"ฮะ!" เซเลน่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอได้แต่สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ไม่คาดคิดเลยว่าเฟนด์จะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้“เหลือเชื่อจริง ๆ! ดูเหมือนว่าคุณได้บ่มเพาะโอสถชั้นยอดระดับสามได้แล้วด้วย ตอนนี้คุณอยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณแล้ว การที่คุณจะฆ่าใครสักคนในขั้นที่สองระดับทะลวงวิญญาณคงไม่ใช่เรื่องยากแล้วสินะ!” เซเลน่าตื่นเต้นมาก มันไม่ง่ายเลยที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณได้เพราะมันเป็นระดับที่เรียกได้ว่ายากเย็นเมื่อเขาอยู่ในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุด เฟนด์สามารถฆ่าปรมาจารย์ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ แล้วหลังจากที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณมาได้เช่นนี้ การฆ่าปรมาจารย์ในระดับขั้นที่สองหรือสามในระดับทะลวงวิญญาณคงจะง่ายเช่นกันเฟนด์หัวเราะเบา ๆ และมีความหวัง “ฮ่าฮ่า… ถึงจะได้เป็นผู้นำอย่างแน่นอน และเมื่อผมเป็นผู้นำ ผมจะให้เวลาหัวหน้าป้อมปราการในการฝึกฝนเพื่อให้พวกเขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ หากพวกเขาสามารถทะลวงได้ กองกำลังใหม่ของเราจะแข็งแกร่งกว่าตำหนักคลื่นเมฆาเสี
“ฮ่าฮ่า…!” เฟนด์หัวเราะเบา ๆ และอธิบายว่า “ผมมาที่นี่เพื่อมาคุยกับหัวหน้าป้อมปราการของคุณ”“เอาล่ะ ผมจะหาคนนำทางคุณไป” เนื่องจากเฟนด์มีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัว ผู้คนในกองทัพทั้งเก้าจึงเคารพเขา ผู้อาวุโสสั่งให้คนหนุ่มสาวพาเฟนด์ไปหาหัวหน้าป้อมปราการของพวกเขาในทันทีเมื่อเฟนด์ทิ้งห่างจากพวกเขาไป ผู้อาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำ “นี่มันแปลกชอบกล ผู้ชายคนนั้นอยู่อย่างปลีกวิเวกฝึกยุทธอยู่ทุกวัน ทำไมจู่ ๆ วันนี้เขาถึงมาเยี่ยมหัวหน้าป้อมปราการของเรา? เรากำลังก่อตั้งกองกำลังใหม่และกำลังจะเลือกหัวหน้ากองกำลังคนใหม่ด้วย ชายหนุ่มคนนี้มาที่นี่เพื่อโน้มน้าวหัวหน้าป้อมปราการของเราและสมาชิกของเราให้ลงคะแนนให้เขาหรือเปล่านะ?”อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าผู้อาวุโสก็ส่ายหน้าและยิ้มอย่างเย็นชา “ชายหนุ่มคนนี้ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ที่คิดแบบนั้น เราจะเลือกให้เขาเป็นเจ้าตำหนักแทนหัวหน้าป้อมปราการของเราได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นสมาชิกของกองทัพทั้งเก้า”ในไม่ช้าเฟนด์ก็มาถึงต่อหน้าหัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ และขอให้ทุกคนปล่อยพวกเขาทั้งสองไว้ที่สวน“น้องเฟนด์โปรดพูดกับผมมาตรง ๆ เถอะ แค่ได้เห็นว่าคุณระมัดระวังตัวแค่ไหน ต่
“ชั้น… ชั้นยอดระดับสาม?” เสียงของหัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ฟังดูสั่นเครือแม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตามเขาเข้าใจดีว่านักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามนั้นหายากมาก นักเล่นแร่แปรธาตุดังกล่าวสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนให้กับผู้ที่อยู่ในระดับเทพสูงสุดได้ สิ่งนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งและสองในระดับเทพสูงสุดทว่าโอสถดังกล่าวไม่มีประโยชน์สำหรับคนอย่างเขาผู้ซึ่งบรรลุถึงขั้นที่เก้าระดับเทพสูงสุดและล้มเหลวในการทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณถึงสองครั้งท้ายที่สุดแล้ว พลังของโอสถขั้นต้นระดับสามก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ พลังงานของมันอาจไม่เพียงพอในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และนั่นจะส่งผลต่อกระบวนการพัฒนาและจะทำให้ล้มเหลวในที่สุดแต่โอสถชั้นยอดระดับสามนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง พลังงานในโอสถดังกล่าวมีมากกว่าโอสถชั้นต้นระดับสามหลายเท่า และเพียงพอสำหรับเขาซึ่งอยู่ในขั้นที่เก้าระดับเทพสูงสุดที่จะทะลวงผ่านไปอีกระดับได้ภายในครั้งเดียว อัตราความสำเร็จก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาล้มเหลวส
