“เรามาที่นี่ทำไมน่ะหรือ? นายท่านวู๊ด เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ลูกชายของคุณฆ่าลูกชายทั้งสองคนของผมและทำให้พวกเราหลายตระกูลที่นี่ต้องเผชิญกับสูญเสียครั้งใหญ่ในการแข่งขันครั้งก่อน! ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสะสางเรื่องนี้กัน ว่าไหม?”เควนตินหัวเราะออกมาเสียงดัง ความโหดเหี้ยมฉายชัดในดวงตาของเขา“เฟนด์ ในที่สุดเราก็พบคนฆ่าลูกชายทั้งสามคนของฉันแล้ว! และเป็นนายนั่นแหละ! ฉันต้องการคำสารภาพและคำอธิบายจากนาย!”แดริล หัวหน้าตระกูลนอร์แมนยืนมองมาข้างหน้าและถามเฟนด์ด้วยสายตาที่ชั่วร้าย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง"ใช่! ผมฆ่าพวกเขาทั้งสามคนเอง กฎของการแข่งขันอนุญาตให้ผมทำเช่นนั้นนี่นา อีกอย่างลูกชายของคุณก็ต้องการฆ่าผม จะให้ผมยืนอยู่รอให้พวกเขามาฆ่าผมเฉย ๆ ผมก็ทำไม่ได้หรอก เห็นด้วยไหม?”เฟนด์ยักไหล่อย่างไม่แยแส เขากล้าที่จะยอมรับการกระทำของตัวเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย"ฮึ! ไอ้ส*รเลว! เป็นแกนี่เอง! ฉันรู้แล้ว! คุณกล้าที่จะยอมรับว่าฆ่างั้นสินะ?”แดร์ริลเดือดดาลราวกับลาวาเมื่อได้ยินคำสารภาพของเฟนด์ เขาโกรธมากจนกำหมัดแน่น สมาชิกตระกูลนอร์แมนคนอื่น ๆ ต่างจ้องมองไปที่เฟนด์ด้วยความโกรธไม่ต่างกัน
เฟนด์ถากถางข้อเสนอของเควนติน “ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น พวกคุณตั้งกฎและตกลงกันว่าหลังจากการแข่งขันจบลงจะจะไม่มีการแก้แค้นหรือบาดหมางเป็นการส่วนตัว กฎการแข่งขันถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการถือเป็นคำขาด แต่พวกคุณก็ยังกลับคำ แล้วอะไรทำให้คุณคิดว่าผมจะเชื่อพวกคุณ” “เควนติน ฮันท์ คุณประเมินตระกูลวู๊ดของเราต่ำไป! คุณคิดว่าเราจะกลัวพวกคุณเพียงเพราะพวกคุณมีคนมากกว่าเราหรือ? ผมจะบอกคุณให้ ว่าเมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่คุณจะต้องเสียใจที่วันที่คุณมาเหยียบที่ดินตระกูลวู๊ดของเรา!” แนชก็จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “คุณก็รู้ว่าลูกชายของผมแข็งแกร่งที่สุดในตระกูลวู๊ด เพราะงั้นคุณจึงอยากหลอกให้เขาเชือดคอตัวเอง คิดว่าเราโง่ขนาดนั้นจริงหรือ?” “นายท่านฮันท์ คุณไม่กลัวที่จะถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะในสิ่งที่ทำวันนี้เหรอ? ผมเดาว่าว่าคุณคงยังไม่รู้ว่าตระกูลไหนได้รับลูกบอลหินจากเขาเหมันต์กระจ่างไปใช่รึเปล่า? และคุณก็กลัวว่าตระกูลวู๊ดจะค้นพบบางสิ่งจากลูกบอลหินและทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุด เพราะหากเป็นเช่นนั้น มันจะส่งผลกระทบต่ออันดับของตระกูลฮันท์ในบรรดาตระกูลลึกลับทั้งแปด เพราะอย่างนั้นคุณจึงใช้การแก้แค้นเป
“แม่ ผมคิดว่าน้าโจแอนพูดถูก เรารออยู่ที่นี่ดีกว่า!” หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เบ็นก็นั่งลงและพูดว่า “มีแต่แย่กับแย่ เราจะตายกันหมด! ถ้าพวกเขาถูกคนพวกนั้นฆ่า ยังไงเราก็ไม่รอด!” "ฮึ! ทำไมฉันถึงได้โชคร้ายจัง ฉันเพิ่งได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ และหวังว่าตัวเองจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาตายเร็วขนาดนี้! ทำไมชีวิตของฉันช่างโชคร้ายและขมขื่นเหลือเกิน!” ยิ่งคิดฟีโอน่าก็ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น เธอทรุดลงกับพื้นและเริ่มสะอื้นเหมือนเด็ก “แม่ หยุดสักที! มันน่ารำคาญ!" เบ็นตะคอกใส่ฟีโอน่า น้ำเสียงของเขาไม่เป็นมิตร “บ้าเอ๊ย! ฉันอ่อนแอเกินไป ฉันเป็นแค่ระดับปรมาจารย์และช่วยอะไรไม่ได้เลย! ถ้าตอนนี้ฉันอยู่ในระดับกึ่งเทพ ฉันคงรีบออกไปสู้กับพวกมันแล้ว!” เบ็นตะโกน เขากำหมัดแน่น “ลูกพยายามจะกวนประสาทแม่มากกว่าเดิมเหรอ? พี่สาวของลูกอยู่ข้างนอกนั่น และแม่ก็เป็นห่วงเธอจะตายอยู่แล้ว! ลูกยังอยากจะออกไป? ไอ้ลูกไม่รักดี!” ฟีโอน่าซึ่งกำลังอารมณ์เสียอยู่บนพื้น มีปฏิกิริยาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเบ็น อารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านและเสียดแทง เธอสั่นด้วยความโกรธ เบ็นมองไปที่แม่ของเขาก่อนหันไปข้างนอก แล้ว
