตของตัวเองแล้ว เขาพูดเสียงดัง แล้วเมื่อตำแหน่งของเขาปรากฏต่อสายตาของทุกคน เขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันทีด้วยเสียงอุทานอันอึกทึก ซึ่งแม้แต่เฟนด์ก็มองตามเสียงนั้นไป ชายสวมหน้ากากเยาะเย้ยก่อนที่จะหรี่ตาลง “นายกำลังฝึกฝนทักษะทางธาตุวิญญาณใช่ไหม?!” ชายสวมหน้ากากเอ่ยท้าทาย น้ำเสียงดูมั่นใจในตัวเองมากหลาย ๆ คนในขณะนั้นตระหนักว่าเฟนด์ได้บ่มเพาะทักษะทางธาตุจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาเห็นการโจมตีของเฟนด์ ชายสวมหน้ากากและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เฟนเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นคล้อยตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เฟนด
"ถูกต้อง เขาโชคดี! ถ้าเฟนด์ไม่ฝึกฝนทักษะยุทธคุณสมบัติทางธาตุวิญญาณ ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องล้มเหลวในบททดสอบและถูกกำจัด!"“เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะผ่านการทดสอบไปพร้อมกับอีกสี่คนที่เหลือ!”"จริงด้วย! ผู้ชายคนนี้โชคดีจริง ๆ ถ้าทักษะของเขาไม่สามารถปราบผีดิบได้เขาจะผ่านการทดสอบไปได้ยังไง?!"หลายคนเริ่มกังขา พวกเขามองเฟนด์ราวกับเขาเป็นแค่ผู้ชายที่ถูกรางวัล พวกเขาชื่นชมยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จด้วยพลังที่แท้จริงของพวกเขา แต่ดูหมิ่นและกังขาในตัวเฟนด์ ทำไมเขาถึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับยอดฝีมืออีกสี่คนได้? ที่สำคัญที่สุด ผู้ชายคนนี้อยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เหตุใดเขาจึงประสบความสำเร็จ ในเมื่อพวกเขาซึ่งเป็นคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดไม่สามารถทำได้กริฟฟินรู้สึกแย่มากราวกับได้กินของขมไปเป็นกิโลกรัม ก่อนที่ชายสวมหน้ากากจะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ความคิดที่ว่าเฟนด์แข็งแกร่งกว่าเขาทำให้เขาทรมานใจ แต่ถึงกระนั้นเขากลับยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีกหลังจากได้ยินคำอธิบายดังกล่าว เนื่องจากเฟนด์สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพราะโชคช่วยไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งกว่ากริฟฟินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฟ
เฟนด์หันกลับมาและไม่ตอบ ไม่ว่าชายสวมหน้ากากจะพูดอะไร เขาก็ทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่สำคัญด้วยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรมากมายขนาดไหนยิ่งไปกว่านั้นเฟนด์ยังตั้งตารอด่านทดสอบสุดท้ายอีกด้วย นี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้ดูดกลืนพลังจากผลึกวิญญาณสลายในโลกโลหิต เขาอาจเทียบไม่ได้กับชายสวมหน้ากาก แต่ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างออกไปแล้ว ผลึกวิญญาณสลายช่วยให้เฟนด์สามารถสร้างดาบวิญญาณเพิ่มขึ้นได้ยี่สิบเล่ม เมื่อรวมกับดาบวิญญาณที่มีอยู่เดิมสิบห้าเล่ม เขามีดาบวิญญาณทั้งหมดสามสิบห้าเล่ม ซึ่งทำให้เขาไม่กลัวการถูกข่มขู่จุดที่จะทำให้เขาอยู่ในระดับเชี่ยวชาญในทักษะทลายห้วงสุญญะคือเมื่อเขาสามารถสร้างดาบวิญญาณได้ห้าสิบเล่ม ในช่วงที่ผ่านมา เป้าหมายดาบวิญญาณของเขาอยู่ห่างออกไปเพียงสิบห้าเล่มจากจำนวนดาบวิญญาณห้าสิบเล่ม เมื่อเขาสามารถสร้างดาบวิญญาณได้ห้าสิบเล่ม คู่ต่อสู้ในระดับแรกกำเนิดก็จะเทียบอะไรเขาไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วทักษะทลายห้วงสุญญะก็เทียบเท่ากับระดับเทพสูงสุดเป็นอย่างน้อย และนอกจากเฟนด์แล้วก็ไม่มีใครในระดับแรกกำเนิดที่สามารถฝึกฝนทักษะยุทธในระดับเทพสูงสุดได้ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขอ
