“ชั้น… ชั้นยอดระดับสาม?” เสียงของหัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ฟังดูสั่นเครือแม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตามเขาเข้าใจดีว่านักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามนั้นหายากมาก นักเล่นแร่แปรธาตุดังกล่าวสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนให้กับผู้ที่อยู่ในระดับเทพสูงสุดได้ สิ่งนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งและสองในระดับเทพสูงสุดทว่าโอสถดังกล่าวไม่มีประโยชน์สำหรับคนอย่างเขาผู้ซึ่งบรรลุถึงขั้นที่เก้าระดับเทพสูงสุดและล้มเหลวในการทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณถึงสองครั้งท้ายที่สุดแล้ว พลังของโอสถขั้นต้นระดับสามก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ พลังงานของมันอาจไม่เพียงพอในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และนั่นจะส่งผลต่อกระบวนการพัฒนาและจะทำให้ล้มเหลวในที่สุดแต่โอสถชั้นยอดระดับสามนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง พลังงานในโอสถดังกล่าวมีมากกว่าโอสถชั้นต้นระดับสามหลายเท่า และเพียงพอสำหรับเขาซึ่งอยู่ในขั้นที่เก้าระดับเทพสูงสุดที่จะทะลวงผ่านไปอีกระดับได้ภายในครั้งเดียว อัตราความสำเร็จก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาล้มเหลวส
"จะเป็นไปได้ยังไง? ผมจับตามองพรสวรรค์ของนายน้อยเฟนด์มานานแล้ว คุณสามารถจัดการกับคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ ทั้งที่คุณอยู่ในขั้นที่เจ็ดในระดับเทพสูงสุดเท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะเช่นคุณแล้ว ใครจะได้ตำแหน่งหัวหน้าคนใหม่ไปล่ะ?” หัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์หัวเราะและยกยอเฟนด์ในทันที ในขณะที่จ้องมองไปยังโอสถในมือของเฟนด์ “ถึงกระนั้น ผมก็กลัวว่าหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งจะไม่พอใจ เอาแบบนี้ดีไหม ผมจะเป็นคนเดียวที่ลงคะแนนให้เขา แต่ลูกน้องทุกคนของผมจะโหวตให้คุณ เมื่อถึงตอนนั้น ผมก็จะได้ปฏิเสธได้ว่าผมไม่รู้เรื่อง ได้เมื่อหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะบอกว่าคุณได้รับชัยชนะจากเสียงของพรรคพวกของผม คุณคิดว่าดีไหม?"“ฮ่าฮ่า… เช่นนั้นก็ได้ ตราบใดที่ผมจะได้รับชัยชนะ!” เฟนด์หัวเราะและวางโอสถลงในฝ่ามือของหัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ “ตกลง เช่นนั้นผมต้องขอตัวลาแล้ว”“ดูแลตัวเองด้วย นายน้อยเฟนด์ ผมคงไปส่งคุณไม่ได้เพราะกลัวคนเห็นเรา!” หัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์เดินไปข้างหน้าและเปิดประตูให้เฟนด์ทันทีเมื่อเฟนด์จากไป หัวหน้าป้อมปราการวิตต์มอร์ก็มองดูโอสถในฝ่ามือขอ
“ฮ่าฮ่า! วิเศษ! สิ่งที่ผมต้องการนั้นก็ไม่ยากเลย แค่ให้สมาชิกป้อมปราการของคุณลงคะแนนให้ผมก็เท่านั้น” เฟนด์หัวเราะเสียงดัง ไม่คาดคิดเลยว่าหัวหน้าป้อมปราการลาวีนจะรีบร้อนและรับโอสถโดยไม่คัดค้านแม้แต่น้อยเช่นนี้ เขายอมก้มหัวให้โดยไม่วางท่าอะไรมากนัก“แน่นอน นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด! หากผมสามารถทะลวงถึงระดับทะลวงวิญญาณได้ทุกอย่างก็จะราบรื่น” หัวหน้าป้อมปราการลาวีนกล่าวอย่างร่าเริง ในไม่ช้าเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวเสริมทันทีว่า “ยังไงก็เถอะ เมื่อคุณได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสี่ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมเราแล้วกัน!”"ไม่ต้องกังวล ผมจะให้รางวัลแก่ผู้ที่ทุ่มเทฝึกฝนตัวเองและมีส่วนร่วมในกองกำลังอย่างแน่นอน เหนือสิ่งอื่นใด การที่นักเล่นแร่แปรธาตุที่จะบ่มเพาะโอสถดังกล่าวนั้นก็นับก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตราบใดที่มีวัสดุสำหรับบ่มเพาะโอสถ” เมื่อถึงจุดนั้นเฟนด์ก็แอบวางแผนของตัวเอง ถ้าเขาสร้างกองกำลังขึ้นมาในอนาคต เขาก็จะยิ่งได้รับทรัพยากรยุทธมากขึ้นไม่ใช่หรือ? ที่สำคัญกว่านั้น เขาสามารถขอให้ศิษย์หรือผู้อาวุโสของกองกำลังช่วยค้นหาวัสดุที่จำเป็นในการถอนคำสาปของเซเลน่าได้ด้วยความคิดนี้ทำให้เฟนด์ผ่อนค