เฟนด์หัวเราะเยาะและเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! มาสู้กันให้ตายไปข้างนึงเลย!” ผู้อาวุโสลำดับที่สองและสามของตระกูลวู๊ด เวสตันและเวดสบตากันแล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยความพร้อมเพรียง พวกเปล่งรังสีที่ทรงพลังและดูน่าหวาดหวั่นจากในตัวออกมา "อะไรกัน? ไม่มีทาง! พวกเขามีคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงอีกสองคนอย่างนั้นหรือ?” คนจากตระกูลฮันท์จ้องมองผู้อาวุโสทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความตระหนก พวกเขาคิดว่าตระกูลวู๊ดมีนักสู้ขั้นสูงสุดในระดับเทพแท้จริงที่เก่งกาจเพียงแค่สามคน แม้ว่าหนึ่งในตระกูลวู๊ดจะสามารถเข้าไปถึงระดับนั้นได้ แต่อย่างมากสุดก็คงทำได้แค่เพียงสี่คน! คิดไม่ถึงว่าจะพวกเขาจะมีกันถึงห้าคน! นอกจากนี้ การเข้าร่วมของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของตระกูลคาเบลโล เควิน คาเบลโลจะทำให้ตอนนี้พวหเขามีกันทั้งหมดหกคน! ไม่ต้องพูดถึงว่าพลังยุทธของเฟนด์ที่แสนทรงพลัง จนสามารถต่อสู้กับนักสู้ชั้นยอดสามในระดับเดียวกันได้ทีละสามหรือสี่คน เมื่อไตรตรองได้ดังนั้นแล้ว แม้ว่าทั้งสี่ตระกูลอาจคว้าชัยในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างมากมาย!
"ฆ่ามัน!" ด้วยการสั่งการของนายใหญ่ฮันท์ คำสั่งโจมตีจึงถูกประกาศก้องออกไป “ฮ่าฮ่าฮ่า! ฆ่าพวกมันให้หมด!” เฟนด์หัวเราะแล้วมองไปที่ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งที่อยู่เคียงข้างเขาและพูดว่า "ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง ช่วยดูแลเซเลน่าให้ที ผมจะได้ต่อสู้โดยไม่ต้องกังวล ผมจะทำให้พวกเขารู้ว่านักสู้ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงของพวกเขามันไร้ประโยชน์แค่ไหน!” เมื่อเขาพูดประโยคสุดท้ายจบ เฟนด์ก็หายตัวไปและไปปรากฏตัวที่ด้านหน้าของสนามรบภายในไม่กี่วินาที “ปิดล้อมเจ้าเด็กนี่และฆ่ามันซะ! นักสู้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงจากแต่ละตระกูลไปจัดการคนอื่น ๆ ซะ ส่วนอีกหกคนที่เหลือมาล้อมไอ้ส*รเลวนี้และฆ่าเขากัน!” หลังจากครุ่นคิดบางอย่างเควนตินก็เอ่ยขึ้น “รวมเราสองคนเข้าไปด้วย!” เทรนตันและไดอาน่า ภรรยาของเขาบินมาอยู่เคียงข้างเควนติน “รวมฉันด้วย! ฉันต้องฆ่าไอ้เวรนี่ด้วยตัวเองให้จงได้!” แดร์ริลจากตระกูลนอร์มันบินมาพร้อมกับผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของเขา"เยี่ยมเลย! ฉันเอาด้วยคน!” ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของตระกูลฮันท์ก็เข้ามาเช่นกัน ในไม่ช้า ผู้แข็งแกร่งที่มีระดับพลังยุทธในขั้นสูงสุดข
“อสูรฟาดฟัน!”ขนะเดียวกันนั้น นักสู้จากตระกูลนอร์แมนก็ใช้ทักษะอสูรฟาดฟันของตระกูล!ตู้ม ปัง ตู้ม!ทันใดนั้น เสียงระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นไปทั่วท้องฟ้า และอากาศสั่นสะเทือนอย่างแรงราวกับว่าท้องฟ้าจะถล่ม มันดูน่ากลัวมาก"อะไรกัน? เป็นไปไม่ได้! การโจมตีของเรากำลังถูกกลืนกินไปทีละน้อย!”เควนตินมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยและสีหน้าที่ซีดลง รู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองกำลังจะระเบิด การโจมตีจากพวกเขาทั้งหกไม่ได้ผลเลยสักนิด!