เซเลน่าพยักหน้าและแนะนำเฟนด์ “เอาล่ะ อย่าหักโหมเกินไปล่ะ เข้าใจไหม? เมื่อถึงเวลาต้องพัก คุณก็ต้องพัก”"ผมเข้าใจ ผมเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณมาได้ และในสองสามวันนี้ผมต้องบ่มเพาะตัวเองในตอนกบางวันเท่านั้น ผมจะศึกษาเรื่องการบ่มเพาะโอสถในช่วงกลางคืนและพักผ่อนให้เพียงพอ”เฟนด์รับข้อเสนอนั้นด้วยรอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูก “แต่มันช่วยไม่ได้ สมาชิกของกองกำลังภาคีจะไม่ปล่อยให้เรารอดไปได้ง่าย ๆ แน่ ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องลงมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อสู้ที่เลวร้ายระหว่างทั้งสองฝ่าย ผมคิดว่าพวกตำหนักใหญ่ ๆ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที พวกเขาจะส่งกองกำลังที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขามาเพื่อสร้างปัญหาให้กับเราแทน”“แล้วเราควรทำยังไงดี? เราจะไม่เดือดร้อนเหรอ? เราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ได้ภายในไม่กี่วัน” เซเลน่าเริ่มกังวลอีกครั้งเมื่อได้ยินเรื่องนี้“ไม่ต้องกังวลไปหรอกที่รัก พวกเขาอาจคิดว่าเราไม่ได้อยู่กับกองทัพทั้งเก้าต่อและพวกเขาอาจไปหาเรื่องตำหนักคลื่นเมฆาก่อน แต่ผมได้ยินมาว่าใกล้กับตำหนักคลื่นเมฆามีตำหนักขนาดใหญ่อยู่ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถกวาดล้างตำหนักคลื่
“ใช่ ใช่ ใช่… นายท่านแมคเคนซี่พูดถูก เราจะไม่ทำให้กองกำลังที่สนับสนุนเราต้องผิดหวัง” ผู้อาวุโสจากอีกตำหนักหนึ่งพูดขึ้น “แน่นอนว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างไรซะกองกำลังภาคีของเราก็ประกอบไปด้วยหกกองกำลัง ในขณะที่กองกำลังปฏิภาคีมีเพียงห้ากองกำลังหลักเท่านั้น ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าเรา และกองกำลังที่สนับสนุนพวกเขาก็มีจำนวนไม่มากเท่าเราอีกด้วย เราจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ไม่ได้!”“ถูกต้อง เราไม่อาจกลั้นกลืนฝืนทนกับมันได้หรอก แ*งเอ๊ย… พวกนั้นต้องได้บทเรียน!” เจ้าตำหนักอีกคนกล่าวพร้อมกับยืนขึ้นเช่นกัน “ในเมื่อพวกเขากล้าที่จะทำลายเผ่าของเราหนึ่งเผ่า พวกเราจะสนองคืนกลับไปเป็นสองเท่า! ไอ้พวกร*ยำที่เข้ามาในพื้นที่นี้ยังมีชีวิตอยู่ราวสองแสนคน ถ้าเรากวาดล้างกองกำลังเล็ก ๆ ของพวกเขาไปสักสองที่ จำนวนจะลดลงประมาณสองแสนคนได้ใช่ไหม? ฮ่า ๆ! แบบนั้นฟังดูเข้าท่าดีใช่ไหมล่ะ?”ผู้อาวุโสที่มีผมขาวครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และแสดงความคิดเห็นว่า “พวกเขาเข้ามาที่นี่ประมาณหกแสนคน และหลายต่อหลายคนก็เสียชีวิตไปแล้ว ผมไม่คิดว่าวงจรแห่งการล้างแค้นจะสิ้นสุดลงได้ เนื่องจากจอช วอลล์แม
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกคุณว่าไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ อย่างไรเสีย ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นของตัวเองและหวังว่าทุกคนจะไม่ต้องมานั่งนึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” นายท่านแฮ็คฟอร์ดยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร มันก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศของพวกเขา ครั้งนี้พวกเขาต้องการที่จะเคลื่อนไหวเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาถูกหยามเกียรติเนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะอย่างนั้นเขาจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญ“เพื่อความยุติธรรม เป็นการดีที่สุดหากเรายกมือขึ้นและลงคะแนน” นายท่านโลเดอร์ตัดสินใจในขณะที่เขายืนขึ้นอีกครั้ง “เอาแบบนี้แล้วกัน พวกที่เห็นพ้องต้องกันว่าพวกเราจะเริ่มลงมือและส่งกองกำลังเล็ก ๆ ไปโจมตีพวกเขาขอให้ยกมือขึ้น ส่วนใครที่ไม่เห็นด้วยก็ขอให้อยู่เฉยเอาไว้”ในไม่ช้าผู้คนประมาณแปดจากสิบส่วนก็ยกมือขึ้นรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของนายท่านโลเดอร์ในไม่ช้า เมื่อเห็นจำนวนมือที่ยกมือขึ้นลงคะแนน “ดูเหมือนทุกคนจะไม่ใช่คนขี้ขลาด เนื่องจากนายท่านแฮ็คฟอร์ดกลัวว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขึ้น ผมจึงคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นและคนของพว
