“นายหมายความว่าตระกูลลึกลับอื่น ๆ ที่ไปเขาเหมันต์กระจ่างพร้อมกับตระกูลฮันท์ก็ไม่ได้รับลูกบอลหิน และไม่มีใครรู้ว่าตระกูลใดได้รับมันไปงั้นเหรอ?” ข่าวนี้ทำให้โจเอลตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความยินดีจะปรากฏในใจ “ถ้าไม่ใช่ตระกูลลึกลับชั้นหนึ่ง มันอาจอยู่ในมือของใครบางคนจากตระกูลลึกลับชั้นสองหรือชั้นสาม ถ้าอย่างนั้น… ฮ่า ฮ่า! นี่เป็นข่าวดี! เรายังมีโอกาสที่จะสืบหาและหากเรื่องนั้นถูกเปิดเผย ทันทีที่เรารู้ เราก็จะไปแย่งชิงจากใครก็ตามที่มีลูกบอลหินนั้นอยู่ในมือ!”โจเอลครุ่นคิดและถามว่า “ว่าแต่ ตระกูลวู๊ดเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาไปพื้นที่อันตรายใด ได้ข่าวอะไรเกี่ยวพวกเขาบ้างไหม?”“สมาชิกจากตระกูลวู๊ด ตระกูลคาเบลโล ตระกูลซีเมเนส ตระกูลแลงคาสเตอร์ และตระกูลเล็ก ๆ หลายตระกูลไปที่เกาะวายุมืดด้วยกัน ผมคิดว่าตระกูลวู๊ดไม่ต้องการเข้าไปในพื้นที่อันตรายเดียวกันกับตระกูล ฮันท์ เพราะที่เหล่านั้นอันตรายเป็นอย่างมาก และพวกเขาคงจะต้องประสบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหากพวกเขาต้องต่อสู้แย่งชิงกับตระกูลฮันท์ ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่เกาะวายุมืดแทน” สาวกอีกคนรายงานขณะที่เขาแสดงท่าทางด้วยมือของเขา“พวกเขาไปที่เ
ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลวู๊ดก็รีบเข้ามาและรายงานว่า “นายท่าน นายน้อยเฟนด์มีคนหลายคนกำลัง...รออยู่ข้างนอก พวกเขาต้องการจะเข้าพบพวกคุณ”“ใครมาเยี่ยมตระกูลวู๊ดของเราในเวลานี้?” แนชขมวดคิ้วก่อนจะถามชายหนุ่มที่มารายงาน “พวกเขามากันแค่ไม่กี่คนเหรอ?”“ใช่ พวกเขามากันแค่ห้าหรือหกคนเท่านั้นครับ แต่พวกเขากลับทำตัวลึกลับเหลือเกิน!” ตอบชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มเคอะเขินเฟนด์ขมวดคิ้วขณะที่เขาถามต่อทันที “ลึกลับเหรอ? หมายความว่ายังไง?"“พวกเขาสวมเสื้อคลุมที่ทำจากไม้ไผ่ และทุกคนก็สวมหมวกปิดบังตัวตน ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่อยากเปิดเผยตัวเองเท่าไหร่นัก” ชายคนนั้นอธิบายจากนั้นแนชก็โบกมือ “ไปพาพวกเขาเข้ามา”เมื่อคนที่รายงานเดินออกไป ผู้อาวุโสลำดับแรกก็พูดทันทีว่า “ต้องเป็นคนจากตระกูลอื่นที่ต้องการสอบถามเกี่ยวกับลูกบอลหินแน่ พวกเขาต้องมาที่นี่เพื่อถามว่า นายน้อยเฟนด์ได้ข้อมูลอะไรจากมันบ้างหรือไม่”“ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก ถ้าเป็นกรณีนั้น พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวเองขนาดนี้หรอก” เฟนด์ตอบอย่างยิ้มแย้มครู่ต่อมา คนเหล่านั้นก็ถูกพาเข้ามาพวกเขาถอดเสื้อกันฝนและหมวกไม้ไผ่ออกหลังจากผ่านเข้าประตูมาได
แนชตกใจมาก จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เมื่อสองสามวันก่อนเราได้รับข่าวว่าตระกูลลึกลับชั้นหนึ่งที่ไปที่เขาเหมันต์กระจ่างไม่ได้รับลูกบอลหิน และเราก็ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนได้รับลูกบอลนั้นไป ใครจะคาดคิดว่าจะเป็นคนจากตระกูลเฮมเพอร์ลี!”แนชขมวดคิ้วขณะที่เขาหยุดชั่วคราว จากนั้นเขาพูดต่อว่า “แต่ตระกูลวู๊ดของเราจะช่วยคุณได้ยังไง? พวกคุณบ้ามากที่มาที่นี่กันแค่ไม่กี่คน คุณไม่กลัวว่าเราจะปล้นพวกคุณเหรอ?”ดาร์ซีหัวเราะก่อนจะพูดอีกครั้ง “พูดตามตรง นายท่านวู๊ด เราคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว พอล ลูกชายของผมและฉันได้ปรึกษาหารือกันอยู่นานก่อนที่เราจะมีข้อตกลงเป็นเอกฉันท์ว่าตระกูลวู๊ดของคุณเป็นตระกูลที่น่าเชื่อถือที่สุดในขณะนี้ เหตุผลที่เรามาหาคุณแทนที่จะเป็นชนเผ่าโบราณอื่น ๆ ก็เพราะเราไม่รู้จักพวกเขาดีนัก พวกเขาอาจฉวยเอาลูกบอลหินของเราไปก็ย่อมได้ ใช่ไหม?”ดาร์ซีหยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อ “สำหรับตระกูลฮันท์และตระกูลอื่น ๆ พวกเขาไม่เคยช่วยอะไรเรา แล้วยิ่งตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีลูกบอลหินอยู่กับตัว แล้วเขาจะช่วยเราไปทำไม? มีเพียงตระกูลวู๊ดเท่านั้นที่ได้ครอบครองลูกบอลหิน และเมื่อวันก่อนเราตระหนักแล้วว่านายน้อยเฟนด์นั้นทรงพล
