เฟนด์ก้มหน้าลงและมอบจุมพิตแนบลงไปบนริมฝีปากอมชมพูของเซเลน่า “ผมไม่ได้จูบคุณมาตั้งนานแล้ว!” เขาพูด หลังจากนั้นครู่หนึ่งเซเลน่าก็ผลักเฟนด์ออกไป “ฉันมีจุดดำขนาดใหญ่บนใบหน้า มันน่าเกลียดออก! คุณไม่รังเกียจมันเหรอ?” น้ำเสียงของเธอฟังดูลำบากใจ เฟนด์หัวเราะเบา ๆ กับคำพูดของเซเลน่า “ในใจผม คุณคือผู้หญิงที่สวยที่สุด คุณยังให้กำเนิดลูกสาวที่ยอดเยี่ยมให้ผมด้วย! ตอนนี้ผมไม่อาจมีความสุขมากกว่านี้ไปได้อีกแล้ว!” "จริงหรือ? ฉัน… ที่จริงฉันคิดว่าอยากจะมีลูกชายอีกคนกับคุณในอนาคต!” เซเลน่าเม้มริมฝีปากสีแดงของเธอและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข “ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมชอบความคิดนั้นนะ!” เฟนด์หัวเราะเสียงดัง ในขณะนี้จอช วอลล์แมน หัวหน้าเผ่าดาบราชันย์ได้พาพาผู้อาวุโสของเผ่าไปเยี่ยมหัวหน้าเผ่าผลึกเมฆา “ฉันจอช วอลล์แมนในฐานะหัวหน้าเผ่าดาบราชันย์ร่วมกับผู้อาวุโสของเผ่าดาบราชันย์มาที่นี่เพื่อขอพบกับหัวหน้าเผ่าผลึกเมฆา!” จอชและคนของเขามาอยู่ต่อหน้าศิษย์กลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังลาดตระเวนรอบ ๆ เผ่าผลึกเมฆาและโค้งคำนับเหล่าศิษย์พวกนั้นด้วยความเคารพและแสดงเจอจำนงค์ที่จะเข้าเยี่ยมเผ่าของพวกเขา "อ๋อ คุณเป็นหัวหน้า
"อืม ว่ามา! ผมอยากรู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรถึงทำให้คุณและผู้อาวุโสจากเผ่าของคุณต้องมาถึงที่นี่ ต้องมีเรื่องสำคัญแน่!” นายท่านโลเดอร์คือหัวหน้าเผ่าผลึกเมฆา เขามองไปที่จอชด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จอชมีใบหน้าเคร่งขรึมขณะตอบคำถามของเขา “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น! เผ่ากระหายเลือดได้พบว่ามีผู้คนจากดินแดนรกร้างจำนวนมากได้เข้ามาที่นี่เมื่อสองเดือนก่อน ไม่ใช่แค่หยิบมือ แต่กลับเข้ามากันราวหกแสนคน!” “หกแสนคน?” เมื่อหัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่สองคนได้ยินสิ่งนี้พวกเขาก็อ้าปากค้าง ไม่ได้จินตนาการไว้เลยว่าผู้คนที่เข้ามาจากดินแดนรกร้าง? “คุณล้อเล่นใช่ไหม? พวกนั้นเข้ามากันมากมายขนาดนั้นเชียวหรอ?” นายท่านโลเดอร์ถามจอชหลังจากครุ่นคิด “ในตอนที่เผ่ากระหายเลือดได้ค้นพบการรอบเข้ามาของพวกเขา พวกเขาไม่ได้จัดการอะไรคนพวกนั้นเลยหรือ? พวกนั้นเข้ามากันมากเกินไป! เราจะปล่อยให้คนเหล่านี้เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรเยอะของเราไปไม่ได้! ในตอนนี้การจะทะลวงเข้าไปในแต่ละขั้นนั้นนับว่าไม่ง่ายเลย แถมหญ้าวิญญาณระดับสี่ก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่นัก ดังนั้นเราจะปล่อยให้มากมายเช่นนั้นเข้าไปในพื้นที่นี้ได้ยังไง!” จอชตอบทันทีว่า “เผ่ากระหายเลือ
หลังจากนั้นไม่นานจอชก็เล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้หัวหน้าเผ่าทั้งสองฟังตั้งแต่ต้นจนจบ “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ! คน ๆ หนึ่งจะสามารถทะลวงอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าสารเลวนั่นต้องเก็บสิ่งของล้ำค่าบางอย่างได้ เป็นบางอย่างที่หายากและล้ำค่าจริง ๆ!” ใบหน้าของนายท่านโลเดอร์เต็มไปด้วยอารมณ์ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “เราต้องกำจัดเจ้าสารเลวนั่น! หากเราปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ เขาจะต้องสร้างปัญหาให้กับกองกำลังภาคีในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน!” "ใช่! คุณพูดถูก! ถ้าเจ้าสารเลวนี้ยังมีชีวิตอยู่ เราจะต้องเจอกับปัญหาไม่จบไม่สิ้น!” นายท่านโลเดอร์พยักหน้าพร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่น “ท่าน ผม…” ใบหน้าของจอชเปลี่ยนไปเมื่อเขาฟังหัวหน้าเผ่าทั้งสอง “วันนี้ผมมาเพื่อแจ้งให้พวกคุณทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้พวกคุณสามารถนำที่เหลือเพื่อจัดการประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้! ผมจะขอเสนอบางอย่างด้วย!” "โอ้? ว่ามาสิ?" นายท่านโลเดอร์และนายท่านแมคเคนซี่มองจอชด้วยความสนใจหลังจากได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของจอช “ในเมื่อมีคนมากมายจาก
