สีหน้าของออสตินบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวต่อข่าวที่เพิ่งได้รับ พวกเขาเพิ่งก่อร่างสร้างเผ่าขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้เพลิดเพลินกับตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าเผ่า คนจากตำหนักโลหิตแกร่งกล้ากับกำลังมุ่งหน้ามาเสียได้“เราเสร็จแน่!” ผู้อาวุโสที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งต่างก็หวาดกลัวเช่นกัน และความหวาดกลัวดังกล่าวก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านสีหน้ามืดมนของเขาพลังการต่อสู้โดยรวมของเผ่าเก้าเทพเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพวกเขาก็มีคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณมากขึ้น แต่ตำหนักโลหิตแกร่งกล้ามีปรมาจารย์ที่อยู่ในขั้นที่สามในระดับทะลวงวิญญาณสองคนและมีคนซึ่งอยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณถึงสามคนอีกด้วย ตำหนักของพวกเขามีสมาชิกอยู่ราว หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นคน และมีคนที่อยู่ในระดับเทพสูงสุดพวกเขาจะเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร?“ทุกคน อย่าเพิ่งตระหนก!” เฟนด์เป็นคนเดียวที่สงบสติอารมณ์เอาไว้ได้และรีบถามออสตินว่า “ผู้ช่วยหัวหน้าเผ่า คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตำหนักโลหิตแกร่งกล้าบ้างหรือไม่? เราอาจจะจัดการพวกเขาได้”ออสตินยังคงงุนงงและตอบทันทีว่า “เราทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก พวกเขามีปรมาจารย์ในขั้
'เขาอยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณจริง ๆ!' ออสตินอ้าปากค้างเมื่อเห็นเฟนด์ ก่อนหน้านี้เฟนด์อยู่ในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุดเท่านั้น และออสตินยังประเมินว่าการที่ผู้ชายคนนี้ที่จะทะลวงไปสู่ขั้นที่แปดระดับเทพสูงสุดได้ด้วยการบ่มเพาะตัวเองในเวลาอันสั้นก็นับว่าวิเศษมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็เทียบกับปรมาจารย์ในขั้นที่สามระดับทะลวงวิญญาณไม่ได้แต่เฟนด์ที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นอยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณอย่างแน่นอนเขามั่นใจว่าถ้าเฟนด์อยากจะฆ่าเขา ก็คงง่ายเหมือนหั่นผักหั่นปลาคีแรน ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งเบิกบานกับข้อเท็จจริงนี้ “สุดยอดไปเลย! หากหัวหน้าเผ่าของเราสามารถจัดการกับคนที่อยู่ในขั้นที่สามระดับทะลวงวิญญาณทั้งสองได้ คนที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราเถอะ!”“ฮ่าฮ่า! หากเป็นเช่นนั้น เราจะสามารถต่อก่อนกับศึกครั้งนี้กับพวกเขาได้ บ้าเอ๊ย! หลังจากฆ่าพวกเขาทิ้ง เราจะได้ของล้ำค่าไม่น้อยเลยทีเดียว!” ผู้อาวุโสลำดับที่สองก็บินขึ้นไป ความตื่นเต้นถูกเขียนขึ้นทั่วใบหน้าของเขา เขาเพิ่งทะลวงผ่านไปอีกขั้น เขาจึงต้องการทดสอบพลังการต่อสู้ของเขาเสียเต็มประดา ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสทดสอบความสามารถขอ
"คุณไม่ต้องห่วงหรอก แค่ออกไปจบเรื่องนี้เสีย หลังการต่อสู้จบลงผมจะมอบโอสถให้คุณด้วย ผมเก็บมันไว้เผื่อคุณแล้ว” เฟนด์ตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ผมจะไม่เรียกเก็บของล้ำค่าจากคุณ ผู้ช่วยหัวหน้าเผ่าของผม”“ก็ได้ ก็ได้! ขอบคุณ หัวหน้าเผ่า!” ออสตินมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ เขาใกล้จะเข้าสู่ขั้นที่สองระดับทะลวงวิญญาณแล้ว ดังนั้นหากเฟนด์ให้โอสถชั้นยอดระดับสามแก่เขา ไม่เพียงแต่เขาจะทะลวงเข้าสู่ระดับขั้นที่สองระดับทะลวงวิญญาณเท่านั้น แต่เขาอาจจะสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นที่สามระดับทะลวงวิญญาณในครั้งเดียวได้อีกด้วย!เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะยิ่งมีความสุขกับตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าเผ่าขึ้นไปอีกขณะที่เขาเฝ้าดูสมาชิกของตำหนักโลหิตแกร่งกล้าพุ่งตรงเข้ามา เฟนด์ก็ออกคำสั่ง “ทุกคนฟังให้ดี ผม ผู้ช่วยหัวหน้าเผ่า ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง ผู้อาวุโสลำดับที่สอง และผู้อาวุโสลำดับที่สามจะเข้าร่วมการต่อสู้ ผู้อาวุโสที่เหลืออีกห้าคนจะรออยู่ที่นี่ ลองสำรวจพื้นที่รอบนอกดู และอย่าปล่อยให้สมาชิกคนใดจากตำหนักโลหิตแกร่งกล้าหนีรอดไปได้ พวกคุณทั้งห้าจะเปิดเผยพลังยุทธของตนไม่ได้ เข้าใจไหม?”“เข้าใจแล้ว!” ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ พยักหน้าในทัน
“ท่านทั้งสอง หัวหน้าเผ่าของเราไม่ได้โกหกพวกคุณ พวกเราคือเผ่าเก้าเทพ เขาเป็นหัวหน้าเผ่า และตอนนี้ผมก็เป็นผู้ช่วยหัวหน้าเผ่าเก้าเทพ!” ออสตินเริ่มหยิ่งผยองมากขึ้นเมื่อเขาคิดว่าเผ่าเก้าเทพจะกลายเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักที่ดีที่สุดได้อย่างไร เขามองไปที่อีกฝ่ายอย่างเย็นชาในขณะที่เขาพูด “พวกคุณควรจะจดจำชื่อเผ่าเก้าเทพของเราเอาไว้ กองกำลังของเราจะยึดครองโลกราวกับพายุทีเดียว!”“พรืด!” ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะออกมาทันทีผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตำหนักโลหิตแกร่งกล้าถึงกับกุมท้องในขณะที่เขาหัวเราะเยาะ “ฮ่าฮ่า! คุณคิดจะทำให้ผมหัวเราะจนตายได้ยังไง? วางแผนที่จะครองโลก? คุณคิดว่าเราไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณในตอนนี้นั้นเหรอ? คุณเป็นคนเดียวในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณ และผู้ชายคนนั้นก็ยังอยู่ในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พลังการต่อสู้ของเขาเทียบได้กับปรมาจารย์ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณเท่านั้น”ผู้อาวุโสชะงักไปก่อนที่จะพูดต่อ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมยังสงสัยอยู่หน่อย ๆ ว่า ถ้าวางแผนจะหลอกเราทำไมออสตินถึงไม่ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าซะเองล่ะ? ทำไมคุณถึงปล่อยให้หนุ่มน้อยที่มีทักษะยุทธต่ำกว่าคุ
"นี่มันอะไรกัน?!" ผู้ช่วยเจ้าตำหนักโลหิตแกร่งกล้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติทันทีที่หมัดของพวกเขาปะทะกัน ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขานี้แข็งแกร่งอย่างปฏิเสธไม่ได้ และดูเหมือนว่าพลังการต่อสู้ของเขาจะไม่พลังของคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณ คู่ต่อสู้ของเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำตู้ม!ในวินาทีต่อมา ผู้ช่วยเจ้าตำหนักโลหิตแกร่งกล้าก็ถูกส่งให้บินถลาไป เขากระอักเลือดออกมาจากริมฝีปาก ก่อนจะกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง“อั่ก! พรวด!”ผู้ช่วยเจ้าตำหนักโลหิตแกร่งกล้ามองคู่ต่อสู้ด้วยแววตาประหลาดใจ และเขาตกใจมากจนได้แต่จมอยู่ในห้วงความรู้สึกในไม่ช้าสก็อตต์ เดวิส เจ้าตำหนักโลหิตแกร่งกล้าก็ค้นพบบางสิ่งและอุทานออกมาว่า “นี่ไม่ถูกต้อง! เขาไม่ได้อยู่ในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุด ชายหนุ่มคนนี้แท้จริงแล้ว… เขาอยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณ!”"เป็นไปไม่ได้! เขาจะทะลวงผ่านได้รวดเร็วเช่นนี้ได้ยังไง?” ผู้อาวุโสหลายคนของตำหนักโลหิตแกร่งกล้ารู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากพวกเขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น“ถูกต้อง เขาทะลวงระดับเร็วเกินไป ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะอยู่ในขั้นที่