เฟนด์ตรวจสอบสิ่งของอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “ฮ่า ฮ่า… นายท่านเฮมเพอร์ลี นี่มันมีหญ้าวิญญาณไม่มาก แต่พวกมันก็น่าสนใจทีเดียว ดังนั้นผมจะยอมรับข้อเสนอของคุณ!”สมาชิกของตระกูลเฮมเพอร์ลีรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นว่าเฟนด์ยอมรับข้อเสนอของพวกเขานายท่านเฮมเพอร์ลียืนขึ้นทันทีและแสดงความขอบคุณเฟนด์ “ขอบคุณนายน้อยเฟนด์ เช่นนั้นผมจะฝากลูกชายและคนอื่น ๆ ไว้ที่นี่ด้วยความไว้วางใจ ผมเชื่อว่าพวกเขาจะปลอดภัยอย่างที่นายน้อยเฟนด์รับปาก!”“ฮ่า ฮ่า… ผมรับรองได้เลยว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาในขณะที่พวกเขาอยู่กับตระกูลวู๊ด เพราะเราจะพยายามปกป้องพวกเขาอย่างดีที่สุด!” เฟนด์หัวเราะก่อนจะพูดต่ออย่างอ้อยอิ่ง “แต่หากพวกเขาทอดทิ้งตระกูลวู๊ดเสียเอง ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงเสียเราก็คงล่ามโซ่พวกเขาไว้ไม่ได้ใช่ไหม?”“แน่นอน แน่นอน เราสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหน!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลเฮมเพอร์ลีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้น ผมจะจัดหาที่พักให้คนของคุณแล้วกัน!” แนชพยักหน้า เขาสั่งให้สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลวู๊ดนำพวกเฮมเพอร์ลีออกไปยังที่พักของพวกเขาหลังจากที่อีกฝ่ายออกไปแล้ว แนช ก
หลังจากจัดที่พักเรียบร้อยแล้ว นายท่านเฮมเพอร์ลีก็จากไปในบ่ายวันนั้น สำหรับนายน้อยเฮมเพอร์ลีและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็อยู่ในตระกูลวู๊ดเพื่อศึกษาลูกบอลหินต่อไปอย่างเงียบ ๆแน่นอนว่าเฟนด์ยังไปพูดคุยกับพวกเขาในตอนเย็นและถามเรื่องราวเกี่ยวกับการไปยังเขาเหมันต์กระจ่างปรากฎว่าหลังจากไปถึงเขาเหมันต์กระจ่าง พวกเขาทุกคนต่างแยกย้ายกันลงมือ หลังจากเผชิญกับอันตรายหลายอย่าง นายน้อยเฮมเพอร์ลีก็พลัดหลงกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลเฮมเพอร์ลี โชคดีที่หลังจากต้องออกเดินทางเพียงลำพัง เขาที่มีระดับพลังยุทธสูงก็สามารถหาต้นไม้โบราณได้ แต่แน่นอนว่าเขาสู้กับต้นไม้โบราณไม่ได้ และในเวลาเดียวกันนั้นก็มีปรมาจารย์คนอื่น ๆ ค้นพบต้นไม้โบราณด้วยเช่นกัน พวกเขาทุกคนต่างโจมตีต้นไม้โบราณและมีหลายคนต้องเสียชีวิตลงท้ายที่สุดผู้อาวุโสจากตำหนักนภา ซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงก็ได้รับลูกบอลหินและกำลังเตรียมที่จะบินหนีไปทว่าคน ๆ นั้นกลับถูกรากของต้นไม้โบราณฆ่าในขณะที่เขากำลังจะหลบหนี และนั่นก็เป็นโอกาสของพอลซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดในตอนนั้นมีคนอยู่ไม่มากนัก นอกจากเขาแล้ว คนอื่น ๆ ก็ตายกันไปหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครร
“ว่าแต่ เบนอยู่ไหน? หลายวันก่อนผมยังเห็นเขาฝึกซ้อมอยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะจดจ่อกับมันมาก เมื่อสองวันก่อนเขามาขอโอสถจากผมตั้งสองเม็ด!” เฟนด์ก็นึกถึงเบ็นและถามอย่างอยากรู้อยากเห็น“เขาก็ไม่เลวเพราะเขาเป็นปรมาจารย์ขั้นเจ็ดแล้ว เขาฝึกฝนอย่างหนักยิ่งขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าฉันทะลวงเข้าสู่ขั้นเริ่มต้นของระดับกึ่งเทพมาได้แล้ว เขายังบอกอีกว่าเขาจะตามคุณทันเพราะตอนนี้คุณไม่ได้ฝึกฝนเพิ่มเติม และกำลังรอพวกเราอยู่!” เซเลน่ายิ้มและมองไปที่เฟนด์อย่างรักใคร่ก่อนที่เธอจะพูดต่อ “ที่รัก ฉันไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะได้ทะลวงไปสู่ขั้นต้นของระดับกึ่งเทพมาก่อนเลย! นอกจากพรสวรรค์ของฉันแล้ว ฉันต้องขอบคุณสำหรับโอสถที่ช่วยให้การฝึกฝน จนทำให้ฉันทะลวงผ่านไปอีกขั้นได้อย่างรวดเร็ว!”