“ขั้นกลางระดับสอง?” เควินตกตะลึงและในไม่ช้าดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ เขาหายใจแรงท้ายที่สุด โอสถรักษาโรคไม่ใช่สิ่งเดียวที่สําคัญสําหรับนักเล่นแร่แปรธาตุ แต่ความสามารถในการบ่มเพาะโอสถที่ระดับสูงกว่านั้นสําคัญมากยิ่งกว่าการมีความสามารถในการบ่มเพาะโอสถที่มีระดับสูงขึ้นทําให้นักเล่นแร่แปรธาตุเติบโตก้าวหน้าสู่ระดับชั้นที่สูงขึ้นแน่นอนว่าคุณค่าที่เกิดจากการบ่มเพาะโอสถที่ประสบความสําเร็จนั้นเทียบไม่ได้กับโอสถชนิดเม็ดรุ่นก่อน นักเล่นแร่แปรธาตุขั้นต้นระดับสอง และนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นกลางระดับสองดูเหมือนจะแตกต่างกันเล็กน้อยที่ระดับ แต่ความแตกต่างเล็กน้อยนี้ก็เพียงพอที่จะเพิ่มสถานภาพของฝ่ายหลังให้สูงขึ้นมากกว่าผู้อื่นท้ายที่สุด มูลค่าของโอสถขั้นกลางระดับสองนั้นมากกว่าโอสถขั้นต้นระดับสองหลายเท่าตัว“โอ้โห! ฉันได้ยินเขามาถูกต้องไหม? ชายหนุ่มคนนี้ต้องการสอนผู้อาวุโสลำดับแรกของเราถึงวิธีการบ่มเพาะโอสถขั้นกลางระดับสอง” รุ่นเยาว์บางส่วนจากตระกูลคาเบลโลร้องอุทาน หลังจากตื่นตระหนกตกใจสุดขีดและคิดว่าพวกเขากําลังฝันคนรุ่นเก่าบางคนขมวดคิ้วและถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “นี่เป็นเรื่องตลกเหรอ? ถึง
“พวกมันเป็นเมฆโอสถ เอาล่ะ โอสถที่ผู้ชายคนนี้ศึกษาและลงมือบ่มเพาะด้วยตัวเองขึ้นมาสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้ถึงระดับนี้เลยหรือนี่?” ชายชราสำลักขณะเขาจ้องเฟนด์ด้วยความตกใจเควินจับตาดูยาอยู่พักใหญ่ก่อนที่เขาจะหันไปหาเฟนด์และถามอย่างลังเลว่า “คุณเต็มใจให้โอสถเช่นนี้กับฉันจริงเหรอ?”เฟนด์พยักหน้า "ก็เรามีข้อตกลงกันอยู่ไม่ใช่หรือครับ?""ใช่ ใช่!" เควินพยักหน้า ข้อสงสัยที่ว่าเฟนด์ไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุขั้นกลางระดับสองนั้นไม่มีอีกแล้ว เขาเชื่อว่าเฟนด์เป็นคนที่บ่มเพาะโอสถดังกล่าวเฟนด์พลิกมือของเขาอีกครั้งและเปิดเผยวิธีการบ่มเพาะโอสถขั้นกลางระดับสอง ก่อนที่จะมอบให้เควินจากนั้นเควินก็นําตำราโบราณที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกมาส่งมอบให้เฟนด์"ขอบคุณครับ ผู้อาวุโสลำดับแรก!" เฟนด์ยิ้มแย้มแจ่มใสกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ“ไม่จําเป็นต้องสุภาพมากขนาดนี้ ฉันมาคิดถึงมันดูแล้วตำราโบราณเล่มนี้ก็ไม่สําคัญขนาดนั้น ฉันศึกษามันมานานแล้วและมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฉันเคยคิดว่ามันมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการฝ่าฟันไปสู่ระดับเทพสูงสุด” เควินยิ้มขมขื่น “ตำราโบราณเล่มนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคนอื่นมากนัก แต่สําคัญสําหรับค
