ดังนั้นปัญหาใหญ่ที่เฮนดริกว่า จึงแทบไม่อยู่ในสายตาของคนเป็นพ่อเลย "ฟังนะพ่อ คนพวกนั้น… คนพวกที่มาจากดินแดนรกร้างได้เข้ามาที่นี่แล้ว! และพวกเขาก็แอบเข้ามากันกว่าแสนคน! เราได้เจอกับพวกเขาบางคนและได้พูดคุยกับพวกเขาด้วย อีกทั้ง…" เฮนดริกพรั่งพรูถึงสิ่งที่เขาพบเจอมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี "เดี๋ยว อะไรนะ กว่าแสนคน?” ไค พ่อของเฮนดริกรู้สึกทึ่งกับตัวเลขเมื่อได้ยิน แค่มีคนนอกเข้ามาที่นี่สักหมื่นคนมันก็คงจะวุ่นวายมากแล้ว นับประสาอะไรกับคนเรือนแสน! เมื่อไคตั้งสติได้หลังจากได้ยินข่าวที่น่าตกใจนี้ เขาจึงพูดขัดจังหวะเฮนดริกก่อนที่ลูกชายจะพูดจบประโยค “เฮนดริก นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วนะ ลูกควรจะพูดความจริงออกมา ลูกแน่ใจหรือว่าสิ่งที่ลูกพูดเป็นความจริง?” เอลล่าที่ยืนอยู่ข้างเฮนดริกก้าวไปข้างหน้าและช่วยยืนยันคำพูดของพี่ชาย “จริงสิพ่อ! พี่ไม่โกหกพ่อกับเรื่องแบบนี้หรอก! มันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น! แถมในหมู่คนพวกนั้นยังมีอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่ชื่อเฟนด์อีก เขาเคยช่วยชีวิตฉันมาแล้ว! ฉันคิดว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะทะลวงถึงขั้นที่สองระดับเทพสูงสุด หรืออาจจะถึงขั้นที่ส
ในตอนนั้นทุกคนหันไปหาผู้อาวุโสคูเปอร์ ผู้อาวุโสคูเปอร์ยิ้มแล้วอธิบายต่อฝูงชนว่า “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย มีคนเข้ามาที่นี่ประมาณหกแสนคน ในจำนวนนี้เป็นคนจากแผ่นดินใหญ่สามถึงสี่แสนคน ในขณะที่อีกสองแสนคนที่เหลือมาจากดินแดนท้องทะเล ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเข้ามาได้อย่างไร แต่ตอนนี้พวกเขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ยิ่งกว่านั้น พวกเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ประมาณยี่สิบวันแล้ว ในช่วงยี่สิบวันที่ผ่านนี้ มีอัจฉริยะมากพรสวรรค์บางคนได้ทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดแล้ว” “พระเจ้า! พวกเขาอยู่ที่นี่มายี่สิบวันแล้วเหรอ? คนต่างถิ่นพวกนี้อยู่ที่นี่มาตั้งหลายวันแล้ว แต่เราเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง!” “ใช่ เราประมาทเกินไป! ผมคงจะยากที่เราจะสังเกตเห็นการปรากฏตัวของพวกเขา หากพวกเขาเข้าและออกจากป่าในช่วงเวลาสั้น ๆ” "ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาเข้ามากันหลายแสนคนและในหมู่พวกเขาก็มาจากชนเผ่าและตระกูลต่าง ๆ และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย ต้องมีความบาดหมางกันระหว่างชนเผ่าและตระกูลพวกนั้นแน่” ฝูงชนอ้าปากค้างทันทีที่ผู้อาวุโสคูเปอร์ทิ้งระเบิดอีกลูกออกมา เอลล่าฝืนยิ้มแหยและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย ควา
ผู้อาวุโสจากป้อมปราการขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่เขาถอนหายใจด้วยความหมดหนทาง รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ผมเห็นด้วย พวกเขามีกันมากเกินไป! หากเรายืนหยัดขึ้นปกป้องพวกเขา เผ่ากระหายเลือดจะเข้ามาเล่นงานเราอย่างแน่นอน และหากเราต้องทำสงครามกับพวกเขา เราอาจต่อกรกับพวกเขาไม่ได้!” ผู้อาวุโสอีกคนพูดขึ้น เขาเคยชินกับชีวิตที่สุขสงบและไม่อยากต่อต้านเผ่ากระหายเลือด “อืม… เอาอย่างนี้ดีไหม?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งครุ่นคิดก่อนจะขัดบทสนทนา “หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง ผมมีความคิดหนึ่ง เราทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ดีไหม? อย่างไรเสียนายน้อยอาเธอร์ก็บอกเฮเลน่า คาเบลโลและคนของเธอเพียงแค่ว่าเขาจะกลับมาคุยกับเรา และมีเพียงเฮเลน่าและพรรคพวกของเธอเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ อีกอย่างผมว่าป่านนี้พวกเขาน่าจะถูกสมาชิกของเผ่ากระหายเลือดฆ่าไปหมดแล้ว และเพราะพวกเขาตายไปแล้ว จึงไม่มีใครเป็นพยานจะมาปรักปรำเราได้! เราก็แค่แสร้งทำเป็นว่าเราไม่รู้ว่าพวกเขาเข้ามาที่นี่ อย่างนี้แล้วหากกองกำลังปฏิภาคีรู้เรื่องเข้า พวกเขาก็จะไม่ถือโทษเรา!” "เป็นความคิดที่ดีมาก! ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ! ตกลงตามนั้นแหละ แกล้งทำเป็นไม่รู้เ