“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความพยายามของคุณ แม้ว่าคุณจะมีพรสวรรค์และทรัพยากรยุทธที่ยอดเยี่ยม แต่หากคุณไม่ฝึกฝนอย่างหนัก ทักษะยุทธของคุณก็คงไม่สามารถพัฒนาได้หรอก!” เฟนด์พูดด้วยรอยยิ้มทันใดนั้นเองผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากบ้านหลังใกล้เคียง และบินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น“สุดยอดไปเลย! ฉันทำสำเร็จแล้ว! ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จจนได้! นายน้อยเฟนด์ฉันทำ
สมาชิกตระกูลฮันท์นำคนจากตระกูลลาโกริโอ ตระกูลเชิร์ช และแม้แต่ผู้ที่มาจากตระกูลนอร์มันมายังที่ดินของตระกูลวู๊ด“เฟนด์เราควรทำยังไงดี? พวกเขามากันเยอะทีเดียว! ดูเหมือนพวกเขาจะมาหาเรื่องด้วยสิ!" เควินมีสีหน้ามืดมนหลังจากที่เขาเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้นำสมาชิกทั้งหมดมา แต่คนที่มาก็ล้วนเป็นคนในระดับปรมาจารย์ คนจากสี่ตระกูลรวมกันได้ประมาณหนึ่งแสนชีวิต"ไม่ต้องกลัว! ถึงพวกเขาจะมีกันจำนวนมากแต่คนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงนั้นมีไม่มากนักหรอก เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาชิกตระกูลวู๊ดของเราได้ทะลวงสู่ระดับเทพแท้จริงตั้งหลายคน ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนในบรรดาลูกศิษย์ทั้งเก้าของผมก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงได้แล้ว แถมพลังยุทธของพวกเขาก็หาที่เปรียบไม่ได้!" เฟนด์ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน“พวกนั้นไร้ยางอายมาก ตระกูลลึกลับไม่ได้ถูกห้ามให้สู้กันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรอกหรือ? พวกเขาจะทำลายข้อตกลงลับนี้รึยังไง?” เควินกำหมัดแน่น "บ้าจริง! น่าเสียดายที่เราไม่อาจติดต่อตระกูลคาเบลโลและตระกูลแลงคาสเตอร์ได้ ไม่มีทางที่คนที่อยู่ห่างไกลขนาดนั้นจะมาช่วยเราได้!""ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องห่วงหร
สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสามคนเปลี่ยนไปเป็นน่าสยดสยองขณะนั้น พอลเอามือไพล่หลังและพูดว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่น หากเกิดการปะทะกันขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะเราหรือเพราะความขัดแย้งระหว่างตระกูลวู๊ด กับตระกูลอื่น ๆ เราทุกคนก็ควรก้าวออกไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตระกูลวู๊ด! แค่เราสู้ ก็แปลว่าเรายังมีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ถึงเราจะไม่อยากสู้ เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!” “แต่ผมเกรงว่าการเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พันธมิตรของตระกูลวู๊ดไม่ได้อยู่ที่นี่ หากตระกูลฮันท์มาที่นี่เพียงตระกูลเดียวเดียว ตระกูลวู๊ดก็คงรับมือได้ แต่…แต่นี่ศัตรูกันกันตั้งมีสี่ตระกูล! ที่แย่ไปกว่านั้น สามในสี่ยังเป็นตระกูลลึกลับชั้นหนึ่งอีกต่างหาก! และพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่าเราหลายเท่าอีกด้วย เราจะรอดไปได้ยังไง?” เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งไม่มั่นใจและรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ ทำไมเขาถึงเลือกที่จะมาตระกูลวู๊ด และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา? ถ้าเขาหาที่ซ่อนห่างไกลได้เอง มันคงจะปลอดภัยกว่านี้มาก! “สิ่งเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้ก็คือเชื่อมั่นในตระกูลวู๊ด เฟนด์ต้องมีอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่แน่ ไม่อย่างนั้นเ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