“จะมาทะเลาะกันทำไม? ผมขอให้ทุกคนมาหารือกัน ไม่ใช่ให้มาทะเลาะกัน!” หลังจากฟังมาพักหนึ่ง หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งก็ตำหนิขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเหลืออด เขาไม่คาดคิดว่าความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จะแตกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการช่วยเหลือคนนอก ขณะที่อีกฝั่งสนับสนุนการช่วยเหลือคนนอก ความเงียบเข้าครอบงำห้องประชุมทันทีที่ฝูงชนเห็นว่าหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งกำลังโกรธจัด หลังจากเงียบไปสองสามวินาที หัวหน้าป้อมปราการลาวีนก็ได้แสดงความคิดของเขาต่อหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง “หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง ผมคิดว่าหากเราอดกลั้นมานานเกินไป ความแข็งแกร่งและพลังโดยรวมในปัจจุบันของเราก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขาแต่อย่างใด ถ้าเราช่วยคนเหล่านั้น พวกเขาจะต้องมาอยู่ข้างเราอย่างแน่นอน! บางทีที่อาจจะกลายเป็นโอกาสที่เราจะก้ามขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้น คุณไม่คิดว่าเผ่ากระหายเลือดก็จะต้องแสดงความเคารพต่อเราบ้างหรือ?” “หัวหน้าป้อมลาวีน คุณพูดเข้าท่า!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ทำงานให้กับหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย “คนนอกพวกนั้นคงต้องรู้สึกอกสั
“ใช่ค่ะ หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง ผู้ชายคนนั้นอาจจะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สองหรือสามของระดับเทพสูงสุดได้แล้วด้วย!” เอลล่าคิดแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ ออสตินจมสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง ก่อนที่สุดท้ายเขาจะพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม? ในความเห็นของผม เผ่ากระหายเลือดจะไม่เริ่มทำสงครามกับพวกเราแบบสุ่มสี่ส่มห้าหรอก หากเราและคนนอกร่วมกันต่อสู้กับพวกเขา ถึงพวกเขาจะชนะการต่อสู้แต่พวกเขาจะต้องเผชิญกับสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะพร้อมจะจ่ายค่าตอบแทนราคาสูงขนาดนี้ ดังนั้น ผมคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะแกล้งปิดตาข้างนึงได้!” “หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง คุณหมายความว่าเราจะช่วยคนพวกนั้น?” เมื่ออาเธอร์ได้ยินคำพูดของออสติน จิตใจของเขาก็เบิกบานและเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น ออสตินพยักหน้ายืนยัน “ว่าก็ว่าเถอะ อย่างน้อยเราควรจะดึงอัจฉริยะมากความสามารถเหล่านั้นจากพวกคนนอกมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะต่อสู้กันเพื่อชิงสมบัติและทรัพยากรในป่าอย่างแน่นอน แถมสมาชิกของเผ่ากระหายเลือดก็จะตามล่าพวกเขาด้วย ดังนั้นพวกเขาจะสูญเสียคนไปไม่น้อยอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นจะเหลือแค่นักสู้ที่แข็งแกร่งและมีค
"พ่อ!"เอลล่าอยู่ไม่สุข เมื่อเธอนึกไปถึงการที่เฮเลน่าและเฟนด์เป็นคนดีเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะต้องการให้ผู้คนในกองทัพทั้งเก้าช่วยเหลือเฟนด์และคนอื่น ๆ โดยเร็วที่สุดนั่นเป็นเหตุผลที่เธออดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและดึงแขนเสื้อของไค ทั้งยังพยายามพูดเป็นนัยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนถึงกระนั้นไคก็ส่ายหน้าใส่ทั้งเธอและเฮนดริก “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับป้อมปราการของเรา และเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดหรือการล่มสลายของกองทัพทั้งเก้า พ่อรู้ว่าชายหนุ่มที่ชื่อเฟนด์ช่วยชีวิตลูก เอลล่า และลูกเองก็ต้องการช่วยเขาในทันที แต่เราไม่อาจตัดสินใจเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้ด้วยตัวเอง เราต้องให้ทุกคนหารือเรื่องนี้และให้เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยก่อนที่จะลงมือ!”เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ไคก็หยุดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อ “เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งนั้นดีที่สุดสำหรับตอนนี้ ใคร ๆ ก็เห็นด้วย เราก็ต้องเห็นด้วยเหมือนกัน เข้าใจไหม? หากเฮเลน่าและคนอื่น ๆ ตายไปแล้ว ลูกจะต้องบอกว่าเรารีบรุดออกไปช่วยทันทีที่ได้ยินเสียงของการต่อสู้ในป่ารุนแรงขึ้น ลูกต้องอธิบายไปแบ
นอกจากนั้น ภายนอกกองทัพทั้งเก้าอาจดูคล้ายกองกำลังขนาดใหญ่ แต่แน่นอนว่าในแต่ละป้อมปราการย่อมมีหนทางที่ต่างกัน หากพวกเขาต้องการเริ่มการต่อสู้ขึ้นมาจริง ๆ สมาชิกของป้อมปราการบางแห่งอาจจะไม่ยอมทำตามทั้งหมดเพราะพวกเขากลัวว่าสมาชิกมากมายจะต้องตายดังนั้น ผู้ที่ต้องการมีชีวิตอยู่คงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการเพิ่มพลังยุทธและเพิ่มพลังในการต่อสู้ของทุกคน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงจะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันได้ต้องกล่าวว่าทักษะยุทธที่เฟนด์ได้รับในครั้งนี้เป็นทักษะที่ดีเป็นพิเศษ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนในตอนกลางวัน แต่ลมปราณในร่างกายของเขาก็ยังเคลื่อนต่อไปได้ สิ่งนี้ช่วยให้เขาดูดซับพลังฉีจากบรรยากาศได้ ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและทำให้พลังยุทธของเขาคงที่ ถ้าเขานั่งฝึกในเวลากลางคืนด้วยทักษะยุทธดังกล่าว จะต้องได้ผลที่ดีกว่านี้แน่นอน'จากสถานการณ์ปัจจุบัน ระดับของฉันจะคงที่อย่างสมบูรณ์ในอีกสองวันข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะสามารถลองบ่มเพาะโอสถขั้นกลางระดับสามได้ และฉันก็จะไม่ต้องกลัวปรมาจารย์ที่อยู่ในระดับเทพสูงสุด’ เฟนด์แอบคิดและคาดหวังกับมันเล็กน้อย หากเขาไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งไ
ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งไม่ลังเลใจนานนัก ในไม่ช้า เขาก็รวบรวมผู้อาวุโสคนอื่น ๆ และหัวหน้าเผ่าหัวหน้าเผ่ากระหายเลือดและผู้อาวุโสมีสีหน้างงงวย บางคนง่วนอยู่กับการฝึกซ้อมในขณะที่บางคนกำลังเตรียมตัวจะเข้านอน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งถึงเรียกให้พวกเขามารวมตัวกันในมืดค่ำเช่นนี้“ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง เกิดอะไรขึ้น? นี่มันดึกแล้ว และทุกคนก็เตรียมตัวที่จะพักผ่อน คุณมาปลุกเราทำไม?” หัวหน้าเผ่ามองไปที่ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและถามอย่างงงงวยเขาเข้าใจดีว่าผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งเป็นคนระมัดระวังอยู่เสมอ การที่จู่ ๆ เขาเรียกรวมพลดึกดื่นเช่นนี้ คงต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ๆ ตามธรรมดาวิสัยของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง!ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะอธิบายกับพวกเขา “นายท่าน ผมคงไม่เรียกทุกคนให้มารวมกันที่นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ประเด็นในครั้งนี้น่าตกใจจริง ๆ ผมแน่ใจว่าทุกคนเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานของดินแดนรกร้างกันมาบ้างใช่ไหม?”ผู้อาวุโสลำดับที่สองพูดโดยตรงด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน! ประมาณหกเดือนก่อน มีคนจากดินแดนรกร้างเข้ามาในพื้นที่นี้ด้วยไม่ใช่หรือ? เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพร
ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งพยักหน้า “ไม่เพียงแต่พวกเขาเข้ามากันมากมายเท่านั้น แต่พวกเขายังเข้ามาในพื้นที่นี้มานานกว่า 20 วันแล้วด้วย บางคนได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดไปแล้ว ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาเข้ามาในพื้นที่นี้มากเกินไป สิ่งที่ศิษย์ของเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขาก็คือนอกเหนือจากกองกำลังชั้นนำจากแผ่นดินใหญ่แล้ว กองกำลังจากดินแดนทะเลเองก็เข้ามาที่นี่ด้วย พวกเขามีกันทั้งหมดอย่างน้อย 400,000 ถึง 500,000 คนเชียวนะ!”ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งชะงักไป ก่อนที่จะพูดต่อ “พวกเขายังพบศพของคนเหล่านั้นระหว่างเดินทางกลับ คนของเราบางคนที่อยู่ในขั้นที่สองระดับเทพสูงสุดก็ตายลงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสมาชิกของเราต่อสู้กับอีกฝ่ายครั้งใหญ่!”"อะไรนะ?!" หัวหน้าเผ่ากระหายเลือดตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ “หากสมาชิกในขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดถูกสังหาร ก็หมายความว่าคนของเราถูกอีกฝ่ายล้อมและโจมตี เป็นธรรมดาที่คนของเราที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงหรือกึ่งเทพจะต้องตาย และเป็นเรื่องปกติที่สมาชิกในขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุดจะต้องตายเช่นกัน แต่มันค่อนข้างผิดปกติที่แม้แต่สมาชิกในขั้นที่สองระดับเทพสูง
หลังจากการฝึกฝนอยู่หนึ่งคืน พลังยุทธของเฟนด์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ระดับพลังยุทธขั้นที่สี่ในระดับเทพสูงสุดของเขาเสถียรมากขึ้นเช่นกันเช้าวันรุ่งขึ้น เฟนด์และคนอื่น ๆ ได้พบกับสมาชิกจากวิหารแห่งทวยเทพและราชาจำนวนมาก หลังจากที่พวกเขาออกจากที่พักได้ไม่นาน อีกฝ่ายก็ดีใจที่ได้พบกับแฮร์รี่และคนอื่น ๆ เช่นกัน พวกเขาบอกเฟนด์และคนอื่น ๆ เกี่ยวกับการต่อสู้กับสมาชิกของเผ่ากระหายเลือดเฟนด์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่จะพูดกับแนชและคนอื่น ๆ “พ่อ ภายในสองสามวันนี้เราต้องตามหาสมาชิกของตระกูลวู๊ด ตระกูลคาเบลโลและสมาชิกจากวิหารแห่งทวยเทพและราชาให้เร็วที่สุด เราจำเป็นต้องรวบรวมพันธมิตรเราอย่างเร่งด่วน เราไม่อาจแยกจากกันได้ เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะถูกสัตว์อสูรฆ่าหรือถูกสมาชิกของวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ตามล่าเท่านั้น แต่พวกเขายังอาจถูกสมาชิกของเผ่ากระหายเลือดที่เข้ามาในป่าแห่งนี้ฆ่าเอาอีกด้วย เราอาจถูกคนเหล่านี้ตีจนแตกพ่าย!”แนชก็พยักหน้าเช่นกัน “ลูกพูดถูก เราจะมีปัญหาแน่หากเผ่ากระหายเลือดส่งสมาชิกในขั้นที่สี่ระดับเทพสูงสุดหรือคนมีพลังยุทธที่สูงกว่ามาที่นี่ เพราะพวกเขาจะสามารถฆ่าคนของเราได้มากมาย! เราอาจจะ
อเล็กซานเดอร์พูดขณะผงกศีรษะ เขามั่นใจในความภักดีของสมาชิกตระกูลคาเบลโลไม่น้อยเฟนด์บินขึ้นไปมองตามเสียง เขาชี้ไปทางขวาแล้วจึงพูด "ไปกันเถอะ แถวนั้นมีเสียงการต่อสู้แถวนั้นอยู่บ้าง เราไปดูกันเลยดีกว่า!” ไม่นานพวกเขาก็บินตรงไปยังบริเวณนั้นในไม่ช้า พวกเขาก็ได้เห็นว่าเควินกำลังนำสมาชิกตระกูลคาเบลโลราว 1,000 คนต่อสู้กับสมาชิกตระกูลลาโกริโอและสมาชิกของตำหนักนภาจำนวน 2,000 คนอยู่เควินและผู้อาวุโสตระกูลคาเบลโลอีกสองคนได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดได้แล้วในขณะนี้ แต่อีกฝ่ายมีสมาชิกในขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดถึงสี่คน และพวกเขายังมีความได้เปรียบในแง่ของจำนวนคนอีก สิ่งนี้ทำให้เควินและคนอื่น ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตั้งรับลูกเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกอีกฝ่ายกดเอาไว้ในการต่อสู้ครั้งนี้“โธ่เว๊ย! สมาชิกของตระกูลลาโกริโอกับสมาชิกตำหนักนภาพวกนั้นร้ายกาจจริง ๆ พวกนี้ชอบหาเรื่องตระกูลคาเบลโลของเราไม่ยอมเลิกรา!” เควินเริ่มต่อว่าในขณะที่เขากำลังต่อสู้เพราะไม่พอใจอย่างยิ่งกับสถานการณ์นี้“ฮ่าฮ่า… ต้องโทษที่สมาชิกของตระกูลคาเบลโลดันไปช่วยเหลือตระกูลวู๊ดไม่หยุดต่างหาก! เพราะพวกคุณเป็นพ