"อืม ว่ามา! ผมอยากรู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรถึงทำให้คุณและผู้อาวุโสจากเผ่าของคุณต้องมาถึงที่นี่ ต้องมีเรื่องสำคัญแน่!” นายท่านโลเดอร์คือหัวหน้าเผ่าผลึกเมฆา เขามองไปที่จอชด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จอชมีใบหน้าเคร่งขรึมขณะตอบคำถามของเขา “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น! เผ่ากระหายเลือดได้พบว่ามีผู้คนจากดินแดนรกร้างจำนวนมากได้เข้ามาที่นี่เมื่อสองเดือนก่อน ไม่ใช่แค่หยิบมือ แต่กลับเข้ามากันราวหกแสนคน!” “หกแสนคน?” เมื่อหัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่สองคนได้ยินสิ่งนี้พวกเขาก็อ้าปากค้าง ไม่ได้จินตนาการไว้เลยว่าผู้คนที่เข้ามาจากดินแดนรกร้าง? “คุณล้อเล่นใช่ไหม? พวกนั้นเข้ามากันมากมายขนาดนั้นเชียวหรอ?” นายท่านโลเดอร์ถามจอชหลังจากครุ่นคิด “ในตอนที่เผ่ากระหายเลือดได้ค้นพบการรอบเข้ามาของพวกเขา พวกเขาไม่ได้จัดการอะไรคนพวกนั้นเลยหรือ? พวกนั้นเข้ามากันมากเกินไป! เราจะปล่อยให้คนเหล่านี้เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรเยอะของเราไปไม่ได้! ในตอนนี้การจะทะลวงเข้าไปในแต่ละขั้นนั้นนับว่าไม่ง่ายเลย แถมหญ้าวิญญาณระดับสี่ก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่นัก ดังนั้นเราจะปล่อยให้มากมายเช่นนั้นเข้าไปในพื้นที่นี้ได้ยังไง!” จอชตอบทันทีว่า “เผ่ากระหายเลือ
หลังจากนั้นไม่นานจอชก็เล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้หัวหน้าเผ่าทั้งสองฟังตั้งแต่ต้นจนจบ “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ! คน ๆ หนึ่งจะสามารถทะลวงอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าสารเลวนั่นต้องเก็บสิ่งของล้ำค่าบางอย่างได้ เป็นบางอย่างที่หายากและล้ำค่าจริง ๆ!” ใบหน้าของนายท่านโลเดอร์เต็มไปด้วยอารมณ์ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “เราต้องกำจัดเจ้าสารเลวนั่น! หากเราปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ เขาจะต้องสร้างปัญหาให้กับกองกำลังภาคีในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน!” "ใช่! คุณพูดถูก! ถ้าเจ้าสารเลวนี้ยังมีชีวิตอยู่ เราจะต้องเจอกับปัญหาไม่จบไม่สิ้น!” นายท่านโลเดอร์พยักหน้าพร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่น “ท่าน ผม…” ใบหน้าของจอชเปลี่ยนไปเมื่อเขาฟังหัวหน้าเผ่าทั้งสอง “วันนี้ผมมาเพื่อแจ้งให้พวกคุณทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้พวกคุณสามารถนำที่เหลือเพื่อจัดการประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้! ผมจะขอเสนอบางอย่างด้วย!” "โอ้? ว่ามาสิ?" นายท่านโลเดอร์และนายท่านแมคเคนซี่มองจอชด้วยความสนใจหลังจากได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของจอช “ในเมื่อมีคนมากมายจาก
ในไม่ช้า จอชก็ออกจากห้องโถงพร้อมกับคนของเขาและบินกลับไปที่เผ่าของตัวเอง เมื่อพวกเขาบินออกไปได้ระยะหนึ่ง ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของเผ่าดาบราชันย์ก็เข้ามาถามว่า “นายท่าน คุณคิดอะไรอยู่? ทำไมคุณถึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาปล่อยคนนอกไป? คนก็รู้ดีอยู่ว่ากองกำลังภาคีทั้งหกนี้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของพวกเขามากกว่าสิ่งอื่นใด! ยิ่งกว่านั้นตอนนี้กองกำลังเล็ก ๆอย่างเผ่ากระหายเลือดซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาก็ถูกกำจัดไปแล้ว พวกเขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสลำดับที่สองเข้าหาจอชและพูดว่า “ใช่แล้วนายท่าน ต่อไปพวกเขาอาจรู้สึกไม่พอใจและอาจไม่เกรงใจคุณอีก หน้าที่ของเราคือแจ้งให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์เท่านั้น