“จะมาทะเลาะกันทำไม? ผมขอให้ทุกคนมาหารือกัน ไม่ใช่ให้มาทะเลาะกัน!” หลังจากฟังมาพักหนึ่ง หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งก็ตำหนิขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเหลืออด เขาไม่คาดคิดว่าความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จะแตกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการช่วยเหลือคนนอก ขณะที่อีกฝั่งสนับสนุนการช่วยเหลือคนนอก ความเงียบเข้าครอบงำห้องประชุมทันทีที่ฝูงชนเห็นว่าหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งกำลังโกรธจัด หลังจากเงียบไปสองสามวินาที หัวหน้าป้อมปราการลาวีนก็ได้แสดงความคิดของเขาต่อหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง “หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง ผมคิดว่าหากเราอดกลั้นมานานเกินไป ความแข็งแกร่งและพลังโดยรวมในปัจจุบันของเราก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ถ้าเราช่วยคนเหล่านั้น พวกเขาจะต้องมาอยู่ข้างเราอย่างแน่นอน! บางทีที่อาจจะกลายเป็นโอกาสที่เราจะก้ามขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้น คุณไม่คิดว่าเผ่ากระหายเลือดก็จะต้องแสดงความเคารพต่อเราบ้างหรือ?” “หัวหน้าป้อมลาวีน คุณพูดเข้าท่า!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ทำงานให้กับหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย “คนนอกพวกนั้นคงต้องรู้สึกอกสั
“ใช่ค่ะ หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง ผู้ชายคนนั้นอาจจะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สองหรือสามของระดับเทพสูงสุดได้แล้วด้วย!” เอลล่าคิดแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ ออสตินจมสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง ก่อนที่สุดท้ายเขาจะพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม? ในความเห็นของผม เผ่ากระหายเลือดจะไม่เริ่มทำสงครามกับพวกเราแบบสุ่มสี่ส่มห้าหรอก หากเราและคนนอกร่วมกันต่อสู้กับพวกเขา ถึงพวกเขาจะชนะการต่อสู้แต่พวกเขาจะต้องเผชิญกับสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะพร้อมจะจ่ายค่าตอบแทนราคาสูงขนาดนี้ ดังนั้น ผมคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะแกล้งปิดตาข้างนึงได้!” “หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง คุณหมายความว่าเราจะช่วยคนพวกนั้น?” เมื่ออาเธอร์ได้ยินคำพูดของออสติน จิตใจของเขาก็เบิกบานและเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น ออสตินพยักหน้ายืนยัน “ว่าก็ว่าเถอะ อย่างน้อยเราควรจะดึงอัจฉริยะมากความสามารถเหล่านั้นจากพวกคนนอกมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะต่อสู้กันเพื่อชิงสมบัติและทรัพยากรในป่าอย่างแน่นอน แถมสมาชิกของเผ่ากระหายเลือดก็จะตามล่าพวกเขาด้วย ดังนั้นพวกเขาจะสูญเสียคนไปไม่น้อยอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นจะเหลือแค่นักสู้ที่แข็งแกร่งและมีค