สภาพของเฟอร์นันโดทําให้หัวใจของเฟนด์หนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิดเฟนด์สาบานว่าจะทําทุกอย่างเพื่อช่วยเขาไม่ใช่แค่เพราะเฟอร์นันโดเป็นศิษย์ของเขา และไม่ใช่เพราะเฟอร์นันโดฆ่าศัตรูแผ่นดินของพวกเขาได้เป็นจํานวนมากและมีส่วนสนับสนุนต่อแคทธีเซียมากมายเหลือคณาเหนือสิ่งอื่นใด เหตุที่ทำให้เฟอร์นันโดตกอยู่ในสภาพนี้คือ เฟนด์มอบหมายให้เขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเกล็ดมังกร จนส่งผลให้เฟอร์นันโดตกอยู่ในสภาพปัจจุบันแน่นอนว่าร่างกายของเฟนด์นั้นสมบูรณ์แล้วเพราะพวกเขาได้รับเกล็ดมังกรมา นั่นคือเหตุผลที่เขาสามารถแปลงร่างเป็นมังกรได้หลังจากที่เขาบรรลุเข้าถึงระดับเทพแท้จริงเฟนด์ข้ามไปดูที่ครึ่งล่างของหนังสือโบราณเล่มโตและเริ่มดูมันไปทีละหน้า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นบันทึกของมีค่าสามชิ้นที่เควินกล่าวถึงหนึ่งในรายการเหล่านี้คือโอสถขั้นต้นระดับสี่ที่เรียกว่ายาฟื้นคืนชีพ อีกสองรายการเป็นผลไม้จิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ‘ผลวิญญาณ’ และหญ้าพันปี ของมีค่าทั้งสองสิ่งนี้มีคุณภาพสูงและเป็นสิ่งล้ำค่าระดับสามเฟนด์บันทึกคุณสมบัติของสิ่งของล้ำค่าทั้งสองนี้และคัดลอกวิธีการรักษาของยาฟื้นคืนชีพก่อนที่เขาจะคืนหนังสือโบราณให้เคว
เฟนด์ล้มเลิกแผนนั้นไปในที่สุดเพราะเขารู้สึกผิดหากทําอย่างนั้นอย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าความซื่อสัตย์ของเขาจะสร้างความประทับใจให้เควิน จนทําให้เขาได้ยืมหนังสือเล่มหนาไปอีกสองสามวันในที่สุด“ฮ่าฮ่า! ใช่ ฉันแน่ใจเกี่ยวกับมัน ในฐานะผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลคาเบลโล ฉันจะโกหกคุณทำไม? แน่นอน ฉันหวังว่าคุณจะยังคงแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกที่คุณมีเกี่ยวกับการบ่มเพาะโอสถต่อไป!” เควินหัวเราะอย่างจริงใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักว่าการมีน้ำใจจะนำพาความสุขที่ยิ่งใหญ่มาให้เขา“แน่นอนอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า!” ”เฟนด์หัวเราะเบา ๆ ด้วยความเบิกบานใจเช่นกัน เขาเริ่มอ่านหนังสือโบราณขณะบังคับดาบบิน“ผู้อาวุโสลำดับแรก คุณลำเอียงเหรอ? ก่อนหน้านี้ฉันขอยืมหนังสือโบราณคุณแค่ประเดี๋ยวเดียว ไม่เพียงแต่คุณขอให้ฉันอ่านมันต่อหน้าคุณเท่านั้น แต่คุณยังตั้งเวลาให้ฉันอ่านด้วย คุณตั้งนาฬิกาปลุกให้ฉันอย่างกับว่ากลัวว่าฉันจะใช้เวลาเพิ่มอีกนาทีกับมัน!”“แต่ตอนนี้คุณให้มันกับเฟนด์ และอนุญาตให้เขาครอบครองมันไว้ตั้งหลายวัน? ให้ตายสิ... ฉันสงสัยแล้วว่าคุณคือผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลคาร์เบลโลหรือเปล่า นี่คุณกลายเป็นผู้อาวุโสล