ไม่เห็นต้องเสนอความคิดอะไรเลย เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาจะจัดการประชุมเพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถูกไหมล่ะ?” จากนั้นจอชก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เพราะคุณคงไม่เข้าใจหรอก เฟนด์ เจ้าสารเลวนั่นแข็งแกร่งเกินไป หากครั้งนี้พวกเขาจัดการหมอนั่นได้ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าทำไม่ได้ล่ะ? อีกฝ่ายจะโกรธพวกเขาแล้วก็จะเกิดปัญหาขึ้น!” “เป็นไปได้หรอ? กองกำลังใหญ่โตเหล่านี้มีนักสู้
หลายคนส่งสายตาอิจฉาไปที่เฟนด์ เซเลน่าและดาเนียลล่า พวกเขาจะไม่อิจฉาชายหนุ่มได้อย่างไร ในเมื่อเขามีสาวสวยสองคนมาเดินซื้อของไปกับเขาด้วยอย่างนี้หลังจากทั้งสามคนทานอาหารเสร็จ ดาเนียลล่าก็เดินกลับไปอย่างไม่เต็มใจ“คุณไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจของดาเนียลล่าเหรอ? ฉันคิดว่าคุณควรค้างคืนที่ห้องของเธอสักหน่อย!” หลังจากที่พวกเขากลับไปที่ห้อง เซเลน่าก็กลอกตาไปที่เฟนด์และพูดอย่างหมดหนทางโดยไม่คาดคิดเฟนด์ขมวดคิ้วและพูดกับเซเลน่าว่า "ที่รัก ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับดาเนียลล่าแต่ผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร!"“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” เซเลน่ารู้สึกงงงวย“ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนที่ผมจับมือเธอระหว่างการเดินซื้อของในวันนี้ เธอก็จะหน้าแดงมาก เธอขี้อายราวกับสาวบริสุทธิ์ และว่าผมรู้สึกว่ามันผิดปกติ!” เฟนด์คิดเกี่ยวกับมันก่อนที่จะพูดความสงสัยของเขาออกมาเสียงดัง“คุณคิดมากเกินไปแล้ว ผู้หญิงจะอายสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนคุณก็ไม่ได้จับมือเธอบ่อย ๆ ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เธอจะอายสักหน่อย!” เซเลน่าพูดไม่ออกและพูดต่อไป “นี่คุณคิดจริง ๆ หรือว่าการที่เธอได้นอนกับคุณแค่
เฟนด์ยังคงบ่มเพาะโอสถต่อไปหลังจากพักผ่อนมาหนึ่งวันอย่างที่เขาคาดไว้ ในที่สุดเขาก็มีโอสถชั้นยอดระดับสามถึงสิบเม็ดอยู่ในมือหลังจากผ่านไปสามวันสำหรับพลังยุทธของเขา เขาอยู่ห่างจากขั้นที่แปดระดับเทพสูงสุดเพียงก้าวเดียวเขาฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มและทะลวงเข้าสู่ขั้นที่แปดระดับเทพสูงสุดก่อน หลังจากทำให้ระดับพลังยุทธของเขามั่นคง เขาก็ใช้โอสถชั้นยอดระดับสามโดยตรงและฝึกตนอยู่อย่างสันโดษ หลังจากอยู่อย่างสันโดษไปสามสี่วัน เวลาสำหรับการเลือกผู้นำคนใหม่ก็ใกล้เข้ามาทุกทีออสตินไม่ยอมให้เสียเวลา อีกทั้งยังวางแผนที่จะคุยกับเฟนด์และแสร้งทำเป็นขอคำแนะนำเกี่ยวกับกองกำลังใหม่นี้“แปลกเสียจริง คุณเซเลน่า ทำไมเราไม่ค่อยเห็นเฟนด์ออกจากบ้านเลย? เขาบ่มเพาะตัวเองหนักไปหรือเปล่า” เมื่อมาถึง ออสตินยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยปากถามเมื่อเขาไม่เห็นเฟนด์“หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง เฟนด์ตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มพลังยุทธของเขาหลังจากการต่อสู้กับเผ่ากระหายเลือด ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่ฉันก็เห็นว่าเกือบทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการบ่มเพาะตัวเองเมื่อเร็ว ๆ นี้ และทุกคนต่างก็ตั้งตารอที่จะมีระดับพลังยุทธที่ก้าวหน้า