หลังจากการประชุมเมื่อคืน กองกำลังหลักทั้งหกแห่งของกองกำลังภาคีได้ส่งคนไปแจ้งเหล่ากองกำลังน้อยใหญ่ กองกำลังดังกล่าวถูกขอให้เตรียมการโจมตีทั้งสองกองกำลังในขั้วตรงข้ามทันทีที่พวกเขาให้สัญญาณในการส้มโจมตีครั้งนี้ สมาชิกของกองกำลังภาคีมีความมั่นใจอย่างสูง พวกเขาตัดสินใจที่จะแสดงพลังให้กองกำลังปฏิภาคีเห็นและจะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความสูญเสียแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าโทมัส โลเปซเจ้าตำหนักคลื่นเมฆาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขากลับมาถึงตำหนักของตน เขาได้แจ้งให้สมาชิกของกองกำลังปฏิภาคีทราบในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้ ในห้องโถงขนาดใหญ่บนภูเขาอีกลูก สมาชิกของกองกำลังหลักทั้งห้าของกองกำลังปฏิภาคีกำลังนั่งปรึกษาหาเลยกันอยู่“ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดอะไรอย่างนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคร่ำครวญหลังจากล่วงรู้ถึงสถานการณ์สถานการณ์ “หากมีคนเข้ามาแค่เพียงหลักสิบหลักร้อยเราก็คงจัดการกับเรื่องนี้ได้ง่ายกว่านี้ เราแค่ต้องแจ้งให้กองกำลังภาคีทราบ และนี่จะไม่ทำให้เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ แต่กับการที่มีคนเข้ามาที่นี่ถึงหกแสนคนในครั้งเดียวนี่มันอะไรกัน?”ผู้อาวุโสหญิงตอบว่า “ปัญหานี้ค่อนข้างให
“เรื่องนี้” เฟนด์ขมวดคิ้วและคิดลึกก่อนที่เฟนด์จะพูด ออสตินก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “ผมมีข้อเสนอแนะ น้องเฟนด์ ที่ที่เราอยู่นี้เรียกกันว่ากองทัพทั้งเก้า และผมคิดว่าดีที่สุดที่จะมีคำว่า 'เก้า' ในชื่อกองกำลังใหม่ของเรา คุณคิดเห็นยังไง?"เฟนด์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดช้า ๆ "ผมกับพรรคพวกของผมเข้ามาในพื้นที่นี้เพื่อค้นหาวิธีที่จะทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุด หากคุณเลือกคำว่า 'เก้า' เราจะเลือกคำว่า 'เทพ'เอาแบบนี้ดีไหม? เราเรียกตัวเองว่าเผ่าเก้าเทพดีไหม? คุณคิดว่าไง?"ดวงตาของออสตินเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์ เขาพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด"ยอดเยี่ยม! นี่เป็นชื่อที่ยอดเยี่ยม!” หัวหน้าป้อมปราการหลายคนภูมิใจกับชื่อที่แนะนำออสตินก้าวไปข้างหน้าและประกาศว่า “ทุกท่าน หลังจากได้ปรึกษาหารือกันแล้ว เราตัดสินใจที่จะเรียกกองกำลังใหม่ของเราว่า เผ่าเก้าเทพ เราหวังว่าสมาชิกของกองทัพทั้งเก้าจะเข้ากันได้ดีกับสมาชิกที่มาจากดินแดนรกร้างราวกับเป็นญาติมิตร และกลายเป็นกลุ่มที่สมัครสมานกันในอนาคต เราจะไม่พูดว่ามาจากตระกูลหรือมาจากป้อมปราการที่ต่างกันอีก เข้าใจไหม”"เข้าใจ!" ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านล่างตะโกนพร้อมกัน และพ