“ฮ่าฮ่า! พวกคุณคงไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใช่ไหมล่ะ? ยังมีอีกหลายเรื่องเลยล่ะที่คุณคงคิดไม่ถึง!” ออสตินหัวเราะเสียงดังและในไม่ช้าสมาชิกของเผ่าเก้าเทพ ก็ต้อนคู่ต่อสู้ของพวกเขาเสียจนมุม“ผมจะทำให้พวกคุณได้ลิ้มรสพลังของหมัดมังกรคู่!” เฟนด์ไม่คิดที่จะปล่อยให้เรื่องราวยืดเยื้อนานนัก เมื่อเกิดความคิดแล่นขึ้นในหัว เขาจึงหมอบลงเล็กน้อยและในไม่ช้าก็ใช้กระบวนท่าหมัดมังกรคู่ หมัดคลื่นพลังฉีขนาดมหึมาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาสองคลื่นหมัดพลังฉีทั้งสองดูเหมือนจะสูงหลายร้อยเมตรและดูน่าเกรงขามมากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีกสมาชิกทั้งสองของตำหนักโลหิตแกร่งกล้าเองก็สร้างยักษ์ตัวใหญ่ที่มีสีทองอร่ามและพุ่งไปข้างหน้าเช่นกันถึงอย่างนั้นยักษ์ตัวนี้ก็ไม่สามารถเทียบได้กับกำปั้นสีทองขนาดใหญ่ของเฟนด์และมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของกำปั้นของชายหนุ่ม"แย่แล้ว การโจมตีของเราไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ เราเสร็จแน่!” ใบหน้าของสก็อตต์ซีดลงในขณะที่เขามองไปที่กำปั้นสีทองที่เข้ามาใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อย ๆ“เจ้าตำหนักทำไมทักษะยุทธนี้ถึงดูคุ้นตานัก? มันดูเหมือนทักษะยุทธจากเผ่ากระหายเลือดเลย นี่เป็นทักษะที่ค่อนข้างทรงพลัง แต่เด็ก
ชายอีกคนที่อยู่ในขั้นที่เก้าระดับเทพสูงสุดก็ต้องการหนีจากวงล้อมไปในทิศทางดังกล่าวเช่นกัน เขาหน้าซีดเพราะตกใจเมื่อเห็นฉากนี้ และหันหนีไปทางอื่นเพื่อที่จะหลบหนีเสียงการต่อสู้อันน่าสยดสยองยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงบ่ายก่อนที่มันจะจบลงแม้ว่าเฟนด์และคนอื่น ๆ จะช่วยฆ่าคนของฝ่ายตรงข้าม แต่สมาชิกตำหนักโลหิตแกร่งกล้าหลายแสนคนก็มีจำนวนมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว จำนวนคนราวหนึ่งพันถึงสองพันคนก็โชคดีพอที่จะหนีไปได้“ฮ่าฮ่า! เราเกือบจะกวาดล้างพวกเขาทั้งตำหนัก แต่บางคนกลับโชคดีและให้หนีเข้าไปในป่าทัน เราจัดการคนพวกนั้นไม่ได้ แต่ผมคิดว่าพวกเขาเหลือกันเพียงหนึ่งถึงสองพันคนเท่านั้น ฮ่าฮ่า!” ออสตินหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากการต่อสู้จบลง พวกเขาฆ่าคนของฝ่ายตรงข้ามไปมากมาย แต่เผ่าเก้าเทพกับเผชิญกับความสูญเสียสมาชิกไปเพียงสองพันถึงสามพันคนเท่านั้น มีหลายพันคนได้รับบาดเจ็บ แต่หากพูดรวม ๆ แล้ว นับว่าเป็นชัยชนะที่น่าตกใจทีเดียว"ใช่ ผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะสามารถกวาดล้างตำหนักที่เราเคยหวาดกลัวพวกเขาในอดีตได้ ฮ่า ๆ…! นับจากนี้ตำหนักโลหิตแกร่งกล้าก็นับว่าใกล้จะถึงคราวอวสานแล้ว!” ผู้อาวุโสอีกคนอุทาน
“นับว่ายอดเยี่ยมไปเลย หัวหน้าเผ่า คุณเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นยอดระดับสาม และคุณก็เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจสูงมาโดยตลอด ฮ่าฮ่า… ตราบใดที่หัวหน้าเผ่าเต็มใจที่จะค้นคว้าทักษะยุทธนี้ คุณอาจเชี่ยวชาญในทักษะนี้เลยก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้น พลังการต่อสู้ของคุณจะเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน!” คีแรนมีรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนมีความหวังต่อเผ่าเก้าเทพเฟนด์พยักหน้าและดูรายละเอียดของตำราก่อนที่จะพูด "การฝึกทักษะยุทธนี้ซับซ้อนและผมต้องการเวลาในการค่อย ๆ ศึกษา แต่หากผมสามารถฝึกฝนทักษะยุทธนี้ได้พลังการต่อสู้ของผมก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทักษะนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามผนึกและแต่ละผนึกก็แข็งแกร่งกว่าผนึกขั้นก่อนหน้าด้วย!”"จริงหรือ? นับว่าเป็นเรื่องดี! ทั้งนี้เราจะได้ประโยชน์อย่างมาก และเราได้รับอุปกรณ์วิญญาณระดับสูงสุดจำนวนมากพอสมควรจากคนเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีทักษะยุทธและทักษะศิลปยุทธอีกมากมายด้วย!” คีแรนกล่าวอย่างมีความสุข “หัวหน้าเผ่า การบ่มเพาะโอสถของคุณย่อมต้องใช้วัตถุดิบมากมาย หลังจากจัดแจงทุกอย่างแล้วเราจะนำส่วนผสมเหล่านั้นมาให้คุณ และคุณจะสามารถเลือกของที่จำเป็นต้องใช้ได้เอง!”
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