ในไม่ช้า จอชก็ออกจากห้องโถงพร้อมกับคนของเขาและบินกลับไปที่เผ่าของตัวเอง เมื่อพวกเขาบินออกไปได้ระยะหนึ่ง ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของเผ่าดาบราชันย์ก็เข้ามาถามว่า “นายท่าน คุณคิดอะไรอยู่? ทำไมคุณถึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาปล่อยคนนอกไป? คนก็รู้ดีอยู่ว่ากองกำลังภาคีทั้งหกนี้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของพวกเขามากกว่าสิ่งอื่นใด! ยิ่งกว่านั้นตอนนี้กองกำลังเล็ก ๆอย่างเผ่ากระหายเลือดซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาก็ถูกกำจัดไปแล้ว พวกเขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสลำดับที่สองเข้าหาจอชและพูดว่า “ใช่แล้วนายท่าน ต่อไปพวกเขาอาจรู้สึกไม่พอใจและอาจไม่เกรงใจคุณอีก หน้าที่ของเราคือแจ้งให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์เท่านั้น ไม่เห็นต้องเสนอความคิดอะไรเลย เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาจะจัดการประชุมเพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถูกไหมล่ะ?” จากนั้นจอชก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เพราะคุณคงไม่เข้าใจหรอก เฟนด์ เจ้าสารเลวนั่นแข็งแกร่งเกินไป หากครั้งนี้พวกเขาจัดการหมอนั่นได้ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าทำไม่ได้ล่ะ? อีกฝ่ายจะโกรธพวกเขาแล้วก็จะเกิดปัญหาขึ้น!” “เป็นไปได้หรอ? กองกำลังใหญ่โตเหล่านี้มีนักสู้
หลายคนส่งสายตาอิจฉาไปที่เฟนด์ เซเลน่าและดาเนียลล่า พวกเขาจะไม่อิจฉาชายหนุ่มได้อย่างไร ในเมื่อเขามีสาวสวยสองคนมาเดินซื้อของไปกับเขาด้วยอย่างนี้หลังจากทั้งสามคนทานอาหารเสร็จ ดาเนียลล่าก็เดินกลับไปอย่างไม่เต็มใจ“คุณไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจของดาเนียลล่าเหรอ? ฉันคิดว่าคุณควรค้างคืนที่ห้องของเธอสักหน่อย!” หลังจากที่พวกเขากลับไปที่ห้อง เซเลน่าก็กลอกตาไปที่เฟนด์และพูดอย่างหมดหนทางโดยไม่คาดคิดเฟนด์ขมวดคิ้วและพูดกับเซเลน่าว่า "ที่รัก ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับดาเนียลล่าแต่ผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร!"“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” เซเลน่ารู้สึกงงงวย“ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนที่ผมจับมือเธอระหว่างการเดินซื้อของในวันนี้ เธอก็จะหน้าแดงมาก เธอขี้อายราวกับสาวบริสุทธิ์ และว่าผมรู้สึกว่ามันผิดปกติ!” เฟนด์คิดเกี่ยวกับมันก่อนที่จะพูดความสงสัยของเขาออกมาเสียงดัง“คุณคิดมากเกินไปแล้ว ผู้หญิงจะอายสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนคุณก็ไม่ได้จับมือเธอบ่อย ๆ ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เธอจะอายสักหน่อย!” เซเลน่าพูดไม่ออกและพูดต่อไป “นี่คุณคิดจริง ๆ หรือว่าการที่เธอได้นอนกับคุณแค่