"พ่อ!"เอลล่าอยู่ไม่สุข เมื่อเธอนึกไปถึงการที่เฮเลน่าและเฟนด์เป็นคนดีเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะต้องการให้ผู้คนในกองทัพทั้งเก้าช่วยเหลือเฟนด์และคนอื่น ๆ โดยเร็วที่สุดนั่นเป็นเหตุผลที่เธออดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและดึงแขนเสื้อของไค ทั้งยังพยายามพูดเป็นนัยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนถึงกระนั้นไคก็ส่ายหน้าใส่ทั้งเธอและเฮนดริก “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับป้อมปราการของเรา และเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดหรือการล่มสลายของกองทัพทั้งเก้า พ่อรู้ว่าชายหนุ่มที่ชื่อเฟนด์ช่วยชีวิตลูก เอลล่า และลูกเองก็ต้องการช่วยเขาในทันที แต่เราไม่อาจตัดสินใจเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้ด้วยตัวเอง เราต้องให้ทุกคนหารือเรื่องนี้และให้เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยก่อนที่จะลงมือ!”เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ไคก็หยุดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อ “เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งนั้นดีที่สุดสำหรับตอนนี้ ใคร ๆ ก็เห็นด้วย เราก็ต้องเห็นด้วยเหมือนกัน เข้าใจไหม? หากเฮเลน่าและคนอื่น ๆ ตายไปแล้ว ลูกจะต้องบอกว่าเรารีบรุดออกไปช่วยทันทีที่ได้ยินเสียงของการต่อสู้ในป่ารุนแรงขึ้น ลูกต้องอธิบายไปแบ
นอกจากนั้น ภายนอกกองทัพทั้งเก้าอาจดูคล้ายกองกำลังขนาดใหญ่ แต่แน่นอนว่าในแต่ละป้อมปราการย่อมมีหนทางที่ต่างกัน หากพวกเขาต้องการเริ่มการต่อสู้ขึ้นมาจริง ๆ สมาชิกของป้อมปราการบางแห่งอาจจะไม่ยอมทำตามทั้งหมดเพราะพวกเขากลัวว่าสมาชิกมากมายจะต้องตายดังนั้น ผู้ที่ต้องการมีชีวิตอยู่คงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการเพิ่มพลังยุทธและเพิ่มพลังในการต่อสู้ของทุกคน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงจะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันได้ต้องกล่าวว่าทักษะยุทธที่เฟนด์ได้รับในครั้งนี้เป็นทักษะที่ดีเป็นพิเศษ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนในตอนกลางวัน แต่ลมปราณในร่างกายของเขาก็ยังเคลื่อนต่อไปได้ สิ่งนี้ช่วยให้เขาดูดซับพลังฉีจากบรรยากาศได้ ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและทำให้พลังยุทธของเขาคงที่ ถ้าเขานั่งฝึกในเวลากลางคืนด้วยทักษะยุทธดังกล่าว จะต้องได้ผลที่ดีกว่านี้แน่นอน'จากสถานการณ์ปัจจุบัน ระดับของฉันจะคงที่อย่างสมบูรณ์ในอีกสองวันข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะสามารถลองบ่มเพาะโอสถขั้นกลางระดับสามได้ และฉันก็จะไม่ต้องกลัวปรมาจารย์ที่อยู่ในระดับเทพสูงสุด’ เฟนด์แอบคิดและคาดหวังกับมันเล็กน้อย หากเขาไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งไ
ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งไม่ลังเลใจนานนัก ในไม่ช้า เขาก็รวบรวมผู้อาวุโสคนอื่น ๆ และหัวหน้าเผ่าหัวหน้าเผ่ากระหายเลือดและผู้อาวุโสมีสีหน้างงงวย บางคนง่วนอยู่กับการฝึกซ้อมในขณะที่บางคนกำลังเตรียมตัวจะเข้านอน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งถึงเรียกให้พวกเขามารวมตัวกันในมืดค่ำเช่นนี้“ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง เกิดอะไรขึ้น? นี่มันดึกแล้ว และทุกคนก็เตรียมตัวที่จะพักผ่อน คุณมาปลุกเราทำไม?” หัวหน้าเผ่ามองไปที่ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและถามอย่างงงงวยเขาเข้าใจดีว่าผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งเป็นคนระมัดระวังอยู่เสมอ การที่จู่ ๆ เขาเรียกรวมพลดึกดื่นเช่นนี้ คงต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ๆ ตามธรรมดาวิสัยของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง!ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะอธิบายกับพวกเขา “นายท่าน ผมคงไม่เรียกทุกคนให้มารวมกันที่นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ประเด็นในครั้งนี้น่าตกใจจริง ๆ ผมแน่ใจว่าทุกคนเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานของดินแดนรกร้างกันมาบ้างใช่ไหม?”ผู้อาวุโสลำดับที่สองพูดโดยตรงด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน! ประมาณหกเดือนก่อน มีคนจากดินแดนรกร้างเข้ามาในพื้นที่นี้ด้วยไม่ใช่หรือ? เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพร