“โจมตี โจมตีพวกมันเดี๋ยวนี้!” ผู้ที่อยู่แนวหน้ารู้สึกหวาดกลัว และผู้อาวุโสหลายคนในขั้นสูงระดับเทพแท้จริงก็ตะโกนขึ้น น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาบางคนก็พยายามหลบการโจมตี ตูม ตูม ตูม! หลายคนกำหมัดแน่น กัดฟันร่ายกระบวนท่าออกมา ทว่าการโจมตีเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือที่ไร้ซึ่งความหมาย การโจมตีของพวกเขาถูกทำลายทันทีในขณะเดียวกัน ดาบบินของเฟนด์ยังคงมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด และพุ่งเข้าใส่ฝูงชน ปัง ปัง ปัง! นักสู้ในขั้นต้นของระดับเทพแท้จริงและขั้นสูงระดับกึ่งเทพบางคนถูกดาบบินฟันและระเบิดอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ผู้ที่อยู่ขั้นกลางหรือขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงไม่สามารถหลบการโจมตีได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สิ้นลมโดยที่ร่างไม่บุบสลาย เลือดสาดกระจายไปทั่ว คนกว่าสองร้อยคนจากสี่ตระกูลถูกเฟนด์ฆ่าตายในรอบเดียว นอกจากนี้ ในบรรดาสองร้อยคนนี้ มีนักสู้ที่อยู่ขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงหลายคน เช่นเดียวกับนักสู้ชั้นยอดอีกหลายสิบคนที่อยู่ในขั้นกลางและขั้นต้นของระดับเทพแท้จริง "ฮึ่ม! ฉันจะแก้แค้นให้ลูกชายฉัน!” นายใหญ่ฮ
"ฆ่ามัน!" เมื่อเห็นว่าคนจากสี่ตระกูลเริ่มหนีไปแล้ว เฟนด์ก็ยิ่งรู้สึกดีในใจ เห็นได้ชัดว่าเมื่ออีกฝ่ายเริ่มหนีเอาชีวิตรอด เฟนด์และคนอื่น ๆ ก็ไม่ต้องสูญเสียคนของพวกเขาอีก แน่นอนว่าเฟนด์จะไม่ละเว้นตระกูลใดในสี่ตระกูลที่อยู่ในขั้นสูงหรือขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงเลย เฟนด์จะพุ่งเข้าหาคนเหล่านั้นและจัดการพวกเขาทันที นักสู้ที่แข็งแกร่งเหล่านั้นถูกเฟนด์สังหารไปทีละคน แนชและคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้วางมือแล้ว ไล่ตามผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริงอย่างเมามันและสังหารพวกเขาลง สิ่งนี้ทำให้ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ต้องสูญเสียผู้ที่แข็งแกร่งไปราวเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นคน จากนั้นการต่อสู้ก็จบลง แน่นอนว่าตระกูลวู๊ดสูญเสียกำลังพลไปหลายพันคน และมีคนอีกสองสามพันคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เช่นกัน หลังจากการต่อสู้อันน่าเกรงขาม สถานะของตระกูลวู๊ดในโลกแห่งการต่อสู้นี้จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก แม้แต่สี่ชนเผ่าโบราณเองก็ยังต้องเกรงกลัวพวกเขา ในที่สุดผู้คนจากสี่ตระกูลก็กระจัดกระจายหนีหายไปคนละทิศคนละทาง มีเพียงนักสู้ที่มีระดับการต่อสู้ต่ำเท่านั้นที่โชคดีรอดไปได้ แต่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้รับส่งผลกระ
“คนของตระกูลสาขา จงฟัง! ครั้งนี้พวกคุณพยายามในการต่อสู้อย่างหนัก และนั่นคือเหตุผลที่เราสามารถชนะการต่อสู้นี้ได้ เพื่อตอบแทนเรื่องที่พวกเราจะไม่มีวันลืมในการต่อสู้ครั้งนี้ของพวกคุณ ตระกูลหลักและตระกูลสาขาจะแบ่งปันของที่ยึดมาจากสงครามอย่างเท่าเทียมกัน! ผมเชื่อว่าแต่ละตระกูลสาขาจะได้รับสิ่งของจากการต่อสู้ครั้งนี้มากมาย นักสู้ที่แข็งแกร่งจากสี่ตระกูลเสียชีวิตที่นี่ไม่น้อย และแหวนยุทธของพวกเขาจะต้องมีทรัพยากรยุทธและสมบัติมากมายแน่!”เมื่อเห็นว่าของที่ยึดมาจากสงครามเกือบจะถูกรวบรวมแล้ว แนชก็บินขึ้นไปในอากาศทันทีและประกาศเสียงดัง"เย่! เยี่ยมมาก!”“เย่! นายน้อยวู๊ด เขาเยี่ยมจริง ๆ! เขาทั้งมีเหตุผลและฉลาดมาก ๆ! แม้ว่าตระกูลสาขาจะเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่ แต่นี่ก็ถือว่าคุ้มค่า! ฉันมั่นใจเลยว่าตระกูลวู๊ดจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน!”คนในตระกูลสาขารู้สึกยินดีเมื่อได้ยินประกาศล่าสุด พวกเขาแทบจะเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่“ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งตระกูลคาเบลโล และสุภาพบุรุษจากตระกูลเฮมเพอร์ลี ผมในนามของตระกูลวู๊ด ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่พวกคุณช่วยเราในครั้งนี้!”เฟนด์ยิ้มขณะที่เขาเดินไปขอบคุณ เ