เฟนด์ยังคงบ่มเพาะโอสถต่อไปหลังจากพักผ่อนมาหนึ่งวันอย่างที่เขาคาดไว้ ในที่สุดเขาก็มีโอสถชั้นยอดระดับสามถึงสิบเม็ดอยู่ในมือหลังจากผ่านไปสามวันสำหรับพลังยุทธของเขา เขาอยู่ห่างจากขั้นที่แปดระดับเทพสูงสุดเพียงก้าวเดียวเขาฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มและทะลวงเข้าสู่ขั้นที่แปดระดับเทพสูงสุดก่อน หลังจากทำให้ระดับพลังยุทธของเขามั่นคง เขาก็ใช้โอสถชั้นยอดระดับสามโดยตรงและฝึกตนอยู่อย่างสันโดษ หลังจากอยู่อย่างสันโดษไปสามสี่วัน เวลาสำหรับการเลือกผู้นำคนใหม่ก็ใกล้เข้ามาทุกทีออสตินไม่ยอมให้เสียเวลา อีกทั้งยังวางแผนที่จะคุยกับเฟนด์และแสร้งทำเป็นขอคำแนะนำเกี่ยวกับกองกำลังใหม่นี้“แปลกเสียจริง คุณเซเลน่า ทำไมเราไม่ค่อยเห็นเฟนด์ออกจากบ้านเลย? เขาบ่มเพาะตัวเองหนักไปหรือเปล่า” เมื่อมาถึง ออสตินยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยปากถามเมื่อเขาไม่เห็นเฟนด์“หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง เฟนด์ตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มพลังยุทธของเขาหลังจากการต่อสู้กับเผ่ากระหายเลือด ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่ฉันก็เห็นว่าเกือบทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการบ่มเพาะตัวเองเมื่อเร็ว ๆ นี้ และทุกคนต่างก็ตั้งตารอที่จะมีระดับพลังยุทธที่ก้าวหน้า
หลังจากที่ลูกบอลแสงดิ้นรนอยู่สองถึงสามวินาที มันก็หยุดดิ้นรนและพุ่งเข้าสู่ฝ่ามือของเฟนด์ไม่ทันใดนั้น พื้นก็เริ่มสั่นสะเทือนและดูคล้ายจะแย่ออกเฟนด์มองออกไปก่อนที่จะยื่นมือไปจับลูกบอลแสงสีฟ้าอย่างรวดเร็วในทันทีลูกบอลแสงยังขัดขืนสองครั้งก่อนที่มันจะนิ่งสนิท จากนั้นมันก็เข้าสู่ร่างของเฟนด์โดยตรงและภาพเหล่านั้นก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ เฟนด์ค้นพบสิ่งนี้และออกจากห้วงแห่งความว่างเปล่าเฟนด์ลืมตาขึ้นและตรวจสอบร่างกายของเขาทันที เขาค้นพบความผันผวนของพลังงานที่แตกต่างกันสองแบบในใจกลางของร่างกายแน่นอน พลังยุทธของเขาก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณแล้วในขณะนี้เฟนด์เปิดใช้งานหนึ่งในพลังทันที มันแล่นผ่านเส้นลมปราณของเขา เขาพบว่ามีประกายไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ และในขณะที่เขาใช้พลังอย่างต่อเนื่องประกายไฟก็จะใหญ่ขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นลูกไฟ'โอ้พระเจ้า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเข้มข้นของพลังฉี แถมยังดูคล้ายกับของจริง! ยิ่งไปกว่านั้น ความผันผวนของพลังนั้นแข็งแกร่งมาก ฉันสามารถควบคุมมันได้ตามต้องการและหากได้โจมตีด้วยสิ่งนี้มันจะทรงพลังมหาศาลทีเดียว!' เฟนด์รู้สึกได้ถึงลูกไฟในมือแล
"ฮะ!" เซเลน่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอได้แต่สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ไม่คาดคิดเลยว่าเฟนด์จะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้“เหลือเชื่อจริง ๆ! ดูเหมือนว่าคุณได้บ่มเพาะโอสถชั้นยอดระดับสามได้แล้วด้วย ตอนนี้คุณอยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณแล้ว การที่คุณจะฆ่าใครสักคนในขั้นที่สองระดับทะลวงวิญญาณคงไม่ใช่เรื่องยากแล้วสินะ!” เซเลน่าตื่นเต้นมาก มันไม่ง่ายเลยที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณได้เพราะมันเป็นระดับที่เรียกได้ว่ายากเย็นเมื่อเขาอยู่ในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุด เฟนด์สามารถฆ่าปรมาจารย์ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ แล้วหลังจากที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณมาได้เช่นนี้ การฆ่าปรมาจารย์ในระดับขั้นที่สองหรือสามในระดับทะลวงวิญญาณคงจะง่ายเช่นกันเฟนด์หัวเราะเบา ๆ และมีความหวัง “ฮ่าฮ่า… ถึงจะได้เป็นผู้นำอย่างแน่นอน และเมื่อผมเป็นผู้นำ ผมจะให้เวลาหัวหน้าป้อมปราการในการฝึกฝนเพื่อให้พวกเขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ หากพวกเขาสามารถทะลวงได้ กองกำลังใหม่ของเราจะแข็งแกร่งกว่าตำหนักคลื่นเมฆาเสี