เซเลน่าพยักหน้าและแนะนำเฟนด์ “เอาล่ะ อย่าหักโหมเกินไปล่ะ เข้าใจไหม? เมื่อถึงเวลาต้องพัก คุณก็ต้องพัก”"ผมเข้าใจ ผมเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณมาได้ และในสองสามวันนี้ผมต้องบ่มเพาะตัวเองในตอนกบางวันเท่านั้น ผมจะศึกษาเรื่องการบ่มเพาะโอสถในช่วงกลางคืนและพักผ่อนให้เพียงพอ”เฟนด์รับข้อเสนอนั้นด้วยรอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูก “แต่มันช่วยไม่ได้ สมาชิกของกองกำลังภาคีจะไม่ปล่อยให้เรารอดไปได้ง่าย ๆ แน่ ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องลงมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อสู้ที่เลวร้ายระหว่างทั้งสองฝ่าย ผมคิดว่าพวกตำหนักใหญ่ ๆ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที พวกเขาจะส่งกองกำลังที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขามาเพื่อสร้างปัญหาให้กับเราแทน”“แล้วเราควรทำยังไงดี? เราจะไม่เดือดร้อนเหรอ? เราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ได้ภายในไม่กี่วัน” เซเลน่าเริ่มกังวลอีกครั้งเมื่อได้ยินเรื่องนี้“ไม่ต้องกังวลไปหรอกที่รัก พวกเขาอาจคิดว่าเราไม่ได้อยู่กับกองทัพทั้งเก้าต่อและพวกเขาอาจไปหาเรื่องตำหนักคลื่นเมฆาก่อน แต่ผมได้ยินมาว่าใกล้กับตำหนักคลื่นเมฆามีตำหนักขนาดใหญ่อยู่ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถกวาดล้างตำหนักคลื่
“ใช่ ใช่ ใช่… นายท่านแมคเคนซี่พูดถูก เราจะไม่ทำให้กองกำลังที่สนับสนุนเราต้องผิดหวัง” ผู้อาวุโสจากอีกตำหนักหนึ่งพูดขึ้น “แน่นอนว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างไรซะกองกำลังภาคีของเราก็ประกอบไปด้วยหกกองกำลัง ในขณะที่กองกำลังปฏิภาคีมีเพียงห้ากองกำลังหลักเท่านั้น ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าเรา และกองกำลังที่สนับสนุนพวกเขาก็มีจำนวนไม่มากเท่าเราอีกด้วย เราจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ไม่ได้!”“ถูกต้อง เราไม่อาจกลั้นกลืนฝืนทนกับมันได้หรอก แ*งเอ๊ย… พวกนั้นต้องได้บทเรียน!” เจ้าตำหนักอีกคนกล่าวพร้อมกับยืนขึ้นเช่นกัน “ในเมื่อพวกเขากล้าที่จะทำลายเผ่าของเราหนึ่งเผ่า พวกเราจะสนองคืนกลับไปเป็นสองเท่า! ไอ้พวกร*ยำที่เข้ามาในพื้นที่นี้ยังมีชีวิตอยู่ราวสองแสนคน ถ้าเรากวาดล้างกองกำลังเล็ก ๆ ของพวกเขาไปสักสองที่ จำนวนจะลดลงประมาณสองแสนคนได้ใช่ไหม? ฮ่า ๆ! แบบนั้นฟังดูเข้าท่าดีใช่ไหมล่ะ?”ผู้อาวุโสที่มีผมขาวครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และแสดงความคิดเห็นว่า “พวกเขาเข้ามาที่นี่ประมาณหกแสนคน และหลายต่อหลายคนก็เสียชีวิตไปแล้ว ผมไม่คิดว่าวงจรแห่งการล้างแค้นจะสิ้นสุดลงได้ เนื่องจากจอช วอลล์แม
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกคุณว่าไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ อย่างไรเสีย ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นของตัวเองและหวังว่าทุกคนจะไม่ต้องมานั่งนึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” นายท่านแฮ็คฟอร์ดยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร มันก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศของพวกเขา ครั้งนี้พวกเขาต้องการที่จะเคลื่อนไหวเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาถูกหยามเกียรติเนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะอย่างนั้นเขาจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญ“เพื่อความยุติธรรม เป็นการดีที่สุดหากเรายกมือขึ้นและลงคะแนน” นายท่านโลเดอร์ตัดสินใจในขณะที่เขายืนขึ้นอีกครั้ง “เอาแบบนี้แล้วกัน พวกที่เห็นพ้องต้องกันว่าพวกเราจะเริ่มลงมือและส่งกองกำลังเล็ก ๆ ไปโจมตีพวกเขาขอให้ยกมือขึ้น ส่วนใครที่ไม่เห็นด้วยก็ขอให้อยู่เฉยเอาไว้”ในไม่ช้าผู้คนประมาณแปดจากสิบส่วนก็ยกมือขึ้นรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของนายท่านโลเดอร์ในไม่ช้า เมื่อเห็นจำนวนมือที่ยกมือขึ้นลงคะแนน “ดูเหมือนทุกคนจะไม่ใช่คนขี้ขลาด เนื่องจากนายท่านแฮ็คฟอร์ดกลัวว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขึ้น ผมจึงคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นและคนของพว
หลังจากการประชุมเมื่อคืน กองกำลังหลักทั้งหกแห่งของกองกำลังภาคีได้ส่งคนไปแจ้งเหล่ากองกำลังน้อยใหญ่ กองกำลังดังกล่าวถูกขอให้เตรียมการโจมตีทั้งสองกองกำลังในขั้วตรงข้ามทันทีที่พวกเขาให้สัญญาณในการส้มโจมตีครั้งนี้ สมาชิกของกองกำลังภาคีมีความมั่นใจอย่างสูง พวกเขาตัดสินใจที่จะแสดงพลังให้กองกำลังปฏิภาคีเห็นและจะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความสูญเสียแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าโทมัส โลเปซเจ้าตำหนักคลื่นเมฆาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขากลับมาถึงตำหนักของตน เขาได้แจ้งให้สมาชิกของกองกำลังปฏิภาคีทราบในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้ ในห้องโถงขนาดใหญ่บนภูเขาอีกลูก สมาชิกของกองกำลังหลักทั้งห้าของกองกำลังปฏิภาคีกำลังนั่งปรึกษาหาเลยกันอยู่“ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดอะไรอย่างนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคร่ำครวญหลังจากล่วงรู้ถึงสถานการณ์สถานการณ์ “หากมีคนเข้ามาแค่เพียงหลักสิบหลักร้อยเราก็คงจัดการกับเรื่องนี้ได้ง่ายกว่านี้ เราแค่ต้องแจ้งให้กองกำลังภาคีทราบ และนี่จะไม่ทำให้เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ แต่กับการที่มีคนเข้ามาที่นี่ถึงหกแสนคนในครั้งเดียวนี่มันอะไรกัน?”ผู้อาวุโสหญิงตอบว่า “ปัญหานี้ค่อนข้างให
“เรื่องนี้” เฟนด์ขมวดคิ้วและคิดลึกก่อนที่เฟนด์จะพูด ออสตินก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “ผมมีข้อเสนอแนะ น้องเฟนด์ ที่ที่เราอยู่นี้เรียกกันว่ากองทัพทั้งเก้า และผมคิดว่าดีที่สุดที่จะมีคำว่า 'เก้า' ในชื่อกองกำลังใหม่ของเรา คุณคิดเห็นยังไง?"เฟนด์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดช้า ๆ "ผมกับพรรคพวกของผมเข้ามาในพื้นที่นี้เพื่อค้นหาวิธีที่จะทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุด หากคุณเลือกคำว่า 'เก้า' เราจะเลือกคำว่า 'เทพ'เอาแบบนี้ดีไหม? เราเรียกตัวเองว่าเผ่าเก้าเทพดีไหม? คุณคิดว่าไง?"ดวงตาของออสตินเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์ เขาพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด"ยอดเยี่ยม! นี่เป็นชื่อที่ยอดเยี่ยม!” หัวหน้าป้อมปราการหลายคนภูมิใจกับชื่อที่แนะนำออสตินก้าวไปข้างหน้าและประกาศว่า “ทุกท่าน หลังจากได้ปรึกษาหารือกันแล้ว เราตัดสินใจที่จะเรียกกองกำลังใหม่ของเราว่า เผ่าเก้าเทพ เราหวังว่าสมาชิกของกองทัพทั้งเก้าจะเข้ากันได้ดีกับสมาชิกที่มาจากดินแดนรกร้างราวกับเป็นญาติมิตร และกลายเป็นกลุ่มที่สมัครสมานกันในอนาคต เราจะไม่พูดว่ามาจากตระกูลหรือมาจากป้อมปราการที่ต่างกันอีก เข้าใจไหม”"เข้าใจ!" ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านล่างตะโกนพร้อมกัน และพ