หลังจากที่ลูกบอลแสงดิ้นรนอยู่สองถึงสามวินาที มันก็หยุดดิ้นรนและพุ่งเข้าสู่ฝ่ามือของเฟนด์ไม่ทันใดนั้น พื้นก็เริ่มสั่นสะเทือนและดูคล้ายจะแย่ออกเฟนด์มองออกไปก่อนที่จะยื่นมือไปจับลูกบอลแสงสีฟ้าอย่างรวดเร็วในทันทีลูกบอลแสงยังขัดขืนสองครั้งก่อนที่มันจะนิ่งสนิท จากนั้นมันก็เข้าสู่ร่างของเฟนด์โดยตรงและภาพเหล่านั้นก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ เฟนด์ค้นพบสิ่งนี้และออกจากห้วงแห่งความว่างเปล่าเฟนด์ลืมตาขึ้นและตรวจสอบร่างกายของเขาทันที เขาค้นพบความผันผวนของพลังงานที่แตกต่างกันสองแบบในใจกลางของร่างกายแน่นอน พลังยุทธของเขาก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณแล้วในขณะนี้เฟนด์เปิดใช้งานหนึ่งในพลังทันที มันแล่นผ่านเส้นลมปราณของเขา เขาพบว่ามีประกายไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ และในขณะที่เขาใช้พลังอย่างต่อเนื่องประกายไฟก็จะใหญ่ขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นลูกไฟ'โอ้พระเจ้า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเข้มข้นของพลังฉี แถมยังดูคล้ายกับของจริง! ยิ่งไปกว่านั้น ความผันผวนของพลังนั้นแข็งแกร่งมาก ฉันสามารถควบคุมมันได้ตามต้องการและหากได้โจมตีด้วยสิ่งนี้มันจะทรงพลังมหาศาลทีเดียว!' เฟนด์รู้สึกได้ถึงลูกไฟในมือแล
"ฮะ!" เซเลน่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอได้แต่สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ไม่คาดคิดเลยว่าเฟนด์จะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้“เหลือเชื่อจริง ๆ! ดูเหมือนว่าคุณได้บ่มเพาะโอสถชั้นยอดระดับสามได้แล้วด้วย ตอนนี้คุณอยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณแล้ว การที่คุณจะฆ่าใครสักคนในขั้นที่สองระดับทะลวงวิญญาณคงไม่ใช่เรื่องยากแล้วสินะ!” เซเลน่าตื่นเต้นมาก มันไม่ง่ายเลยที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณได้เพราะมันเป็นระดับที่เรียกได้ว่ายากเย็นเมื่อเขาอยู่ในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุด เฟนด์สามารถฆ่าปรมาจารย์ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ แล้วหลังจากที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณมาได้เช่นนี้ การฆ่าปรมาจารย์ในระดับขั้นที่สองหรือสามในระดับทะลวงวิญญาณคงจะง่ายเช่นกันเฟนด์หัวเราะเบา ๆ และมีความหวัง “ฮ่าฮ่า… ถึงจะได้เป็นผู้นำอย่างแน่นอน และเมื่อผมเป็นผู้นำ ผมจะให้เวลาหัวหน้าป้อมปราการในการฝึกฝนเพื่อให้พวกเขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ หากพวกเขาสามารถทะลวงได้ กองกำลังใหม่ของเราจะแข็งแกร่งกว่าตำหนักคลื่นเมฆาเสี
“ฮ่าฮ่า…!” เฟนด์หัวเราะเบา ๆ และอธิบายว่า “ผมมาที่นี่เพื่อมาคุยกับหัวหน้าป้อมปราการของคุณ”“เอาล่ะ ผมจะหาคนนำทางคุณไป” เนื่องจากเฟนด์มีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัว ผู้คนในกองทัพทั้งเก้าจึงเคารพเขา ผู้อาวุโสสั่งให้คนหนุ่มสาวพาเฟนด์ไปหาหัวหน้าป้อมปราการของพวกเขาในทันทีเมื่อเฟนด์ทิ้งห่างจากพวกเขาไป ผู้อาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำ “นี่มันแปลกชอบกล ผู้ชายคนนั้นอยู่อย่างปลีกวิเวกฝึกยุทธอยู่ทุกวัน ทำไมจู่ ๆ วันนี้เขาถึงมาเยี่ยมหัวหน้าป้อมปราการของเรา? เรากำลังก่อตั้งกองกำลังใหม่และกำลังจะเลือกหัวหน้ากองกำลังคนใหม่ด้วย ชายหนุ่มคนนี้มาที่นี่เพื่อโน้มน้าวหัวหน้าป้อมปราการของเราและสมาชิกของเราให้ลงคะแนนให้เขาหรือเปล่านะ?”อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าผู้อาวุโสก็ส่ายหน้าและยิ้มอย่างเย็นชา “ชายหนุ่มคนนี้ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ที่คิดแบบนั้น เราจะเลือกให้เขาเป็นเจ้าตำหนักแทนหัวหน้าป้อมปราการของเราได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นสมาชิกของกองทัพทั้งเก้า”ในไม่ช้าเฟนด์ก็มาถึงต่อหน้าหัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ และขอให้ทุกคนปล่อยพวกเขาทั้งสองไว้ที่สวน“น้องเฟนด์โปรดพูดกับผมมาตรง ๆ เถอะ แค่ได้เห็นว่าคุณระมัดระวังตัวแค่ไหน ต่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