"จะเป็นไปได้ยังไง? ผมจับตามองพรสวรรค์ของนายน้อยเฟนด์มานานแล้ว คุณสามารถจัดการกับคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ ทั้งที่คุณอยู่ในขั้นที่เจ็ดในระดับเทพสูงสุดเท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะเช่นคุณแล้ว ใครจะได้ตำแหน่งหัวหน้าคนใหม่ไปล่ะ?” หัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์หัวเราะและยกยอเฟนด์ในทันที ในขณะที่จ้องมองไปยังโอสถในมือของเฟนด์ “ถึงกระนั้น ผมก็กลัวว่าหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งจะไม่พอใจ เอาแบบนี้ดีไหม ผมจะเป็นคนเดียวที่ลงคะแนนให้เขา แต่ลูกน้องทุกคนของผมจะโหวตให้คุณ เมื่อถึงตอนนั้น ผมก็จะได้ปฏิเสธได้ว่าผมไม่รู้เรื่อง ได้เมื่อหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะบอกว่าคุณได้รับชัยชนะจากเสียงของพรรคพวกของผม คุณคิดว่าดีไหม?"“ฮ่าฮ่า… เช่นนั้นก็ได้ ตราบใดที่ผมจะได้รับชัยชนะ!” เฟนด์หัวเราะและวางโอสถลงในฝ่ามือของหัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ “ตกลง เช่นนั้นผมต้องขอตัวลาแล้ว”“ดูแลตัวเองด้วย นายน้อยเฟนด์ ผมคงไปส่งคุณไม่ได้เพราะกลัวคนเห็นเรา!” หัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์เดินไปข้างหน้าและเปิดประตูให้เฟนด์ทันทีเมื่อเฟนด์จากไป หัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ก็มองดูโอสถในฝ่ามือขอ
“ฮ่าฮ่า! วิเศษ! สิ่งที่ผมต้องการนั้นก็ไม่ยากเลย แค่ให้สมาชิกป้อมปราการของคุณลงคะแนนให้ผมก็เท่านั้น” เฟนด์หัวเราะเสียงดัง ไม่คาดคิดเลยว่าหัวหน้าป้อมปราการลาวีนจะรีบร้อนและรับโอสถโดยไม่คัดค้านแม้แต่น้อยเช่นนี้ เขายอมก้มหัวให้โดยไม่วางท่าอะไรมากนัก“แน่นอน นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด! หากผมสามารถทะลวงถึงระดับทะลวงวิญญาณได้ทุกอย่างก็จะราบรื่น” หัวหน้าป้อมปราการลาวีนกล่าวอย่างร่าเริง ในไม่ช้าเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวเสริมทันทีว่า “ยังไงก็เถอะ เมื่อคุณได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสี่ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมเราแล้วกัน!”"ไม่ต้องกังวล ผมจะให้รางวัลแก่ผู้ที่ทุ่มเทฝึกฝนตัวเองและมีส่วนร่วมในกองกำลังอย่างแน่นอน เหนือสิ่งอื่นใด การที่นักเล่นแร่แปรธาตุที่จะบ่มเพาะโอสถดังกล่าวนั้นก็นับก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตราบใดที่มีวัสดุสำหรับบ่มเพาะโอสถ” เมื่อถึงจุดนั้นเฟนด์ก็แอบวางแผนของตัวเอง ถ้าเขาสร้างกองกำลังขึ้นมาในอนาคต เขาก็จะยิ่งได้รับทรัพยากรยุทธมากขึ้นไม่ใช่หรือ? ที่สำคัญกว่านั้น เขาสามารถขอให้ศิษย์หรือผู้อาวุโสของกองกำลังช่วยค้นหาวัสดุที่จำเป็นในการถอนคำสาปของเซเลน่าได้ด้วยความคิดนี้ทำให้เฟนด์ผ่อนค