ไม่เพียงแต่จะมีนักรบแห่งสุญญะปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาเท่านั้น แต่นักรบแห่งสุญญะคนเดียวกันยังปรากฏตัวขึ้นทางด้านซ้ายของพวกเขาหลังจากที่แสงสีแดงดวงเดียวกันส่องผ่านพวกเขาไป “พระเจ้า… นักรบแห่งสุญญะสามคน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ก่อนที่ทั้งห้าคนจะทันได้เอ่ยปาก กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านล่างของหุบเหวก็เริ่มตั้งสติไม่อยู่จริงอยู่ ความท้าทายล้วนแล้วแต่เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้นักรบแห่งสุญญะสามคนก็มาปรากฏตัวพร้อมกัน แต่ละคนจะต้องต่อสู้กับนักรบทั้งสามคนเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ?ในขณะที่พวกเขาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น เสียงของชายชราก็ปรากฏขึ้นข้างหูของพวกเขาอีกครั้ง “พวกเธอแต่ละคนจะต้องต่อสู้กับนักรบแห่งสุญญะสามคน ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่านักรบที่พวกเธอเอาชนะมาได้ในระหว่างการท้าทายครั้งที่สองเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นักรบเหล่านี้ยังใช้ทักษะยุทธเดียวกัน คือทักษะดาบแห่งห้วงฝัน การเอาชนะนักรบแห่งสุญญะทั้งสามนั้นเทียบเท่ากับการผ่านด่านทดสอบที่หก เจ็ด และแปด!"เมื่อเสียงประกาศจบลง ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านล่างของเหวก็เริ่มอยู่ไม่นิ่งอีกครั้งห้าในสิบส่วนไม่ผ่านด่านทดสอบที่สอง ในขณะที่เกือบทั้งหมดไม่ผ่านด่านท
“หุบปากหน่อยได้หรือเปล่า?” เฟนด์บ่น ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ลงรอยกันอยู่แล้ว และต่อให้พูดจาไพเราะต่อกันเช่นไรสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น นี่คือเหตุผลที่เฟนด์ตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนี้สร้างปัญหาให้เขาต่อไปได้อีกใบหน้าของชายสวมหน้ากากมืดลงทันทีที่เฟนด์พูดต่อต้านเขา เขาโกรธจนแทบสำลัก "ไอ้สารเลว! คอยดูเถอะ! อย่าคิดว่านายจะปลอดภัยเพราะแค่ตอนนี้ฉันทำอะไรนายไม่ได้!"เฟนด์หัวเราะเบา ๆ และตอบอย่างเฉยเมยว่า "ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอจนกว่านายจะทำอะไรฉันได้ก็แล้วกัน หวังว่าเพราะถึงตอนนั้นแล้วนายจะไม่ต้องมาบีบน้ำตาขอร้องให้ฉันยกโทษให้"ชายสวมหน้ากากโกรธจนมือสั่นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เกรแฮมและคนอื่น ๆ ถึงกับมองไปที่เฟนด์ด้วยความประหลาดใจ แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้าพูดด้วยท่าทีเช่นนั้นกับชายสวมหน้ากาก เนื่องจากเขาต้องรักษาความสัมพันธ์อันฉาบฉวยเอาไว้บ้าง แต่เฟนด์ไม่กลัวเลยหรือว่าชายสวมหน้ากากจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาหลังจากที่เขาพูดจารุนแรงตอบกลับไปแบบนี้? เกรแฮมเริ่มสงสัยมากขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์สงบเพียงใด การโต้เถียงไม่ได้ดำเนินต่อไปอีกแล้ว"หวือ!"พวกเขาทั้งห้าได้ยินเสียงดาบคม ๆ ที