เมื่อท้องฟ้ามืดลง ทุกคนก็ได้ใช้พลังฉีไปค่อนข้างมากแล้ว เนื่องจากใช้เวลาบนท้องฟ้ามาเป็นเวลายาวนาน และแล้วพวกเขาก็พบเกาะร้างและใช้เวลาช่วงกลางคืนฟื้นพลังตัวเองเมื่อเฟนด์ว่าง เขานั่งลงข้างกองไฟอ่านหนังสือโบราณ เขามีข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ เชื่อมโยงกับรายการที่เกี่ยวข้องกับโอสถด้วยเขาพบโอสถรักษาโรคมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ในหนังสือโบราณ และหลงใหลไปในสิ่งที่เขาได้อ่าน พยายามจดจํามันอย่างเต็มที่เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนกลับมาเริ่มเดินทางกันต่อดังที่คาดไว้ พวกเขาพบกับสัตว์อสูรมากขึ้นเมื่อเทียบกับวันแรก และสัตว์อสูรเหล่านี้มีความสามารถในการต่อสู้และพลังการต่อสู้ที่สูงขึ้นไม่ต้องบอกเลย ยิ่งพวกเขาข้ามทะเลลึกเข้าไปมากขึ้นเท่าไร สัตว์อสูรก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นเกาะเล็ก ๆ บางแห่งมีกองกําลังเล็ก ๆ อยู่บ้าง แต่ชาวเกาะเหล่านี้ไม่กล้าออกมาถามอะไรเลยเมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ ประมาณสองแสนถึงสามแสนคนลอยมาบนท้องฟ้า พวกเขายังแอบสวดอ้อนวอนให้คนเหล่านี้จะไม่ลงมาทำให้พวกเขาเดือดร้อนแน่นอนว่าการรวมตัวของผู้คนจํานวนมหาศาลเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของกองกําลังที่มีขนาดใหญ่กว่าในท้องทะเลเหล่านี้เมื่อเวลาผ่า
ดวงตาของชายชราเปล่งประกายขณะที่พูด “เรามีปรมาจารย์มากมายในระดับเทพแท้จริงอยู่ที่นี่ ร่วมกับกองกําลังทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การนําของเรา หากเราดําเนินการร่วมกัน เราจะมีจํานวนมากกว่าพวกเขา ฉันเชื่อว่าพวกเขาคงไม่กล้าต่อสู้และจะส่งมอบของมีค่าของพวกเขาแต่โดยดี”หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ โดยคิดไปว่าพวกเขาสามารถบรรลุความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้เจ้าวิหารแห่งวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หันไปหา ผู้อาวุโสโมสลีย์ ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างและไม่พูดอะไรเลย เขาจึงถามว่า “ท่านผู้อาวุโสโมสลีย์ ทําไมคุณไม่พูดอะไรเลย? มีความคิดเห็นถึงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?”ผู้อาวุโสเกือบทั้งหมดพยักหน้าเห็นด้วยกับมุมมองของชายชรา แต่มีเพียงผู้อาวุโสโมสลีย์เท่านั้นที่ยืนอยู่ที่นั่นราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น“ฮ่าฮ่า! ท่านผู้อาวุโสโมสลีย์คิดอะไรได้หรือ? ฉันมั่นใจว่าความคิดของฉันดีที่สุด และเนื่องจากคนอื่น ๆ ทุกคนก็เห็นด้วยกับฉัน เขาจะมีความคิดอะไรออกมาอีกก็ไม่สำคัญ!” ผู้อาวุโสฮาร์ทแมนหัวเราะ ดวงตาเต็มไปด้วยการสบประมาทและยั่วยุเหมือนที่เขาทําอยู่ ท้ายที่สุด เขาและผู้อาวุโสโมสลีย์ชิงความได้เปรียบกันอยู่เสมอ ผู้อาวุ
“ระดับเทพสูงสุด!”ทุกคนตะลึงเมื่อได้ยินคํานั้นถึงกับผงะหงายอย่างเห็นได้ชัดแต่ละคนที่เข้าการประชุมนั้นคือนักสู้ระดับบนสุด ด้วยระดับการบ่มเพาะอย่างน้อยขั้นสูงของระดับเทพแท้จริง เนื่องจากพวกเขาต่อสู้กับบรรดาสัตว์อสูรในทะเลบ่อยครั้ง นักสู้จากดินแดนท้องทะเลจึงมีวิชายุทธต่างๆ ที่น่าหวาดหวั่น สมรรรถนะความอดทนของร่างกายพวกเขาถูกหล่อหลอมผ่านประสบการณ์มากมาย“ผู้อาวุโสโมสลีย์ คุณต้องล้อเล่นแน่ ๆ? คุณกําลังบอกว่าพวกเขามาที่ดินแดนของเราเพื่อบรรลุระดับเทพสูงสุด? คุณมีหลักฐานอะไร?”ผู้อาวุโสฮาร์ทแมนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็สงบสติอารมณ์และถามผู้อาวุโสโมสลีย์“ถูกต้อง.. ผู้อาวุโสโมสลีย์ อย่าหลงกลพวกเขา เราอยู่ในมหาสมุทรมาตั้งหลายปีแล้วและไม่เคยรู้เรื่องระดับเทพสูงสุด เบาะแสอะไรที่พวกเขาบนแผ่นดินมาตามหา? อย่าบอกฉันนะว่าพวกเขาคุ้นเคยกับมหาสมุทรมากกว่าพวกเรา?”ผู้อาวุโสอีกคนที่อยู่เบื้องหลังผู้อาวุโสฮาร์ทแมนก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยเช่นกัน พร้อมกับรอยยิ้มเย็นเยือกทว่าผู้อาวุโสโมสลีย์ไม่สนใจทั้งสองคน เขาเผชิญหน้ากับเจ้าวิหารแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งและยกมือขึ้นทำการคารวะ “ท่านอาจารย์ คิดทบ
“นายท่าน เราไม่อาจให้พวกเขารู้ตัวก่อนที่เราจะเคลื่อนไหว แต่ฉันคิดว่าเราก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาอยู่โดยลำพังด้วยเช่นกัน!”ไม่มีใครคิดว่าผู้อาวุโสโมสลีย์จะพูดขึ้นมาอีกในตอนนั้น“คุณหมายความว่าอะไร? ก็คุณบอกว่าเราไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้ไม่ใช่หรอกเหรอ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทําไมคุณถึงบอกว่าเราไม่สามารถปล่อยพวกเขาไว้? คุณกําลังพูดถึงอะไร?"เจ้าวิหารแห่งวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วถาม“เราสามารถตรวจสอบอย่างเงียบ ๆ และดูว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน! หรือตรวจสอบเพื่อดูว่าพวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อระดับเทพสูงสุดหรือไม่!”ผู้อาวุโสโมสลีย์ตอบอย่างยิ้มแย้ม“เราจะตรวจสอบอย่างไรหรือว่าแรงจูงใจของพวกเขาคืออะไร? เราคงทำเช่นนั้นไม่ได้ถ้าเราไม่ลงมือ!” ผู้อาวุโสฮาร์ทแมนแกว่งแขนของเขา เขารู้สึกว่าผู้อาวุโสโมสลีย์แค่ล้อเล่น“มันก็ง่าย ๆ เราแค่ต้องส่งนักสู้กลุ่มเล็ก ๆ ไปกลุ่มนึงเข้าไปโจมตีพวกเขา เราจะบอกให้พวกเขาออกจากมหาสมุทรและไม่คิดที่จะเอาทรัพยากรของเราไป แค่นั้นก็พอแล้วที่เราจะคุกคามพวกเขา หากพวกเขายืนกรานเดินหน้าต่อและไม่กลัวว่าจะทำให้เราขุ่นเคือง นั่นหมายความว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อระดับเทพสูงสุดอย่างแน่น
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