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเขาสามารถฆ่านักสู้สองคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้ด้วยตัวเองหรือแม้แต่จัดการกับพวกนั้นได้สักสามคน ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว! ทีเดียวหกคน? ไร้สาระน่า เขาคงต้องตายแน่ ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นคืออะไร? คู่ต่อสู้ของเฟนด์ไม่ใช่แค่นักสู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงธรรมดา ๆ เสียหน่อย แต่เป็นถึงหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับนั้นอย่างนายใหญ่ฮันท์ เควนติน ฮันท์ ซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูลชั้นหนึ่งเชียว พลังยุทธของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ที่เพิ่งทะลวงผ่านไปสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงไม่น้อย แต่กลับกลายเป็นว่านักสู้ที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นที่รู้จักดีเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเฟนด์แล้วกลับอ่อนแอราวกับลูกแมว และไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว "เดี๋ยวนะ เป็นไปได้ไหมว่าผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงทั้งหกคนที่เราส่งออกไปลอบสังหารคนของตระกูลวู๊ดก่อนหน้านี้ก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน?” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ความคิดที่น่ากลัวก็ก่อตัวขึ้นในใจของโจเอล และใบหน้าของเขาซีดเผือดในทันที “ไม่…ไม่มีทาง! หน่วยสอดแนมบอกว่ามีบาดแผลจากกรงเล็บแหลมคมบนร่างกายไม่ใ
“ตอนนี้ตระกูลคาเบลโลสนิทชิดเชื้อกับตระกูลวู๊ดมาก สถานการณ์แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เควิน คาเบลโลจะอยู่ที่บ้านพักของตระกูลวู๊ด แต่ทำไมตระกูลเฮมเพอร์ลีถึงอยู่ที่นั่นด้วย?” ขณะที่เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ บนหน้าผากของลิลลี่เกิดริ้วรอย เธอพึมพำด้วยความสงสัยบางอย่าง "ใช่ ถ้าคุณไม่ท้วง ผมก็คงไม่สังเกตเรื่องนี้เช่นกัน มันแปลกจริง ๆ ทำไมสมาชิกในตระกูลเฮมเพอร์ลี ถึงอยู่ที่นั่น? แถมพวกเขายังเสนอตัวช่วยตระกูลวู๊ดในการต่อสู้อีกต่างหาก!” คิ้วของโจเอลขมวดเข้าหากันเมื่อได้ฟังคำทักท้วงของลิลลี่ เขาเริ่มคิด “ตระกูลเฮมเพอร์ลีอยู่ในสถานะที่เป็นกลางมาโดยตลอด และพวกเขามักจะไม่ค่อยมีปากเสียง ไม่พยายามทำให้ตระกูลอื่นขุ่นเคืองหรือพินอบพิเทา แล้วทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ในบ้านพักของวู๊ดล่ะ?” ผู้อาวุโสตระกูลลาโกริโออดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา ไม่นาน ลิลลี่ก็นึกอะไรออกได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอเป็นประกาย "เดี๋ยว! ฉันรู้! ต้องใช่แน่ ๆ เราไม่รู้เลยว่าตระกูลใดได้รับลูกบอลหินจากเขาเหมันต์กระจ่างใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ดูเหมือนว่าลูกบอลหินนั่นจะต้องอยู่ในมือของตระกูลเฮมเพอร์ลี! พวกเขาต้องได้
"ใช่ เจ้าตำหนัก ไอ้ส*รเลวนั่นยังไม่ได้ทะลวงไปถึงระดับเทพสูงสุดเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับมีพลังมหาศาลอยู่ก่อนแล้ว ถ้าเขาสามารถเข้าถึงระดับเทพสูงสุดได้ขึ้นมาจริง ๆ จะไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้อีกต่อไป! และเมื่อถึงเวลานั้น เราจะต้องหนีเขาหัวซุกหัวซุนเลยล่ะ!” ผู้อาวุโสอีกคนพูดขึ้นด้วยกังวลของเขา “เฮ้อ! ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้แล้ว รออีกหน่อย เราได้แต่ภาวนาอย่าให้พวกเขาค้นพบอะไรเลย เราต้องจับตาดูตระกูลที่มีลูกบอลหินเหล่านั้นให้มากขึ้น เราต้องรู้ความคืบหน้าและสถานการณ์ล่าสุดของพวกเขาตลอดเวลา!” นี่เป็นครั้งแรกที่โจเอลรู้สึกถึงความรู้สึกสิ้นหวังและไร้อำนาจ “พวกที่มาจากตระกูลลาโกริโอ ฟังไว้ให้ดี แม้ว่าพวกคุณจะมีกันค่อนข้างมาก แต่ผมต้องพูดตามตรงว่าพวกคุณมีนักสู้ที่มีระดับพลังยุทธในระดับเทพแท้จริงและระดับกึ่งเทพไม่กี่คนผมจะหาคนจัดที่พักให้ ได้โปรดฝึกฝนอย่างหนักและมุ่งมั่นในการบุกทะลวงเข้าไว้!" “ขอบคุณมาก เจ้าตำหนักคอลลินส์!” สมาชิกตระกูลลาโกริโอที่ยังเหลือรอดโค้งคำนับและขอบคุณโจเอล โจเอลยิ้มบาง ๆ ให้พวกเขา แม้ว่าเศษซากของตระกูลลาโกริโอจะไม่แข็งแกร่งด้านกำลังรบ แต่การมีผู้คนจำนวนมากขึ้นย่อมดีก
“ฮิฮิ จู่ ๆ ผมก็คิดขึ้นมาได้ แต่ผมไม่กล้าลอง เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!” พอลหัวเราะอย่างอบอุ่น หลังจากสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ก็น่าแปลกใจที่ดวงตาของเฟนด์มุ่งมั่นและแน่วแน่ “ผมว่าเราลองดูก็ได้!” “เดี๋ยวก่อน นายน้อยเฟนด์ เราไม่ควรประมาท สิ่งนี้ดูดซับพลังฉี และมันก็ดูดซับอย่างรุนแรงอีกด้วย! ถ้าจู่ ๆ คุณอัดพลังฉีเข้าไปทำลายสมดุลในนั้น ใครจะรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้นหากผลที่ตามมานั้นร้ายแรงจนไม่อาจควบคุมได้ นั่นแย่แน่!” ผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลเฮมเพอร์ลี กระโดดและตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินคำแนะนำที่กล้าบ้าบิ่นนี้และก้าวไปข้างหน้าเพื่อแนะนำพวกเขา “เขาพูดถูก นายน้อยเฟนด์ เราอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นเลย เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าลูกบอลหินระเบิดขึ้นมาล่ะ? หรือหากมันกลายเป็นลูกบอลยักษ์ที่ดูดพลังฉีออกจากร่างกายของคุณจนหมดล่ะ? นั่นคงทำให้คุณถึงฆาต!” พ่อบ้านไททัสส่งเสียงเตือนเฟนด์ทันที “ความคิดของนายน้อยเฮมเพอร์ลีนั้นบุ่มบ่ามและเสี่ยงเกินไป! อีกอย่าง ถึงคุณจะอยากลอง ก็หาสมาชิกตระกูลสาขาสักคนมาลองทำดูจะดีกว่า! คุณคือหัวหน้าตระกูลวู๊ดในอนาคต คุณสำคัญเกินไป แถมทั้งตระ
เฟนด์สะบัดฝ่ามืออย่างพยายามบรรเทาอาการชา “ก้อนหินก้อนนี้ทำให้ฉันลอยออกไปตามใจมันเอง เป็นไปได้ไหมว่า...มีบางสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในลูกบอลหินจริง ๆ?” “เฮ้ย! มันส่งเสียงด้วย!” ไม่มีใครคาดหวังผลลัพธ์นี้เลย แต่มันทำให้ฝูงชนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อลูกบอลหินผลักเฟนด์ออกไปและหยุดดูดพลังฉีของเขา กึก! เสียงลูกหินดังขึ้นอีกครั้ง และลำแสงสีแดงก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ลำแสงหนาและสว่างมากจนมองเห็นได้จากระยะไกล "คุณพระช่วย! ลำแสงนั้นคืออะไร?” ห่างออกไปหนึ่งหมื่นไมล์ เจ้าวิหารแห่งทวยเทพและราชาที่เพิ่งกลับมายังที่พักของเขาเห็นลำแสงสีแดงและอุทานออกมาดัง ๆ “มันพุ่งออกมาจากจุดที่ตระกูลวู๊ดตั้งอยู่! พระเจ้า! มันมาจากตระกูลวู๊ด! เหตุใด จู่ ๆ ถึงมีแสงสีแดงปรากฏขึ้นจากที่นั่นได้?” ผู้อาวุโสของวิหารแห่งทวยเทพและราชากล่าวด้วยความงุนงง แฮร์รี่นึกถึงบางสิ่งอย่างรวดเร็ว และเขาก็สูดหายใจเข้าอย่างแรง “ต้องใช่แน่ ๆ! ต้องเป็นเด็กเหลือขอจากตระกูลวู๊ด ไม่ก็พอลจากตระกูลเฮมเพอร์ลี… พวกเขาต้องค้นพบอะไรบางอย่างจากลูกบอลหินที่ทำให้เกิดนิมิตเช่นนี่ขึ้น! ไม่เช่นนั้นคงไม่มีแสงสว่างเช่นนี้!” "พระเจ้า! เป็นไปได้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