การโจมตีจากทั้งสองฝ่ายค้างเติ่งอยู่กลางอากาศชั่วขณะ และหลังจากปะทะกันเพียงชั่วครู่ การโจมตีของ เฟนด์ก็เอาชนะอีกฝ่ายได้ และกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ“นี่มันบ้าอะไร! เราโจมตีพร้อมกัน! แม้ว่าการโจมตีแต่ละครั้งของเราจะเขาอ่อนแอลงเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่น่าจะให้ให้เราพ่ายแพ้อย่างนี้! พลังและความแข็งแกร่งของเขาจะน่ากลัวเช่นนี้ได้ยังไง?”ดวงตาของไดอาน่าเบิกกว้างราวกับไข่ห่าน และกรามของเธอก็ตกลงตามแรงโน้มถ่วง“เขาแข็งแกร่งเกินไป!”หลังจากที่พอลฆ่าชายคนที่อยู่ในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางของเฟนด์ ซึ่งหากเขาไม่เหลือบไปมองเสียยังจะดีกว่า เพราะการมองเพ
“โจมตี โจมตีพวกมันเดี๋ยวนี้!” ผู้ที่อยู่แนวหน้ารู้สึกหวาดกลัว และผู้อาวุโสหลายคนในขั้นสูงระดับเทพแท้จริงก็ตะโกนขึ้น น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาบางคนก็พยายามหลบการโจมตี ตูม ตูม ตูม! หลายคนกำหมัดแน่น กัดฟันร่ายกระบวนท่าออกมา ทว่าการโจมตีเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือที่ไร้ซึ่งความหมาย การโจมตีของพวกเขาถูกทำลายทันทีในขณะเดียวกัน ดาบบินของเฟนด์ยังคงมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด และพุ่งเข้าใส่ฝูงชน ปัง ปัง ปัง! นักสู้ในขั้นต้นของระดับเทพแท้จริงและขั้นสูงระดับกึ่งเทพบางคนถูกดาบบินฟันและระเบิดอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ผู้ที่อยู่ขั้นกลางหรือขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงไม่สามารถหลบการโจมตีได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สิ้นลมโดยที่ร่างไม่บุบสลาย เลือดสาดกระจายไปทั่ว คนกว่าสองร้อยคนจากสี่ตระกูลถูกเฟนด์ฆ่าตายในรอบเดียว นอกจากนี้ ในบรรดาสองร้อยคนนี้ มีนักสู้ที่อยู่ขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงหลายคน เช่นเดียวกับนักสู้ชั้นยอดอีกหลายสิบคนที่อยู่ในขั้นกลางและขั้นต้นของระดับเทพแท้จริง "ฮึ่ม! ฉันจะแก้แค้นให้ลูกชายฉัน!” นายใหญ่ฮ
"ฆ่ามัน!" เมื่อเห็นว่าคนจากสี่ตระกูลเริ่มหนีไปแล้ว เฟนด์ก็ยิ่งรู้สึกดีในใจ เห็นได้ชัดว่าเมื่ออีกฝ่ายเริ่มหนีเอาชีวิตรอด เฟนด์และคนอื่น ๆ ก็ไม่ต้องสูญเสียคนของพวกเขาอีก แน่นอนว่าเฟนด์จะไม่ละเว้นตระกูลใดในสี่ตระกูลที่อยู่ในขั้นสูงหรือขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงเลย เฟนด์จะพุ่งเข้าหาคนเหล่านั้นและจัดการพวกเขาทันที นักสู้ที่แข็งแกร่งเหล่านั้นถูกเฟนด์สังหารไปทีละคน แนชและคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้วางมือแล้ว ไล่ตามผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริงอย่างเมามันและสังหารพวกเขาลง สิ่งนี้ทำให้ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ต้องสูญเสียผู้ที่แข็งแกร่งไปราวเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นคน จากนั้นการต่อสู้ก็จบลง แน่นอนว่าตระกูลวู๊ดสูญเสียกำลังพลไปหลายพันคน และมีคนอีกสองสามพันคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เช่นกัน หลังจากการต่อสู้อันน่าเกรงขาม สถานะของตระกูลวู๊ดในโลกแห่งการต่อสู้นี้จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก แม้แต่สี่ชนเผ่าโบราณเองก็ยังต้องเกรงกลัวพวกเขา ในที่สุดผู้คนจากสี่ตระกูลก็กระจัดกระจายหนีหายไปคนละทิศคนละทาง มีเพียงนักสู้ที่มีระดับการต่อสู้ต่ำเท่านั้นที่โชคดีรอดไปได้ แต่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้รับส่งผลกระ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