เซเลน่าพยักหน้าและแนะนำเฟนด์ “เอาล่ะ อย่าหักโหมเกินไปล่ะ เข้าใจไหม? เมื่อถึงเวลาต้องพัก คุณก็ต้องพัก”"ผมเข้าใจ ผมเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณมาได้ และในสองสามวันนี้ผมต้องบ่มเพาะตัวเองในตอนกบางวันเท่านั้น ผมจะศึกษาเรื่องการบ่มเพาะโอสถในช่วงกลางคืนและพักผ่อนให้เพียงพอ”เฟนด์รับข้อเสนอนั้นด้วยรอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูก “แต่มันช่วยไม่ได้ สมาชิกของกองกำลังภาคีจะไม่ปล่อยให้เรารอดไปได้ง่าย ๆ แน่ ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องลงมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อสู้ที่เลวร้ายระหว่างทั้งสองฝ่าย ผมคิดว่าพวกตำหนักใหญ่ ๆ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที พวกเขาจะส่งกองกำลังที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขามาเพื่อสร้างปัญหาให้กับเราแทน”“แล้วเราควรทำยังไงดี? เราจะไม่เดือดร้อนเหรอ? เราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ได้ภายในไม่กี่วัน” เซเลน่าเริ่มกังวลอีกครั้งเมื่อได้ยินเรื่องนี้“ไม่ต้องกังวลไปหรอกที่รัก พวกเขาอาจคิดว่าเราไม่ได้อยู่กับกองทัพทั้งเก้าต่อและพวกเขาอาจไปหาเรื่องตำหนักคลื่นเมฆาก่อน แต่ผมได้ยินมาว่าใกล้กับตำหนักคลื่นเมฆามีตำหนักขนาดใหญ่อยู่ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถกวาดล้างตำหนักคลื่
“ใช่ ใช่ ใช่… นายท่านแมคเคนซี่พูดถูก เราจะไม่ทำให้กองกำลังที่สนับสนุนเราต้องผิดหวัง” ผู้อาวุโสจากอีกตำหนักหนึ่งพูดขึ้น “แน่นอนว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างไรซะกองกำลังภาคีของเราก็ประกอบไปด้วยหกกองกำลัง ในขณะที่กองกำลังปฏิภาคีมีเพียงห้ากองกำลังหลักเท่านั้น ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าเรา และกองกำลังที่สนับสนุนพวกเขาก็มีจำนวนไม่มากเท่าเราอีกด้วย เราจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ไม่ได้!”“ถูกต้อง เราไม่อาจกลั้นกลืนฝืนทนกับมันได้หรอก แ*งเอ๊ย… พวกนั้นต้องได้บทเรียน!” เจ้าตำหนักอีกคนกล่าวพร้อมกับยืนขึ้นเช่นกัน “ในเมื่อพวกเขากล้าที่จะทำลายเผ่าของเราหนึ่งเผ่า พวกเราจะสนองคืนกลับไปเป็นสองเท่า! ไอ้พวกร*ยำที่เข้ามาในพื้นที่นี้ยังมีชีวิตอยู่ราวสองแสนคน ถ้าเรากวาดล้างกองกำลังเล็ก ๆ ของพวกเขาไปสักสองที่ จำนวนจะลดลงประมาณสองแสนคนได้ใช่ไหม? ฮ่า ๆ! แบบนั้นฟังดูเข้าท่าดีใช่ไหมล่ะ?”ผู้อาวุโสที่มีผมขาวครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และแสดงความคิดเห็นว่า “พวกเขาเข้ามาที่นี่ประมาณหกแสนคน และหลายต่อหลายคนก็เสียชีวิตไปแล้ว ผมไม่คิดว่าวงจรแห่งการล้างแค้นจะสิ้นสุดลงได้ เนื่องจากจอช วอลล์แม
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกคุณว่าไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ อย่างไรเสีย ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นของตัวเองและหวังว่าทุกคนจะไม่ต้องมานั่งนึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” นายท่านแฮ็คฟอร์ดยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร มันก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศของพวกเขา ครั้งนี้พวกเขาต้องการที่จะเคลื่อนไหวเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาถูกหยามเกียรติเนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะอย่างนั้นเขาจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญ“เพื่อความยุติธรรม เป็นการดีที่สุดหากเรายกมือขึ้นและลงคะแนน” นายท่านโลเดอร์ตัดสินใจในขณะที่เขายืนขึ้นอีกครั้ง “เอาแบบนี้แล้วกัน พวกที่เห็นพ้องต้องกันว่าพวกเราจะเริ่มลงมือและส่งกองกำลังเล็ก ๆ ไปโจมตีพวกเขาขอให้ยกมือขึ้น ส่วนใครที่ไม่เห็นด้วยก็ขอให้อยู่เฉยเอาไว้”ในไม่ช้าผู้คนประมาณแปดจากสิบส่วนก็ยกมือขึ้นรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของนายท่านโลเดอร์ในไม่ช้า เมื่อเห็นจำนวนมือที่ยกมือขึ้นลงคะแนน “ดูเหมือนทุกคนจะไม่ใช่คนขี้ขลาด เนื่องจากนายท่านแฮ็คฟอร์ดกลัวว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขึ้น ผมจึงคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นและคนของพว