“ฮ่าฮ่า! หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง ถ้าผมไม่ลงคะแนนให้คุณเหมือนที่คุณลงคะแนนให้ผมมันก็คงดูไม่เหมาะสมนัก แถมคุณยังมีพลังยุทธที่ยอดเยี่ยมอีกต่างหาก” เฟนด์หัวเราะเบา ๆ ออสตินคนนี้เสแสร้งเกินไป และจิตใจของเฟนด์ก็สับสนกับเรื่องนั้นแต่มันก็เป็นเรื่องดีที่เขายังคงเน้นย้ำถึงอำนาจของหัวหน้ากองกำลัง ชายชราคนนี้คงไม่รู้ว่าจะได้พบกับอะไรเมื่อเฟนด์ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคนใหม่ ตามที่เฟนด์ทำนายไว้ สมาชิกของป้อมปราการลำดับที่หนึ่งจะเลือกออสติน และไม่มีใครโหวตให้เฟนด์ออสตินกระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “เฟนด์ ผมเชื่อว่าคนของคุณบางคนมีคุณสมบัติพอจะลงคะแนนด้วย คนให้พวกเขาลงคะแนนให้ตอนนี้เลยสิ” หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง เพราะไม่มีใครโหวตให้เฟนด์เลย“ย่อมได้!” เฟนด์พยักหน้าก่อนที่จะส่งสายตาไปยังอเล็กซานเดอร์และคนอื่น ๆ ในไม่ช้า อเล็กซานเดอร์และคนอื่น ๆ ก็เดินไปข้างหน้าเพื่อลงคะแนนเสียง แน่นอนว่าทุกคนก็โหวตให้เฟนด์หลังจากการโหวตในรอบนี้ ออสตินแสร้งทำเป็นเขินอายและเคอะเขิน พึมพำว่า “ฮ่าฮ่า… น้องเฟนด์ ผมน่ะ…” เขาถอนหายใจก่อนจะเสริมว่า “ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ เรื่องกอ
หลังจากที่สมาชิกของป้อมปราการวิตต์มอร์ลงคะแนนเสียงแล้ว หัวหน้าป้อมปราการลาวีนก็เดินไปข้างหน้าและลงคะแนนให้ออสตินริมฝีปากของออสตินแสยะยิ้มเล็กน้อย เขาเชื่อว่าสมาชิกของป้อมปราการลาวีนจะดำเนินรอยตามหัวหน้าป้อมปราการของพวกเขาและลงคะแนนให้เขาหากพวกเขาฉลาดพอแต่เมื่อสมาชิกของป้อมลาวีนลงคะแนนให้เฟนด์แทนสิ่งนั้นก็ทำให้เขาถึงกับงุนงง ในตอนนั้นคะแนนของเฟนด์ก็แซงหน้าเขาไปในทันทีและมีคะแนนมากกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดออสตินมีสีหน้ามืดมนและพูดไม่ออกเขาคิดอย่างรอบคอบและเดินไปข้างหน้าเพื่อเตือนทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น “ทุกคนโปรดดูอย่างรอบคอบและลงคะแนนตามความปรารถนาของทุกคนด้วย กล่องคะแนนเสียงของน้องเฟนด์อยู่ฝั่งนั้น ส่วนฝั่งนี้เป็นของผม กรุณาเข้าแถวให้เรียบร้อย ต่อไปถึงเวลาของป้อมปราการแลนสันที่อยู่ด้านหลัง…”ถึงกระนั้น คำเตือนดังกล่าวก็ไร้ประโยชน์อย่างที่สุด นอกเหนือจากหัวหน้าป้อมปราการแล้ว สมาชิกของป้อมปราการทุกคนต่างลงคะแนนให้เฟนด์ เฟนด์ไม่เพียงแต่มีคะแนนเสียงมากกว่าเขา แต่จำนวนคะแนนเสียงที่เขาได้รับนั้นยังมากกว่าออสตินหลายเท่าสีหน้าของออสตินบิดเบี้ยวอย่างมืดมน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฟนด์จะกลายเป็
“ทุกท่าน ตอนนี้ผมขอประกาศแล้วว่าเฟนด์เป็นหัวหน้าเผ่าเก้าเทพคนใหม่ของเรา และเขาได้แต่งตั้งให้ผมเป็นผู้ช่วยหัวหน้าเผ่าด้วย! ผมหวังว่าทุกคนจะเชื่อฟังเขาและร่วมแรงร่วมใจกันก่อร่างสร้างเผ่าของเราขึ้นมา!” ออสตินประกาศในขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า “ตอนนี้ ขอเชิญหัวหน้าเผ่าเก้าเทพ หัวหน้าเผ่าเฟนด์ วู๊ดมากล่าวอะไรสักหน่อย!”ทุกคนต่างปรบมืออย่างกึกก้อง โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามเฟนด์จากดินแดนรกร้าง พวกเขามีความสุขมาก แม้จะไม่รู้ว่าเฟนด์กลายเป็นเจ้าตำหนักคนใหม่และชนะคะแนนเสียงจากป้อมปราการอื่น ๆ ได้อย่างไรก็ตามเฟนด์เดินไปข้างหน้าสองก้าวและพูดด้วยเสียงอันกึกก้องว่า “ผู้ช่วยหัวหน้าเผ่ากล่าวได้ถูกต้อง ต่อจากนี้ไปเราถือเป็นคนตระกูลเดียวกัน ในเมื่อเราได้ก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาใหม่ เราจะสร้างสัญลักษณ์ของเผ่าและสร้างเครื่องแต่งกายสำหรับสมาชิกทุกคน แน่นอน ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าอยากจะสวมใส่เสื้อผ้าเหล่านี้หรือเปล่า แต่ผมหวังว่าทุกคนจะสามารถนำสัญลักษณ์ติดตัวไปได้ทุกครั้งที่ออกจากเผ่าไป”เฟนด์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่จะกล่าวเสริมว่า “ในตอนนี้ ผู้ที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณ นอกเหนือจากผู้ช่วยหัวหน้าเผ่า
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